เรื่องเล่าดีๆจากญี่ปุ่น ในวันที่มืดมัว

หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวดให้แกาคนญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นในวันที่มืดมิด แต่ก็มีสิ่งดีๆ มาเป็นเรื่องเล่ามากมาย โดยเฉพาะความมีวินัย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ไม่เห็นแก่ตัว มาดูสิ่งดีๆกันครับ (ขอบคุณ คุณฉั่ว คนไทยจากเกียวโตที่แปลมาเป็นภาษาไทย)

เรื่องเล่าดีๆ " จากญี่ปุ่น" ในวันแผ่นดินไหว  
 

ผมได้อ่านข้อความจากเพื่อนคนหนึงที่ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น เป็นข้อความที่นักเรียนไทยแปลมาจากข้อความของ ชาวญี่ปุ่นหนึ่ง

หลายคนคงได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในยามที่เขาประสพภัยมาบ้างแล้ว  นี้คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมได้อ่านแล้วก็น้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว

ก่อนอ่านทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า "ข้าพเจ้า" คือคนญี่ปุ่นที่เป็นคนเขียนเรื่องนี้ขึ้นในสิ่งที่เค้าพบเจอ

เรื่องแรก ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟว่า "ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถอีกครั้ง" พนักงานรถไฟได้ฟังแล้วร้องไห้ ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว (เพราะคืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟหยุดวิ่งกว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลายคนไม่ได้กลับบ้าน หลายคนต้องเดินกลับ)

เรื่องที่สอง ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติด ไม่สามารถกลับบ้านได้จำนวนมากและทางร้านขายของได้เอาขนมใสแจกนักท่องเที่ยว ก็ได้มีนักเรียนม.ปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ แว่บแรก ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ “อะไรวะ เอาซะเยอะเลย” แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆที่พ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องดูแลลูกๆ

เรื่องที่สาม ในซุปเปอร์แห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน และ ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ มีคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ

เรื่องที่สี่ ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาลัยมายังที่พัก ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน แม้ภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจเช่นนี้ทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน

เรื่องที่ห้า ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้ ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลส (คนจรจัด) ก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

เรื่องที่หก (เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งตาก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า "เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ" หญิงสาวท่านหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้ วินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้นน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้ำใจคนญี่ปุ่น

เรื่องที่เจ็ด แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลน้าา ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่

เรื่องที่แปด ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า เด็กหนุ่มม.ปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อผมเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน (ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต!!!)

เรื่องที่เก้า ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42ชั่วโมง คุณลุงก็ได้กล่าวว่า "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ" แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม (สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก)

เรื่องสุดท้าย ก่อนหน้านี้เมืองมันสว่างเกินไป เกินที่จะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่จริงๆแล้วดาวสวยเช่นนี้เอง ชาวเซนไดทุกคนลองแหงนมองขึ้นไปข้างบนดูซิ (ตรงนี้ไม่มั่นใจว่าแปลว่า ชาวเซนไดทุกคนมองขึ้นไปบนฟ้า รึเปล่า)


ความเห็น

อ่านแล้วปลื้มใจจังค่ะ อยากให้คนไทยเป็นแบบนี้บ้างจังในยามฉุกเฉินแบบนี้ ที่อเมริกาเองยังไม่มีเลยค่ะแบบที่เล่ามา ขนาดน้ำท่วมมิดหลังคา บางคนยังพายเรือเข้าไปห้างไปขโมยของเฉยเลย

ใช่ครับ ความมีวินัยของคนญี่ปุ่น เป็นแบบอย่างที่ดีของคนทั่วโลก ไม่มีการเห็นแก่ตัว รู้จัก สิทธิ และหน้าที่ของตนเอง.

 

ชีวิตที่เพียงพอ ย่อมมาจากชีวิตที่พอเพียง

อ่านแล้ว ผมลองนึกย้อนกลับมาที่บ้านเรา

จะเป็นแบบนี้ไหมนะ???

อ่านแล้วน้ำตาไหลค่ะพี่อ้วน


ในความคิดเคยมองว่าญี่ปุ่นเป็นเมืองที่ไฮเทค ความเอื้อเฟื้อในสังคมคงมีให้กันน้อยเพราะขนาดเมืองกรุงเทพฯ


บ้านติดกันยังรู้จักกันไม่รอบด้าน


เขาฝึกคนประเทศเขาได้ยอดเยี่ยมจริงๆ


ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆมาให้อ่านค่ะ

***Sweet pea***

ประเทศที่จะพัฒนาได้ต้องมาจากคน...คนที่มีระเบียบวินัย  คนที่ไม่เห็นแก่ตัวนี้แหละประเทศที่พัฒนาแล้ว..พื้นฐานที่สำคัญครอบครัว...และโรงเรียน...ต้องสอนให้เด็กรุ่นใหม่นี้รู้จักกับคำว่าระเบียบวินัย  จริยธรรม...ลองสังเกตุดูคะเอาคนใกล้ๆ ตัวสถานที่ทำงาน...เด็กรุ่นที่อายุตำกว่า 30 ปี ขาดระเบียบวินัย...เห็นแก่ตัว...การทำงานถ้าไม่มีกฎบังคับผลที่ได้จะน้อยมาก....แล้วอย่างนี้เมืองไทยเมื่อไหร่จะหลุดจากคำว่า กำลังพัฒนา...

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

ดีจังค่ะ

คนเค้าเชื่อมั่นแบบนี้

เป็นนิมิตหมายที่ดีค่ะ

อ่านแล้วกลับมามองที่ตัวเราเองเลยค่ะ ว่าในแต่ละวันเราได้ฝึกตัวเองในการเป็นผู้มอบให้ผู้อื่นมากน้อยเพียงใด ...เมื่อวันที่มีวิกฤตเกิดขึ้นในชีวิตสิ่งที่เราฝึกนั้นก็จะเป็นสิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติที่มีในตัวเราเอง ขอบคุณค่ะ คุณอ้วน

ขอบคุณ สำ หรับ ข้อ ความดีๆ ครับ คุณ อ้วน

เมื่อวานได้ดูคลิปสุนัขช่วยสุนัขที่บาดเจ็บ หลังที่เกิดสึนามิแล้ว มีหมาตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บนอนซมไปไหนไม่ได้ มีหมาอีกตัวหนึ่งคอยดูแลอย่างใกล้ชิดไม่หนีไปไหนเห็นภาพแล้วทั้งซึ้งและเศร้า เรียกให้สามีมาดู สามีบอกว่าฉันทนดูไม่ได้มันเศร้า ทุกคนลองเข้าไปดูได้ค่ะ จากหนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์ประจำวันที่19

แผ่นดินไหนก็ไม่มีความสุขเหมือนแผ่นดินเกิด อยากกลับบ้านจัง

ทดสอบ

บ้านเราเห็นทีจะต้องเริ่มปฏิวัติทั้งค่านิยมและทัศนคติเชิงบวกแบบนี้กันขนานใหญ่ ปัจจุบันเรายังไม่ได้ถึงครึ่งของเค้าเลย โดยเฉพาะจิตสาธารณะ จิตอาสา ขอให้เริ่มจากผู้ใหญ่อย่างพวกเรากันก่อนแล้วค่อยๆเป็นแบบอย่างให้เด็กๆ ไม่ต้องไปคาดหวังกะพวกนักการเมือง ปล่อยพวกมันไปเถอะ

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

หน้า