บอด ... ตาใส ....
ปัจจุบัน .... ยามข้าพเจ้า กวาดสายตา เพ่งมอง ไปรอบ ๆ ภาพที่ปรากฏ เบลอบ้าง ชัดบ้าง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องทุกข์ร้อนอะไร เพราะไม่ต่างจากอดีต เท่าไรนัก บางทีข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข้าพเจ้าเห็นอะไรได้ชัดกว่าก่อนเกิดอาการทางกายภาพ เสียด้วยซ้ำ ... อดีตจึงถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครา
หลังจากรับราชการ 2 ปีกว่า ข้าพเจ้าก็เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ณ วัดที่บ้านเกิด หนึ่งพรรษา .... ในร่มกาสาวพัสตร์ ข้าพเจ้า ท่องบทคาถามนต์พิธีต่าง ๆ ได้ขึ้นใจ รับนิมนต์ไปนั่งท่องบ่นได้ทุกงาน ท่องบ่นปัจเวกขณ์ ถูกต้องตามที่ “เขาว่า” ได้ทุกอากัป ที่กำหนด ... ท่องนวโกวาท ได้ทั้งเล่มโดยไม่ผิดแม้ตัวอักษร ... โดยมีอาจารย์นั่งฟังจนจบเล่ม ผิดสักตัว ต้องเริ่มใหม่หมด ปานท่องพระไตรปิฎก รู้ - จำ ธรรม ได้เยอะ ซึ่งเข้าใจบ้าง ... ที่ไม่เข้าใจน่ะมีมากกว่า .... สอบนักธรรมสนามหลวง ปีนั้น ได้ที่ 1 ของ จ. สุราษฎร์ฯ
..... ที่เล่ามานั้น ม่าา..ย ... ด้าาา..ย .... โม้
.... แต่กำลังจะเรียนให้ทราบว่า เหตุที่เกิดขึ้นขณะนั้น ข้าพเจ้า มีปัญญาตื้นเขินนัก กลับมีความโง่เขลาลึกล้นเสียมากกว่าหลายเท่า ไม่ได้ใช้ในทางดับทุกข์ ได้เพียงไว้ยกหู ชูหาง โอ้อวดในสังคม
ยิ่ง ลาสิกขาบทออกมา ปัญญาที่ข้าพเจ้าพอมีเหลืออยู่บ้างขณะนั้น ก็ถูก กาลเวลา และ บริบทแห่งวิถีชีวิตที่ข้าพเจ้าคลุกคลีอยู่ ค่อยดูดซับ ออกทิ้ง เลือนไปแทบสิ้น
มันถูกลบเลือนได้ง่าย เพราะ มันเป็นเพียง ความรู้... ความจำ ...จะ เข้าใจบ้างก็เพียงเล็กน้อย
แต่... “ไม่เห็น” ... จึงไม่ได้ใช้ประโยชน์
ครั้นทุกข์เกิดขึ้นก่ายกอง ก็หลงโทษ สิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่สัมผัส ว่าเป็นตัวเอาทุกข์มาให้ แถมบางครั้ง เราเองที่วิ่งไร่ไปคว้ามากอดรัดไว้ด้วยสมัครใจ ซึ่งก็มีไม่น้อย ไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า เราเองต่างหาก คือเหตุแห่งทุกข์
ชีวิตขณะนั้น จึงหมกมุ่น รุงรังอยู่ด้วย “พิธีกรรม” มากมาย เทียววิ่งว่อน หาสถานที่ ที่หวังว่าจะดับทุกข์ให้ได้ แต่ไม่ได้สนใจ เรียนรู้ “วิธีการ” ที่จะบรรเทาทุกข์ด้วยตัวเอง แม้แต่น้อย
ไม่เคยสำเหนียกว่าแต่ละวัน เรามีอะไร ต่อมิอะไร เข้ามาในสายตาเรา หูเรา เยอะ ไปหมด ซึ่งบางอย่างเราไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเข้ามาในคลองจักษุ ในหู เราด้วย บางอย่าง ก็ แว็บ ๆ ว่าดูเหมือนจะเคยเห็น เคยได้ยิน มันก็เหมือนสัมภเวสี
บางอย่างก็จำได้ชัดเจน เพราะ เข้าไป “อยาก”
ที่รู้ชัด ฝัง ลึกกว่า ก็ สิ่งที่ เห็น หรือได้ยิน ที่มันกระตุ้นความ อยาก จนถึงขั้นลงมือปฏิบัติ ดึงเอา หรือ ผลักไส แต่ก็ไม่เห็นอยู่ดี ว่ามีทุกข์แฝงอยู่ในนั้นด้วย
บ่อยครั้ง ที่ข้าพเจ้าสงสัย และพยายามหาคำตอบให้แก่ตัวเอง ว่า ระหว่าง สิ่งที่เรียกว่า “สาระ” กับ “ไร้สาระ” ในชีวิตของข้าพเจ้า อย่างไหน มากกว่ากัน .....
