ปัญหาอาการปวดหัวเป็นอาการที่ไม่มีใครอยากเจอ บอกเลยว่ายิ่งปวดหัวมากแค่ไหน ยิ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากเท่านั้น ยิ่งอาการปวดหัวไมเกรน ที่เป็นอาการปวดที่หลายๆ คนมักพบเจอกัน บางคนกินยาแล้วก็หาย บางคนปวดมานาน หาวิธีจัดการไม่ได้ วันนี้เราก็เลยอยากที่จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับอาการปวดหัวไมเกรนกันก่อน แล้วจะพาคุณไปหาวิธีจัดการกับอาการปวดนี้กัน ถ้าพร้อมแล้ว ตามมาเลย
ปวดหัวไมเกรน อันตรายกว่าที่คิด
แม้ว่าอาการของไมเกรนจะไม่ได้ส่งผลรุนแรง แต่ก็ต้องบอกว่าอันตรายกว่าที่หลายๆ คนคิดอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังทำให้เกิดการปวดหัวติดต่อกัน และอาจมาพร้อมกับอาการอื่นร่วมด้วยทั้งอาการคลื่นไส้อาเจียน มองเห็นแสงจ้า มองไม่ชัด ไวต่อการรับเสียง หน้ามืด และอาจเป็นลมหรือวูบได้อีกด้วย
สาเหตุของการเกิดไมเกรนนั้นคือสารสื่อประสาท Calcitonin Gene Related Peptide ถูกกระตุ้นและกระจายไปยังบริเวณต่างๆ ของสมอง กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท จนทำให้เส้นเลือดขยายตัว และทำให้เกิดอาการปวดในที่สุด แต่สิ่งที่กระตุ้นก็จะมีทั้งเรื่องของความเครียด ฮอร์โมนและอารมณ์ของร่างกาย การอดนอนเป็นเวลานาน การรับประทานอาหาร กลิ่นต่างๆ ทั้งน้ำหอม ควันธูป ควันบุหรี่ สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงภาวะการมีประจำเดือน ที่ส่งผลให้สารสื่อประสาทนั้นหลั่งออกมาจำนวนมากจนทำให้มีอาการปวดหัวไมเกรนได้
จะมีวิธีจัดการอาการปวดหัวไมเกรนยังไงได้บ้าง
-
เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เป็นต้น
-
กินยาเพื่อรักษาตามอาการ ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น เพื่อช่วยระงับอาการปวด
-
เข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเลือด เจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (กรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อ มีเลือดออกในสมอง) ใช้เครื่อง CT Scan หรือ MRI เพื่อตรวจ
-
เข้ารับการทำกายภาพบำบัด เพื่อบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน ร่วมกับการใช้เครื่อง Shock Wave หรือเครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
-
ฉีดยาป้องกันอาการไมเกรน ต้องบอกว่าการฉีดยานั้นจะเป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านสารสื่อประสาท Calcitonin Gene Related Peptide เพื่อยับยั้งที่ต้นเหตุ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและความถี่ที่ปวดไมเกรนได้อีกด้วย รวมไปถึงตัวยาจะออกฤทธิ์นานประมาณ 28 วัน ต่อ 1 เข็มนั่นเอง
แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเผชิญปัญหาปวดหัวไมเกรน ก็ควรที่จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญเลยก็คือ ต้องหาวิธีผ่อนคลายให้กับตัวเอง ควรลดความเครียดไม่ว่าจะเป็นความเครียดที่เกิดจากการเรียน การทำงาน หรือด้านอื่นๆ เพื่อดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงยิ่งขึ้น