ในสายตา....ของครูคนหนึ่ง(2)

หมวดหมู่ของบล็อก: 

27  พฤษภาคม  2554  07.45 น

ศุนย์ฯ......

เด็กชายตัวเล็กพูดยังไม่ชัดคำนวณ อายุน่าจะ 2 ขวบกว่า

ยืนร้องให้ตะเบ็งอย่างสุดเสียงแข่งกับเสียงจักรยานยนต์ ที่รีบขับออกไป

 


เด็กคนนั้นยังคงยืน ร้องให้ตะเบ็งเสียงขึ้นไปอีก หันซ้ายหันขวา  หันซ้ายหันขวา วิ่งไปวิ่งมา  พี่เลี้ยงได้แต่บอกว่า"อย่าร้องลูกอย่าร้อง  มะไปธุระเดี๋ยวก็มา " เมื่อมีใครขับรถมาทางไหนแกก็จะไปทางนั้น คงคิดในใจขอให้เป็นพ่อแม่ด้วยเถิด

ผู้ปกครองอีกคนขับรถเข้ามา แล้วถามว่าร้องทำไมนิ่งเสียเถอะ เขาก็คงช่วยได้แค่ถามเท่านั้นแหละ

เสียงร้องของเด็กคนนั้นยิ่งดังขึ้น เอาพลังเสียงมาจากไหน  ฟังพอจับใจความได้ว่า "ไปหามะ ไปหามะ"

เหมือนกับจะบอกผู้ปกครองท่านอื่นว่า "ช่วยพาหนูไปหามะหน่อย"

พ่อแม่คิดอะไรอยู่ที่ปล่อยให้ลูกร้องอย่างนั้น หรือต้องการให้ลูกปอดแข็งแรงเพื่อไปเป็นนักกีฬา  หรือบริการเส้นเสียง เพื่อไปเป็นนักร้อง

 

เมื่อก่อน เด็กหกล้ม  เราบอกอย่าร้อง

มดกัด เราบอก อย่าร้อง 

มีดบาด เราบอก อย่าร้อง

หนามตำ เราบอก อย่าร้อง

 

ทุกวันนี้แม่เอามาปล่อยไว้ที่ศูนย์ แล้วบอก อย่าร้อง

 

ยืนมองอยู่บนระเบียงบ้านพักครู อย่างสังเวช ลูกใครกันนะที่พ่อแม่ปล่อยให้ร้องได้ถึงขนาดนี้ จะกล่าวหาว่าใจดำก็คงไม่ได้ เพราะเขาทำเพราะหวังดี  อยากให้ลูกมีพัฒนาการ มีความพร้อม เข้ากับเพื่อนได้

 

 

จริงหรือ

 

 

ทุกวันนี้แม้ยังไม่มีลูก  แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่า ลูกจะต้องอยู่ในการดูแลของพ่อและแม่ ต้องอยู่ในอ้อมกอดของครอบครัวให้นานที่สุด เมื่อถึงวัน เขาจะมีเกราะป้องกันตัวเขาเอง

 

 

ในสายตาของครู....


 


ความเห็น

อันนี้มันก็จริง 2 ขวบ เล็กเกินไป อย่างต่ำน่าจะสัก 4-6 ขวบ แต่เขาอาจจะไม่มีคนเลี้ยงมั้ง(คิดเอาเองนะ)เลยต้องมาฝากเลี้ยง

 

 

msn:lekonshore@hotmail.com

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร

ผมก็พยายามคิดเช่นนั้น

แต่..ผู้ปกครองบางคน ส่งลูกเสร็จหิ้วกรงนกไปแขวนบ้านเพื่อน

ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง

เด็กที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกัน  แต่เรียนไม่ทันเพื่อน ทำงานช้า เรียนรู้ช้า เหม่อลอย


เกเร ฯลฯ  ลองสอบถามสืบประวัติแล้วจะพบว่าเด็กเป็นโรคขาดความรัก  ส่วนมาก


ครอบครัวแตกแยกพ่อแม่ทะเลาะกันเลิกกัน  ไม่ได้อยู่ครบทั้งพ่อแม่  ปู่ย่าตายายเลี้ยง 


รวมทั้งอายุน้อยกว่าเพื่อนชั้นเดียวกันค่ะ (ตามเกณฑ์เรียนอนุบาลแต่เรียน ป.1 แล้ว)

จากได้สัมผัสเด็กมา 10 กว่าปี เรารู้ว่าเด็กที่เรียนช้า ไม่ทันเพื่อน สาเหตูหลักคืออายุ ที่ต่ำกว่าเพื่อนในห้อง เราพูดไปผู้ปกครองก็ไม่เข้าใจ กลับโกรธที่เราไม่รับลูกเขา

 

 

เฮ้อ.....

ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง

ย่าตอนจะพูดอธิบายผู้ปกครองทุกครั้งถ้ามีโอกาส  ไม่อยากให้พ่อแม่ทำร้ายเด็กทางอ้อม


เวลาที่ลูกทำงานไม่ทันเพื่อนถูกตำหนิถูกว่าใครจะอยากมาโรงเรียน  ทำให้เด็กเบื่อเรียน


เบื่อครู  เบื่อเพื่อน  เพราะเพื่อนล้อ หัวเราะเยาะเวลาถูกครูดุ  ฯลฯ  ผู้ปกครองฟังแล้วเข้า


ใจก็ดีไป  บ้างคนหาว่าครูใส่เกือกอีกนะ

พี่สาวบอกลูกศิษย์ ว่าอย่าให้ลูกเลื่อนชั้นได้ไหมให้ซ้ำชั้นอีกสักปี เด็กอายุไม่ถึงจะเรียนไม่ทันเพื่อน 

เขาบอกว่าให้ขึ้นไปเถอะเด็กมันเรียนได้ เกือบ10 ปีผ่านไป  เขากลับมาพูดกับพี่สาวผมว่า ถ้าวันนั้นผมเชื่อครูก็ดี พอขึ้น ม.4ลูกเรียนไม่ทันเพื่อนเลย

 

กว่าจะคิดได้ก็สายซะแล้ว 

 

อนิจจา

ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง

อ่านแล้วป้ารู้สึกเศร้าใจค่ะ ที่ครูตี๋เล่ามา มันสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคม เรื่องปากท้อง เรื่องเวลาที่จะอบรมและให้ความอบอุ่นแก่ลูก รวมไปถึงการสร้างพื้นฐานนิสัยของเด็กให้เป็นคนดี


เราเห็นปัญหาเหล่านี้กันดาษดื่น แต่ก็แก้ไขไม่ได้ จนทุกวันนี้มันสะสมกลายเป็นวิถีชีวิตของคนในสังคม และหลอมให้เด็กเติบโตอย่างอ้างว้าง ขาดคุณภาพ....


ย่าตอนมาจุดประกายให้..ป้า..คิดมากไปหรือเปล่าคะเนี่ย


 

ย่าตอนพูดของจริงครับ

ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง

อ่านแล้ว..นึกภาพออกเลย  มันแน่นในอกจริงๆ

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

บางศูนย์ฯ ประตูมีลูกกรงเหล็กดัดด้วย พอผู้ปกครองขับรถกลับพี่เลี้ยงก็ปิดประตู เด็กก็เกาะเหล็กดัดร้องให้

 

 

ไม่พูดดีกว่า...เศร้า

ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง

หน้า