กะลาตาเดียว ความเชื่อที่อยู่กับคนไทย

หมวดหมู่ของบล็อก: 

กะลาตาเดียว

อัศจรรย์ของขลังจากธรรมชาติ

 “เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีความเชื่อสืบทอดต่อกันมาว่า หากนำกะลาตาเดียวทั้งลูกที่เป็นตัวผู้ตัวเมียคู่กัน มาเก็บไว้ตั้งแต่วันแต่งงาน จะทำให้ทั้งบ่าวสาวครองคู่อยู่กันอย่างมีความสุข ไม่หย่าร้างแยกจากกัน ชีวิตครอบครัวอุดมสมบูรณ์พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง

สิ่งลี้ลับอัศจรรย์.....บังเกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้

                บางสิ่งคงกระพันหยั่งรากฝังลึกมาเนิ่นนาน ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล จนกลายเป็นตำนานแห่งความเชื่อและความนับถือ ที่ผูกพันกับชีวิต จิตวิญญาณของความเป็นไทยมาเนิ่นนานเป็นเวลานับร้อยๆ ปี อย่างเช่นตำนานของเรื่อง “กะลาตาเดียว” ก็เช่นกัน

เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยเราเชื่อถือกันว่า เป็นเครื่องรางของขลังอย่างหนึ่งของคนไทยที่มีผู้คนจำนวนมากศรัทธา และตำนานความเป็นมาของการเชื่อถือของกะลาตาเดียว มีบันทึกสืบต่อกันมามากมายหลายกระแส



                หลายคนที่ยังไม่รู้อาจสงสัยว่า กะลาตาเดียว คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร และมีพลานุภาพที่สำคัญอย่างไร ทำไมหลายคนถึงเชื่อถือ เปิดตำนานกะลาตาเดียว ในวันนี้ คงให้ความกระจ่างกับคุณเพิ่มมากขึ้น

โดยปรกติทั่วไปแล้ว กะลามะพร้าวเกือบ 100 % จากทุกสายพันธุ์ ที่ก้นกะลาจะมี “ตา” ปรากฏอยู่ 3 ตาแทบทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา

                            แต่หากกะลามะพร้าวลูกไหนมีตาเดียวปรากฏขึ้น ตามความเชื่อแล้ว ถือว่าไม่ใช่ความผิดปกติ หากแต่เป็นความแปลกประหลาด ลามเลยไปถึงความอัศจรรย์ ที่หาได้ยากยิ่งด้วย เพราะนานๆ จะเจอกันเสียลูกหนึ่ง

คนในสมัยโบราณนับถือกะลาตาเดียวว่าเป็น สิ่งที่มีความพิเศษแฝงเร้นอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งต่างจากเครื่องรางของขลังชนิดอื่นๆ

มีตำนานเรื่องเล่า และหลักฐานปรากฏเกี่ยวกับกะลาตาเดียวมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า มีชาวบ้านบางคนนำกะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง โดยนำกะลามะพร้าวที่มีตาเดียวมาเจาะรู ร้อยเชือก หรือสายสิญจน์คล้องคอ หรือคาดที่เอวติดตัวไว้ใช้สำหรับเดินทาง เพราะเชื่อว่าสามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ได้

บางคนก็เชื่อว่า หากใช้กะลาตาเดียวตักข้าวสารเวลาหุงข้าวอยู่เป็นประจำ บ้านนั้น และคนในครอบครัว จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ มีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ไม่อดไม่อยากไปจนตลอดชีวิต

ส่วนข้าราชการในสมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมนำบางส่วนของกะลาตาเดียวมาแขวนคอติดตัวตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพราะเชื่อว่าอานุภาพของกะลาตาเดียว จะสร้างความความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการ และการงานเพิ่มมากขึ้น ได้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย เป็นใหญ่เป็นโตกว่าคนอื่นๆ

แต่สำหรับเหล่าทหารกล้าที่ต้องออกไปรบทัพจับศึกอยู่เป็นประจำ เกือบทุกคนจะนำกะลาตาเดียวซึ่งตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆไปให้อาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ ลงคาถาอาคมกำกับไว้ที่กะลาตาเดียวอีกคำรบหนึ่ง  เพราะเชื่อว่า จะทำให้อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดจากคมหอกคมดาบของศัตรูได้ กะลาตาเดียวในความรู้สึกของพวกเขา จึงไม่ต่างจากพระเครื่อง ยันต์ หรือตะกรุด ฯลฯ แต่อย่างใด