- บล็อกของ paloo
- อ่าน 2712 ครั้ง
ความเห็น
lekonshore
21 มิถุนายน, 2011 - 09:23
Permalink
ลุงพะโล้ค่ะ
:confused:
บางครั้งตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันค่ะว่าอยู่ในประเภทไหน เพราะบางทีก็ไม่มีสาระบ่อยเหมือนกันค่ะ(ไม่อยากให้เครียดค่ะ)แต่ก็ถือว่าไม่เป็นไร ไม่เบียดเบียนใคร มีความสุขดี ชีวิตก็เท่านี้ สุขบ้าง ทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป..................:admire2:
msn:lekonshore@hotmail.com
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร
guys ka
21 มิถุนายน, 2011 - 09:39
Permalink
มอง
มองด้วย " ใจ "
ย่อมชัดเจน ลึกล้ำ ไม่เลือนลาง ไม่จางหาย
เหมือนมองด้วย " ตา " ...
.................
ลุงพี
21 มิถุนายน, 2011 - 14:03
Permalink
ลุงพาโลครับ
ผมขนลุกซู่ตลอดเวลาในขณะที่อ่านบล็อกของลุง
รู้ว่ารู้ ดีที่สุด
รู้ว่าไม่รู้ คนฉลาด
ไม่รู้ว่ารู้ ขี้ลืม
ไม่รู้ว่าไม่รู้ โง่ อวิชชาครอบงำ
สุดท้าย ผมว่าบล็อกนี้มีสาระมากมายก่ายกองครับลุง
พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง
paloo
21 มิถุนายน, 2011 - 14:30
Permalink
สั้น ... แต่ซึ้ง
แม้ไม่มีัมาตรวัด แต่ผมรู้สึกได้ว่า
.....อาการขนลุก และ
.....อาการปีติ
เมื่ออ่านข้อเตือนใจของลุง บอกใครไม่ได้ ต้องสัมผัสเอง แล้วจะทราบ
ขอบคุณ ที่ช่วย ครับผม
สายพิน
21 มิถุนายน, 2011 - 14:08
Permalink
ลุงปาโล... ขอบคุณสิ่งดีๆ
ลุงปาโล... ขอบคุณสิ่งดีๆ ระหว่างคำว่า "สาระ" และ "ไร้สาระ" นะคะ ... อยู่ที่ว่า บอดตาใสด้วยหรือเปล่า ... สิ่งเป็นสาระก็จะพลอยไร้สาระ สิ่งไร้สาระกลับกลายเป็นมีสาระ ... ด้วยการเห็น...
RUT2518
21 มิถุนายน, 2011 - 17:57
Permalink
ลุงพาโล
ไม่เบียดเบียน ทุกข์กับสุขของคู่กันครับ
kheatti74
21 มิถุนายน, 2011 - 18:50
Permalink
หากมองกันตามจริง
หากมองกันตามจริง อันนี้หละครับสัจจธรรมของชีวิต สุข ทุกข์ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยส มีสรรเสิญ มีนินทา เป็นของคู่กัน เพียงแต่เราจะเอามาเป็นแก่นสารของชีวิตหรือป่าวเท่านั้น บุญ-บาปต่างหากที่จะติดตัวเราไปทุกภพชาติ การยึดมั่นในมรรค 8 ของพระพุทธศาสนาที่ทำให้ชีวิตเราดำเนินไปอย่างมีสติ มีทิศทางเพื่อหลุดพ้น
ถ้าเดินเรื่อยไป ย่อมถึงปลายทาง
satjang
21 มิถุนายน, 2011 - 23:31
Permalink
เตือนสติ
...อ่านตามก็ยิ่งเตือนสติตัวเองไปด้วย ขอบคุณอีกครั้งคะ
...2553 ปีที่ 1 ที่เริ่มเดินตามรอยพ่อ...