ขอคำชีแนะครับ มีพื้นที่ 5 ไร่บนเนินเขาหล่มสัก อยากทำสวนปฏิบัติธรรม เชิงเกษตรครับ
สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ สมาชิกครับ ผมทำงานออฟฟิสใน กทม. แต่ก็มีความคิดอยากจะเปลี่ยนแนวทางชีวิตมานานแล้วครับ ประจวบกับเป็นคนชอบความสงบ ปฏิบัติธรรมเป็นปกติ เลยตัดสินใจซื้อที่ดินแถวหล่มสัก ต.บ้านติ้ว ไว้ 5 ไร่ เป็นที่บริเวณเชิงเขา ลมแรง ดินออกสีแดงปนฝุ่น พื้นที่แถวนั้นปลูกมะรุม มะขาม สัก สะเดา ส่วนที่ราบลงไป ต่ำกว่าผมสัก10เมตร ก็ปลูก ข้าว ใบยาสูบ แต่ผมกะว่าจะปลูกมะม่วง สัก 30 ต้น กับมะนาวสัก 30 ต้น ไว้เก็บกินแล้วแบ่งขาย พอเป็นรายได้ตอนออกจากงานครับ จริงแล้วอยากทำเป็นสวนปฏิบัติธรรม น่ะครับ เพราะที่ดินที่ติดกับที่ที่ผมซื้อ ปัจจุบันเป็นที่ที่ จัดตั้งขึ้นเป็นสถานปฏิบัติธรรม ไว้สำหรับท่านที่สนใจ ที่พ่อผมจัดตั้งขึ้นกับกลุ่มปฏิบัติธรรมด้วยกันครับ ผมเลยซื้ออยู่ติดกันอีกแปลงกะจะทำสวนปฏิบัติธรรมเพิ่ม พร้อมกับปลูกไม้ผลบ้างให้พอสามารถเลี้ยงตัวได้นิดหน่อย และก็จะได้คอยช่วยพ่อดูแลสถานปฏิบัติธรรมไปด้วย ตอนนี้กะว่าจะเอาต้นไม้ใหญ่ให้ร่มไปลงบริเวณที่จะปลูกบ้านหลังเล็กๆ ก่อนสัก 20 ต้นครับ แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีเวลาไปดูแลเอง ได้แต่ฝากญาติกันเป็นหูเป็นตา ผมเลยคิดอยากจะทำระบบน้ำหยดสำหรับดูแลต้นไม้ใหญ่ที่จะลงปลูกร่วงหน้าไว้ก่อน คือ กะจะลงช่วงก่อนฝนให้ต้นไม้ได้น้ำฝนชักช่วง รากจะได้ติด หลังจากนั้นกะว่าจะฝากเขาเติมน้ำใส่แท็งค์ให้ แล้วก็ให้มันหยดไปเรื่อยๆ พออีกสัก สองอาทิตย์ก็ให้เขาเติมใหม่ จะได้ไม่ต้องรบกวนเขารดน้ำให้ทุกวัน(เกรงใจขอรับ ) เอาแค่ให้ต้นไม้ไม่ตายก็พอ แล้วพอไปอยู่เองค่อยไปบำรุงน่ะครับ เลยอยากทราบว่าความคิดผม พอจะเป็นไปได้ไหมครับ พอดีไม่เคยมีความรู้ด้านเกษตรเลยครับ และถ้าสามารถเป็นไปได้ ต้องใช้ถังเก็บนำแบบไหน ความจุเท่าไร วางระบบอย่างไร จึงจะประหยัด และสามารถดูแลต้นไม้ ประมาณ 20 ต้น (ขนาดลำต้นกว้าง 4 นิ้ว เป็นไม้ล้อมมาขาย) ได้สักสองอาทิตย์ด้วยการเติมน้ำ 1 ครั้งครับ (ปัจจุบันผมขุดสระลึก3เมตรไว้3งาน ยังไม่แน่ใจว่าจะเก็บน้ำอยู่หรือเปล่าครับ) ปัจจุบันยังต้องทำงานประจำที่ กทม.ครับ แต่อยากจะปลูกต้นไม้รอไว้ก่อน พออีกสักปีครึ่ง พอมีเงินเก็บแล้ว ก็จะออกจากงานแล้วไปอยู่ประจำครับ จะได้มีไม้ให้ร่มเงาครับ แล้วค่อยคิดเรื่องมะม่วง มะนาวต่อ พี่ๆท่านใดมีคำแนะนำดีๆ สำหรับแนวทางข้างต้น กระผมยินดีน้อมรับทุกข้อเสนอแนะนะครับ อ้อ..อีกคำถามครับ พอดีมีคนเสนอขายถังน้ำมันดีเซล 15000 ลิตร ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ราคา 40000 ค่าส่ง 10000 ถ้าจะใช้เก็บน้ำระยะยาว จะคุ้มไหมครับ ขอขอบพระคุณท่านผู้เสียสละให้แนวคิดและคำปรึกษาไว้ล่วงหน้าครับ ขอบคุณมากครับ