ส่วนกะลาตาเดียวที่ทั้งลูกมีลักษณะงดงาม กลม มนได้สัดส่วน คล้ายดวงอาทิตย์ ชาวบ้านมักจะนำไปไว้บนหิ้งที่บ้าน เพื่ออธิษฐานจิตขอพรในสิ่งต่างๆ ให้กับครอบครัว

ในสมัยสุโขทัย มีหลักฐานปรากฏว่า มีชาวบ้านนำกะลาตาเดียวมาทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ เพื่อไว้สำหรับติดตัว เพราะถือกันว่าเป็นเครื่องรางของขลังชั้นดีชนิดหนึ่ง ที่สามารถป้องกันคุณไสยต่างๆ และภูตผีปีศาจทั้งหลายทั้งมวลได้ และยังทำให้ผู้ที่ครอบครองไว้มีโชคมีลาภอีกด้วย

เอกอุอีกอย่างหนึ่งของการพัฒนากะลาตาเดียวมาเป็นเครื่องรางของขลังอย่างสมบูรณ์แบบ คือผู้ที่ศรัทธาส่วนใหญ่มักนิยมนำกะลาตาเดียวมาแกะเป็นรูปพระราหูห้อยคอ

หลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ บทประพันธ์เรื่อง "พระอภัยมณี" ของท่านสุนทรภู่ รัตนกวีสี่แผ่นดิน ตอนหนึ่งท่านได้กล่าวถึงของขลังรูปพระราหูเอาไว้ว่า นางละเวง มีกะลาตาเดียวแกะเป็นรูปพระราหูแขวนประจำกายอยู่ คืนหนึ่งขณะที่นางละเวงนอนหลับ มี "อ้ายย่องตอด" ผู้มีวิชาแก่กล้าทางไสยศาสตร์ ชอบจับสัตว์ และคนมาดูดเลือดเป็นอาหาร อ้ายย่องตอดได้ลอบเข้าไปในห้องนางละเวงเพื่อหวังจะทำร้ายและดูดเลือด แต่พอเข้าไปใกล้เห็นกะลาตาเดียวที่แกะเป็นรูปพระราหูที่นางละเวงห้อยคออยู่  อ้ายย่องตอดก็ไม่อาจทำร้ายนางได้จนต้องหนีไปด้วยความหวาดกลัว

การแกะกะลาตาเดียวเป็นรูปราหูจากอดีตถึงปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบคือ แกะเป็นรูปราหูอมจันทร์ และแกะเป็นรูปราหูอมพระอาทิตย์ รวมทั้งการลงอักขระจะไม่เหมือนกัน

ถ้าเป็นราหูอมจันทร์ จะต้องลงด้วย คาถาจันทรประภา

ถ้าแกะเป็นราหูอมพระอาทิตย์ ต้องลงด้วย คาถาสุริยประภา

กะลาราหูที่มาเป็นคู่มักนิยมเรียกกันว่าตัวผู้ตัวเมียนั้น อันหนึ่งจะเป็นราหูอมจันทร์ และอีกอันจะเป็นราหูอมพระอาทิตย์

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความเชื่อเพิ่มขึ้นอีกว่ากะลาตาเดียวทั้งลูก เมื่อคว้านเอาเนื้อมะพร้าวออกจนหมดสิ้นแล้ว จะเหลือแต่กะลาทั้งลูกที่ไม่มีรอยแตกร้าว เป็นที่นิยมของพวกพ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนาเป็นอย่างมาก ในเรื่องของโชคลาภและการทำมาค้าขึ้นหรือเชื่อกันว่าเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา จะเกื้อหนุน เมตตาเอ็นดู และจะช่วยล้างอาถรรพ์ต่างๆจากผู้ที่ปล่อยมาที่เป็นเสนียดจัญไรภายในบ้านได้เป็นอย่างดี รวมทั้งทำให้มีกินมีใช้ เงินทองทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนมากขึ้น  พ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ชาวสวน ที่นำข้าวของสินค้าของตนไปขายในเมืองและต่างแดน  หากมีกะลาตาเดียวติดตัวไปด้วยจะทำให้ค้าขายคล่องแคล่ว ได้กำไรมากมาย

เจ้าบ่าวเจ้าสาวในสมัยก่อน ก็มีความเชื่อและเป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดต่อกันมาว่า หากนำกะลาตาเดียวทั้งลูกที่เป็นตัวผู้ ตัวเมียคู่กัน มาเก็บไว้ในบ้าน ตั้งแต่วันแต่งงาน จะทำให้ทั้งบ่าวสาว ครองคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่หย่าร้างแยกจากกัน จะทำให้ชีวิตครอบครัวอุดมสมบูรณ์พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง

ส่วนบางครอบครัวที่แต่งงานให้ลูกหลาน และอยากให้ลูกหลานตนมีความสุขมากยิ่งขึ้น ไม่ให้แตกแยก เลิกร้าง จากกัน ก็จะแกะชื่อ-สกุล ฝ่ายชายลงในแผ่นไม้รัก แล้วใส่ในกะลาตัวเมีย ส่วนชื่อ-สกุล ฝ่ายหญิง ก็จะแกะลงในแผ่นไม้รักอีกแผ่น แล้วใส่ในกะลาตัวผู้ เก็บไว้คู่กันในบ้าน เชื่อว่าจะทำให้รักกันชั่วนิรันดร์ หรือในอีกบางความเชื่อสำหรับคู่รักที่แต่งงานกัน หากฝ่ายภรรยาไม่อยากให้สามีของตนนอกใจตัวเอง เธอก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ทั้งของ สามี และตัวเอง ลงในไม้รักคู่กัน แล้วใส่บรรจุลงในกะลาตาเดียว ก็จะทำให้สามีหลงรักตนคนเดียวไม่ปันใจไปรักหญิงอื่น  ส่วนสามีก็เช่นกัน ถ้าต้องการให้ภริยาเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ภริยา และตัวเอง ลงในแผ่นไม้รักแผ่นเดียวกัน แล้วใส่ลงในกะลาตัวผู้ จะทำให้ภริยาไม่นอกใจ

นอกจากนั้นแล้ว ยังเชื่อกันอีกว่า หากใครมี กะลาตาเดียวไว้ติดตัว ติดบ้านไว้แล้ว กะลาตาเดียวจะส่งผลแกชีวิตและครอบครัวได้อีกนานัปการ เช่น หากนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคม กะลาตาเดียวจะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากยิ่งขึ้นตามคาถาที่ปลุกเสก ทั้งเรื่องแคล้วคลาด เมตตามหานิยม ฯลฯ

ยังเชื่อกันว่ากะลาตาเดียวสามารถใช้ป้องกันคุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจเข้าร่าง กันของมีคมและอาวุธต่างๆ เข้าตัว รวมทั้งใช้ล้างอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เช่น ปลูกบ้านทับของมีอาคมร้าย เช่น ป่าช้า ซากศพ บ่อน้ำ บ้านตั้งอยู่กลางสามแพร่ง และอื่นๆ ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย กะลาตาเดียวสามารถช่วยให้สิ่งร้ายๆเหล่านั้นกลับกลายเป็นดีได้

รวมทั้งอานุภาพของกะลาตาเดียว ยังทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆที่จะมาถึงตัวได้อีกด้วย...หากนำกะลาตาเดียวไปทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือติดตัวไว้ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงดี  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  และทำให้สุขภาพดีขึ้น

บุคคลใดที่รู้จักบูชากะลาตาเดียวอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมา

อีกทั้งคนไทยในสมัยปู่ ย่า ตา ยายของเราก็ใช้กะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องมือแพทย์แผนโบราณ ใช้ในการตัดต้อที่ดวงตาให้หายได้  อีกทั้งยังใช้เป็นยารักษาโรคอัมพาต โดยนำกะลาทั้งลูกมาผ่าแบ่งเป็นสี่ส่วน ให้นำชิ้นหนึ่งอธิษฐานจิต และขว้างไปทางทิศตะวันตก อีกสามชิ้นที่เหลือ มาต้มน้ำดื่มทุกวัน วันละ 3 มื้อ เชื่อกันว่า อาการของผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตจะทุเลาเบาบางลง

                ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวตำนานแห่งความเชื่อและความเป็นมาของ “กะลาตาเดียว” ที่มีมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของเราเป็นเวลาหลายร้อยปี และความเชื่อนี้ จะยังคงอยู่ตราบต่อไปอีกเนิ่นนาน

เคล็ดลับน่ารู้

เกจิอาจารย์ที่ผู้คนยอมรับในความขลัง และเป็นเจ้าตำรับราหูอมจันทร์ ซึ่งสร้างจากกะลาตาเดียว มีเพียงหลวงพ่อน้อย นาวารัตน์ หรือ หลวงพ่อน้อย คันธโชโตวัดศีรษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ที่มีวิทยาคมแก่กล้า ด้วยว่าได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากโยมบิดานามว่า นายมา ซึ่งเป็นหมอรักษาโรคแผนโบราณ ทั้งยังเก่งกาจในเรื่องคาถาอาคม ความอยู่ยงคงกระพัน จนเป็นที่นับถือศรัทธาของชาวบ้านทั่วไป