- อ่าน 6171 ครั้ง
boston
6 เมษายน, 2011 - 17:53
Permalink
เข้ามาชื่นชมค่ะ
ดูจากความตั้งใจ แน่วแน่ และเตรียมการแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้ประสบความสำเร็จค่ะ วันหลังน่าจะลงภาพให้ชมบ้าง สมช จะได้ช่วยแนนำได้มากขึ้นค่ะ
_________________________
Our way is not soft grass, it’s a mountain path with lots of rocks. But it goes upward, forward, toward the sun. – Ruth Westheimer
นกเอี้ยง
7 เมษายน, 2011 - 12:19
Permalink
คุณเจนยุทธ
:hi: ไอ้ต้นไม้ใหญ่ที่จะปลูกเนี่ยต้นอะไรค่ะ ถ้าปลูกไว้ใกล้บ้านควรเป็นไม้ที่ไม่ใหญ่มาก เพราะถ้าใหญ่เกินไปอาจจะเป็นอันตรายได้ อาจจะเป็นไม้ผลนอกจากมะม่วงที่คุณจะปลูก เช่นลำใย ขนุน ตัดแต่งกิ่งได้ใบไม่ร่วงเยอะ(อาจจะขี้เกียดกวาด) ถ้าน้ำใตดินอยู่ลึกแนะนำให้เจาะบาดาลนะค่ะ ที่สวนเอี้ยงเจาะแล้วลึก ๓๐ เมตร ราคา ๔๐๐๐ บาทเอง ใช้ทั้งปี แต่ในช่วงหน้าแล้งบางที่ก็มีจำกัดนะค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ใช้น้ำในปริมาณมากทุกวันก็ไม่มีปัญหา และขอให้มีความสุขกับการเกษตร (ในอนาคต) อ้อ ขอคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรมด้วยนะค่ะ ไม่ค่อยมีเวลาไป ปฏิบัติที่บ้านได้ไหมค่ะ แล้วเราจะต้องทำยังไงบ้าง:cheer3:
ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในความฝัน และหลงลืมชีวิตจริง
เจนยุทธ
7 เมษายน, 2011 - 14:39
Permalink
คุณ นกเอี้ยง.. @^_^@
ขอบคุณครับ ผมว่าจะปลูก พวกไม้หอมน่ะครับ ลำดวน จันทร์กะพ้อ บุนนาค ประมาณนี้ครับสัก ยี่สิบต้นครับ ไว้บริเวญใกล้ตัวบ้าน ส่วนถัดไปด้านข้างบ้านเป็นสระ 1ไร่ ว่าจะปลูกไทรไว้สักต้นให้ร่มรื่น และก็ปลูกกล้วยน้ำว้าทิ้งไว้เลยสัก 30 ต้นครับ ส่วนพื้นดินที่เหลือ สองไรนิดๆ กะว่าจะลง ไผ่ตงลืมแล้ง สัก 150 หน่อ แล้วก็แซมด้วยมะม่วงหิมพานต์สัก15-20 ต้น ให้มันร่มรื่นไว้ปฏิบัติธรรม แล้วยังพอได้ผลผลิตครับ เพราะเห็นว่าไผ่ กับมะม่วงน่าจะทน เลยจะลงทิ้งไว้ก่อนฝนครับ ให้ได้ฝนนึง ก็น่าจะลอด เพราะหลังฝนแล้ว ยังไม่มีเวลาไปดูแลเต็มที่ครับ คงต้องปลูกทิ้ง แต่ต้นไม้ที่ตัวบ้าน 20 ต้น มันคงทนแล้งไม่ได้ เลยกะว่าจะทำระบบน้ำบำรุงแค่ 20 ต้นนี้ก่อนครับ ให้มันดูแลตัวเองได้สัก สองอาทิตย์ต่อการเติมน้ำเข้าถังเก็บหนึ่งครั้งก็ พอไหวครับ เพราะเกรงใจคนที่เขาต้องสูบน้ำให้ครับ ไว้ไปอยู่เองแล้วค่อยดูแลให้มากกว่านี้ แนวคิดประมาณนี้ครับไม่รู้ว่าจะไปได้แค่ไหน ... ส่วนเรื่องการปฏิบัตินะครับ แก่นจริงๆ อยู่ที่ใจครับ เพราะกรรมเกิดจากเจตตนา คนเราเกิดมาก็เพราะกรรมครับ กรรรมจึงเป็นเรื่องใหญ่ หลักข้อแรก คนเราทุกคนมีกรรมดีกับชั่วครับ ที่ให้ผลดีคือกรรมดี ที่คอยส่งผลร้ายคือกรรรมชั่ว ที่เคยทำมาแต่อดีต ดังนั้น ต้องไม่สร้างกรรมชั่วเพิ่มเป็นข้อแรก เมื่อชินกับการไม่สร้างกรรมเพิ่มแล้ว ก็เริ่มสร้างกรรมดีเพิ่มครับ และสุดท้าย พยายามรักษาความดีนั้นไว้ครับ นี่คือหลัก ดังนั้น กรรมเมื่อมันเกิดจากการกระทำ และการกระทำก็มาจากใจเราที่คิดจะทำ ซึ่งถ้าไม่มีสติก็มักทำกรรมไม่ดี ถ้ามีสติ ก็จะคอยระวังตัวได้ เช่นนั้นแล้ว เราต้องฝึกให้มีสติเป็นอันดับแรกครับ ไม่อย่างนั้นเราจะทำ 3 ข้อข้างต้นไม่ได้ ต้องเพียรสร้างสติครับ ดดยการ ถามหามันบ่อยๆ หลักทั่วไปมันจับสติ้กับลมหายใจครับ หายใจเข้าพุ ออก โธ ตอนเข้าก็ใหรู้ว่าเข้า ตอนออกก็ให้รู้ว่าออกครับ นี่ครับ แก่นของการปฏิบัติ ดังนั้นจะเห็นว่า เราสามารถ ทำ ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องวัด ที่สำคัญ รักษาสติไว้ให้ได้มากที่สุด ถ้าสติหายไปให้สำคัญเท่ากับทำแงค์ห้าร้อยหายครับ เมื่อทำบ่อยๆ สติจะอยู่กับเรานานขึ้น และเมื่อมีสติ เวลาจิตเรานึกคิดอะไร สติก็จะเห็นการนึกคิดนั้น และสติก็จะตรึกตรองว่าสิ่งนั้นเป็นบุญหรือบาป ถ้าบาป มันก็จะคอยดึงจิตไว้ไม่ให้ทำ นี่แหละครับ ข้อที่ 1 เมื่อเราไม่เผลอทำบาปบ่อยๆเป็นปกติ บาปเราก็ไม่เพิ่ม คราวนี้สติที่เรามี เราใช้ในการรักษาจิต คือ ดูแลไม่ให้มันเป็นอกุศล สมาธิก็เกิด นี่คือข้อ 2 ครับ สร้างความดี พอเรามีความดีเป็นปกติ เราจะมีความจรรโลงใจ ปีติ เชื่อมั่นในกุศลความดีที่เราทำ จิตก็สว่าง ปลอดโปร่ง กรรมไม่ดีก็ส่งผลไม่ได้ เพราะ กรรมดี คอยประคองอยู่ เมื่อจิตเราแจ่มใส สติเราไม่ขาด สติเราก็จะพยายามสร้างกุศล และไม่ทำอกุศล นี่คือข้อ 3 ครับ จิตรักษาความดีเอาไว้ เมื่อทำเป็นปกติ แล้ว เราก็จะเห็นความคิดต่างๆทั้งดีและไม่ดีจากจิต ทำให้เราเห็นความไม่เที่ยงของจิตครับ เราก็จะตระหนักได้ข้อนึงว่า จิต หรือ ความคิด มันไม่ใช่เรา มันมีหน้าที่คิดไปเรื่อย ตามเรื่องราวที่มันเจอ จะคิดดีหรือชั่วก็อยู่ที่ว่าจิตขณะนั้นเป็นกุศล