วัดศีรษะทอง ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 ตำบลศีรษะทอง (แต่เดิมขึ้นกับตำบลห้วยตะโก) อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านซึ่งเป็นชาวลาวอพยพมาจากเวียงจันทน์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวปี พ.ศ.2358 ขณะขุดดินเพื่อทำการสร้างวัด ชาวบ้านได้พบเศียรพระสีทองอร่ามจมอยู่ในดิน  วัดนี้จึงได้ชื่อว่า “วัดหัวทอง” มานับแต่นั้น

เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดหัวทอง คือ หลวงพ่อไต เป็นชาวลาวจากเวียงจันทน์โดยกำเนิด หลังจากนั้นได้มีการสืบทอดเจ้าอาวาสต่อมาอีก 6 รุ่น กระทั่งมาถึงยุคของหลวงพ่อน้อย 

กะลาตาเดียว เป็นเครื่องรางของขลัง ที่คนเรามีความเชื่อมาแต่อดีตกาล ซึ่งมีคุณวิเศษหลายอย่าง อาทิ

1. ใช้สำหรับตักข้าวสารใส่หม้อ เวลาหุงข้าวกิน หากว่านำติดตัวไปประกอบอาชีพ ธุรกิจ จะทำให้เกิดทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ หากเป็นชาวไร่ ชาวนา และพืชในไร่งอกงามดี หากเป็นข้าราชการก็จะเจริญด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นหัวหน้า เป็นนายคน เป็นใหญ่เป็นโตเร็วกว่าคนอื่นๆ

2. ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ติดประจำกายไว้กับตัว เพราะกะลาตาเดียวเป็นอาถรรพ์มีดีอยู่ในตัว หากว่ามีการนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคมก็จะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์มากยิ่งขึ้น

3. ใช้สำหรับเป็นสิ่งป้องกันเสนียดจัญไรป้องกันคุณไสยและภูติผีปีศาจได้ ใช้แก้ผีเข้า ของมีคมเข้าตัวใช้ล้างอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เช่นปลูกบ้านทับของมีอาคมร้าย ซากศพ บ่อน้ำ บ้านตั้งอยู่กลางสามแพร่ง และอื่นๆ ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย ให้กลับกลายเป็นดีได้

4. ใช้ป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ เช่นทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆที่จะมาถึงตัว

5. ใช้ทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ติดตัวเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงดี โรคภัยไข้เจ็บ จะไม่ค่อยมาเบียดเบียน ที่เจ็บป่วยอยู่ก็จะทำให้สุขภาพดีขึ้น

6. นำบูชาอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภสม่ำเสมอ ทรัพย์สินเงินทองจะหลั่งไหลมาเทมาไม่ขาดสาย

7. นำพกพาไปค้าขายก็จะค้าขายดี นำติดตัวไปซื้อของก็จะได้ของมามาก ทั้งที่มีเงินนิดเดียว ถ้าขายของก็จะได้เงินเข้ามามาก แต่ของที่ขายไปดูยังไม่ยุบไปเท่าไหร่

8. คนสมัยโบราณ ใช้นำเป็นเครื่องมือแพทย์โบราณใช้ในการตัดต้อที่ตาของคน ให้หายขาดได้

9. ใช้เป็นยารักษาโรคอัมพาต โดยนำทั้งลูกมาผ่า แบ่งเป็นสี่ส่วน ให้นำชิ้นหนึ่งไปทางทิศตะวันตก อีกสามชิ้นส่วน มาต้มน้ำ มาต้มน้ำกินน้ำทุกวัน วันละ 3 มื้อมื้อละ 1แก้ว ถ้าหมดก็นำมาแบ่งเช่นเดิม แล้วต้มกินอีก ไม่นานก็จะหายจากอัมพาต

คาถาบูชากะลาตาเดียว

เอกะ จักขุ นาฬิเกลา

สุริยประภา จันทรประภา ราหูคาหา สัตตะ

รัตนะ สัมปันโน มณีโชติ ระโสยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหัง วันทามิ เม สะทา ฯ

 (เป็นมหาลาภค้าขายดีเยี่ยม เป็นมหาอุดดีนัก ช่วยสะเดาะเคราะห์ดีนักแล ฯ)