หรือ อกุศล ถ้าเป็นอกุศลก็มักจะเพราะว่าจิตช่วงนั้นขาดสติ เมื่อขาดสติแล้ว เวลาจิตกระทบอะไร แล้วคิด เกิดเป็นอารมณ์ ชอบไม่ชอบ อยากได้ ไม่อยากได้ ไปเรื่อยเปื่อย ความสุข และทุกข์เกิดขึ้นตรงนี้ครับ เรียกว่าเกิดจากการหลงไปในอารมณ์ที่จิตคิด แต่พอมีสติ สติมันก็จะเห็นอารมณ์ว่ากำลังสุข หรือทุกข์ ก็ให้เราดูไป ศึกษาอารมณ์จิตไป เพื่อที่วันข้างหน้าเรารู้จักอารมณ์ต่างๆดีแล้ว ก็จะได้ไม่หลงทุกข์ หลงสุขไปกับอารมณ์โดยไม่มีสาระครับ นี่เป็นธรรมมะในระดับที่สูงขึ้นมาอีกนิดครับ แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวครับ เพราะทุกคนมีกรรม ทุกคนมี จิต ทุกคนมีทุกข์ การที่เรายังทุกส่วนมากก็เพราะไม่รู้จักตัวเองครับ ควบคุณอารมณ์ ควบคุณกิเลสไม่ได้ เลยทุกข์ ที่ไม่รู้จักเพราะไม่เคยอยู่กับตัวเองครับ ส่วนมากใช้เวลากับเรื่องนอกตัว เรื่องคนอื่น เรื่องสิ่งของต่างๆ แต่จะมีเวลาสักเท่าไรที่ใช้คุบกับจิตใจตัวเอง ใช้ค้นหาสติของตัวเองให้เจอ นี่ครับแก่นธรรม ทุกคนปฏิบัติได้ครับ ที่ไหน เมื่อไร ก็ได้ มีกาย มีใจ พร้อม ก็ทำได้แล้วครับ การปฏิบัติให้อานิสงฆ์มากกว่าการทำบุญทำทานเป็นร้อยเท่าครับ แต่หลายคนมองข้ามไปครับ คนเราอยุ่ได้เพราะกรรมครับ และกรรรมก็มาจากในใจเรานี่แหละครับ ดังนั้นการปฏิบัติ จึงเป็นการฝึกจิตฝึกใจ ดัดนิสัยเสียๆของจิตครับ แต่ทั้งหมด ต้องมีพื้นฐานสติที่ดีก่อนนะครับ จึงจะปฏิบัติได้ผลเร็ว ดังนั้นง่ายๆครับ เริ่มด้วยการดูลมหายใจให้ได้มากที่สุด ยืนเดิน นั่งนอน ในชีวิตประจำวัน พยายามอย่าให้มันหายไปไหนครับ ถ้ารองพยายามทำสักพัก พอสติแข็งแรงขึ้น เดี๋ยวก็จะทราบเองครับ ว่าจิตกับสติ มันคนละส่วนกัน และการมีสติที่แข็งแรงขึ้น มันให้ผลดีแค่ไหนครับ หวังว่าคำแนะนำจะพออ่านและเข้าใจในการนำไปปฏิบัตินะครับ .. ติดขัดอย่างไรลองถามมานะครับ อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนครับ สวัสดีครับ
วิศิษฐ์
7 เมษายน, 2011 - 16:42
Permalink
ถังน้ำ
ลองใช้โองแดงดูชิครับ...ถูกดี..ถังพลาสติกมันแพง แท็งค์ปูนก่อเองก็โอกาศรั่วสูง ที่บ้านผมใช้โอ่งแดง...แล้วทำแท่นวางให้สูงสักหน่อย จากนั้นเชื่อมโองทุกใบเข้าด้วยกันด้วยท่อ PVC ขนาด 1 นิ้ว ค่อลดลงเหลือ 6 หุน 4 หุน แล้วค่อยต่อเข้าระบบน้ำก็ พอใช้ได้ครับ ราคาถูกด้วย
ที่บ้านผมซื้อ ใบละ 800 บาท เก็บน้ำได้ประมาณ 1000 ลิตร พอใช้เลยครับ
หน้าฝนก็เอาน้ำรางรินเข้า
คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ..
นกเอี้ยง
7 เมษายน, 2011 - 20:50
Permalink
คุณเจนยุทธ
:beg: ขอบคุณมากๆสำหรับคำแนะนำการปฏิบัติธรรมค่ะ เป็นประโยชน์มากเลย แต่ยังมีเรื่องสงสัยอีกเรื่องค่ะ เอี้ยงเคยเห็นฝูงมดกำลังลุมกัดแมลงตัวนึงอยู่แล้วเอี้ยงก็อยากจะช่วยเจ้าแมลงตัวนั้นพอยิบมันขึ้นมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเราช่วยเจ้าแมลงแล้วพวกมดจะกินอะไร ก็เลยวางเจ้าแมลงลงไปอยู่ในฝูงมดเหมือนเดิมแล้วมันน่าสงสารมากแล้วอย่างนี้เอี้ยงบาปไหมค่ะคิดหนักนะเนี่ยจะเป็นบ้าหรือเปล่า5555(ไม่ต้องห่วงค่ะเอี้ยงแค่สงสัยถ้าคิดอย่างนี้บ่อยๆจะเป็นบ้าหรือเปล่า)
ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในความฝัน และหลงลืมชีวิตจริง
เจนยุทธ
8 เมษายน, 2011 - 08:55
Permalink
คุณนกเอี้ยง
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมครับ เขามีเหตุปัจจัยมา เขาเลยต้องเกิดมา เกี่ยวข้องเป็นอาหารกันครับ ถ้าการที่เราเห็นแล้ว เราไม่มีเจตตนาคิดร้ายกับชีวิตใด ผมว่าการที่เราช่วยเหลือ เราได้กุศลจาก การให้ชีวิต และเจตนาที่มุ่งมั่น มากกว่า การได้รับกรรมจากการที่เราไปเบียบเบียนเรื่องอาหารของมด ซึ่งเราไม่มีเจตตนา ไปคิดร้ายด้วยซ้ำครับ จำไว้อย่างเดียวครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรม มันมีที่มาที่ไป เป็นกฎครับ แต่ถ้าเราจะเข้าไปเกี่ยวข้องเมื่อไร กรรมก็ต้องกระทบเราด้วย เพราะเราเข้าไปร่วมในกรรมครับ แต่ต่างกันที่จะเป็นกรรมดี หรือชั่ว อยู่ที่เจตตนาครับ ถ้าการกระทำใดๆของเราไม่มีเจตตนา ที่จะเบียดเบียน ใครไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะ การเบียดเบียนชีวิตครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นถือว่าเจตตนาบริสุทธิ์ครับ อานิสงค์เยอะ แต่เหตุต่างๆ มีหลายปัจจัย จึงไม่สามารถอธิบายได้คลอบคุมครับ เพราะต่างเรื่องต่างปัจจัย เช่นกรณี ที่เป็นทั้ง เจตตนาดี และต้องเบียนเบียนสัตว์อื่นด้วย ก็ลองชั่งน้ำหนักดูครับ ที่ร้ายแรงที่สุดคือเบียดเบียนชีวิตครับ อีกอย่างเรื่องของกรรม ละเอียดอ่อนกว่า วิสัยเราๆจะเข้าใจที่มาที่ไปได้ทั้งหมดครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดหาที่มาที่ไปครับ แค่รักษาใจให้มีเจตตนาดีก็พอ อะไรที่ทำแล้วสบายใจ และไม่เบียนเบียนใคร ไม่คิดร้ายต่อใคร ทำไปเลยครับ ถ้าคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย จะเป็นทุกข์ไปเสียปล่าย คิดว่าน่าจะพอเป็นแนวทางในการตัดสินใจครั้งต่อไปได้นะครับคุณเอี้ยง ...
หน้า