 

ความเห็น

คนไทยราส่วนใหย่ นิยมความเชื่อเรื่องโชค อย่างเครื่องรางของขลัง ใครมีติดตัวพกไว้จะปลอดภัย คือป้องกันภยันตรายทั้งปวง และปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ยังไม่จางหายไปจากจิตใจ แต่อยู่บนพื้นฐานของความถุกต้อง ใช้ให้ถูก แล้วสิ่งที่ดีก็จะอยู่กับเราตลอดไป :confused:

คนไทยราส่วนใหย่ นิยมความเชื่อเรื่องโชค อย่างเครื่องรางของขลัง ใครมีติดตัวพกไว้จะปลอดภัย คือป้องกันภยันตรายทั้งปวง และปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ยังไม่จางหายไปจากจิตใจ แต่อยู่บนพื้นฐานของความถุกต้อง ใช้ให้ถูก แล้วสิ่งที่ดีก็จะอยู่กับเราตลอดไป :confused:

ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ แต่ว่าคราวหน้าขอตัวโต ๆ กว่านี้หน่อยได้ป่ะคะ เริ่มแ่ แล้ว   :sweating:

ขอบคุณสำหรับความรู้แปลกใหม่ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย..มีความสุขมากๆค่ะ

ขอบคุณครับสำหรับความรู้

ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงหรือต่ำอยู่ที่ทำตัว


บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร

จากประสบการณ์ตรงของตัวเองคือข้อ 8 ค่ะ เคยเป็นต้อเนื้อคุณทวด ไช้กะลาตาเดียวรองชิ้นเนื้อแล้วตัดค่ะ ทำ 3 ครั้งทำติดต่อกัน 3 วันวันละ1 ครั้งค่ะ

เคยเห็นยายใช้กะลาตาเดียวตัดต้อเมื่อสมัยเด็กๆค่ะ

ขอบคุณครับคุณชัยที่นำความรู้ดี ๆ มาให้ทราบกัน

แต่ขอความรู้เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยนะครับ เท่าที่เคยทราบมา มีกะลาไม่มีตา ซึ่่งใช้ดีในทางมหาอุด และกะลาสามตาใช้ในทางโชคลาภ ส่วนกะลาทั้ว ๆ ไปจะมีสองตา

ผิดถูกอย่างไรแนะนำด้วยครับ

กะลาตาเดียว เป็นความเชื่่อที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน และอีกอย่างกะลาตาเดียวเป็นสิ่งของหายาก อย่างมะพร้าว 1 ต้น อาจจะมีสักลูกที่ตาเดียว หรืออาจจะไม่มีก็ได้ บางครั้งคนเราคิดเลยไปถึงคำกล่าวของคนเฒ่าคนแก่ที่บอกว่า ใครเจอะเจอกะลาตาเดียว คนผู้นั้นจะโชคดี...อีกอย่างคนแถวบ้านผม (นครศรีฯ) จะมีกะลาตาเดียวเอาไว้ตักข้าวสาร หรือภาษาใต้เรียกว่า "ป้อย" ใช้จนมันวับวาว ส่วนบางคนที่มีความเชื่อก้เอาไปทำเป้นเครื่องรางของขลัง ทำพิธีปลุกเสกด้วยคาถาต่างๆ ใช้ในทางแคล้วคลาด ปลอดภัย และเมตตามหานิยม (คนสมัยก่อน หากเล่นของ คือมีของดี เขาจะเป็นคนที่ยึดหลักปฏิบัติอยู่ในกฏ อย่างไม่ผิดศีล 5 ไม่เอาผ้าถุงคลุมหัว ไม่กินผักเลื้อย ไม่ตักอาหารข้ามมือ ไม่เดินอ้อมหลัง และ...หากทำได้อย่างนี้ ของที่เรานับถือก็จะอยู่กับเรา หากคนใดที่ถือไม่ได้ ของนั้นก็จะเสื่อมซึ่งเป้นไปตามความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่...

แต่ตามหลักความจริงคือกะลาตาเดียว เป็นความเชื่อที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่หลักทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร? แต่ในหลักของความเชื่อ สิ่งนี้ช่วยคุ้มครองได้ (คนที่ทำพิธีปลุกเสก ที่มีวิทยาคมแก่กล้า และเป็นบุคคลที่ยึดหลักปฏิบัติอยู่ในศีลธรรม)


พรก็มีไว้เหมือนกันกะลาตาเดียว