ฟังเหลิดผึ้ง @ น้ำตกนกรำ ตอนจบ

หมวดหมู่ของบล็อก: 

คืนนี้เราจะได้ฟังการ 'เหลิดผึ้ง' ของชาวนกรำกันแล้วค่ะ   


บล๊อกนี้คงเป็นบล๊อกส่งท้ายสำหรับบรรยากาศงาน กิน ดี มี สุข ในครั้งนี้แล้วนะคะ  อาจจะยาวนิดนึง  เพราะมีแถมท้ายช่วงตอนเช้าก่อนที่สมชิกจะจากลากันด้วยค่ะ  ครั้นจะยกไปไว้อีกบล๊อกหนึ่งก็เกรงใจคนอ่านค่ะ   แค่นี้ก็คงตาลายกันไปหลายคนแล้ว  อิอิ    ทนอ่านนิดนึงนะคะ


หลังจากที่พวกเราได้พิชิต หนานลานุ้ยได้สำเร็จในสภาพที่สะบักสะบอมดังที่บอกไปแล้ว   พี่แจ้วก็เสนอว่าถ้าจะกลับลงไปนอนตรงริมธารน้ำตกข้างล่างน่าจะปลอดภัยกว่าไหม ?


หมวยเล็กเป็นคนแรกที่เห็นด้วยกับพี่แจ้วค่ะ    เพราะเห็นสภาพแล้วคิดว่าถ้าต้องอยู่บนนี้ทั้งคืนคงต้องได้ตื่นมาร้องไห้ขอกลับบ้านกลางดึกเดือนร้อนพี่โจแน่ๆ  (พูดแบบนี้คราวหน้าถ้าเขาไปปีนเขาเจ็ดร้อยยอดกัน เขาจะชวนเราไปไหมเนี่ยะ)


ตัดสินใจได้ดังนั้นก็ไม่รอช้าค่ะ  พี่แจ้วบอกว่ายิ่งช้าก็ยิ่งมืดค่ำแล้วจะเดินกลับยากกว่านี้ สภาพภายในป่าดิบชื้นแบนี้ เวลาแค่สามโมงกว่าก็ใกล้มืดแล้วค่ะ    ว่าแล้วโกโก้ก็เป็นคนแรกที่ออกเดินตัวปลิวโดยมีพี่แจ้ว  หมวยเล็ก  พี่โจ และทั้งหมดเดินตามลงมา   ขากลับแบบนี้คนนำทางหมดความหมายค่ะ  เพราะโกโก้นำเอง 


ขาลงง่ายกว่าและเร็วกว่าขาขึ้นค่ะ  เราลงมาถึงข้างล่างโดยสวัสดิภาพกันทุกคน  เดินชมวิวทิวทัศน์กลับลานน้ำตกกันไปแบบชิวๆ



ความสวยกินกันไม่ลง


สองสาว สองสวย ยังเดินลงแบบชิวๆ  นี่ขนาดคุบกบกันไปหลายตัวแล้วนะเนี่ยะ  


ฝนหยุดแล้วค่ะ  แต่สภาพแวดล้อมทั้งเปียกทั้งชื้น  ต่างคนต่างรื้อเสื้อผ้าออกมาตากเพราะของที่อยู่ข้างในเปียกหมดเลยค่ะ   หมวยเล็กเดินไปชวนพี่โจซึ่งกำลังซดกาแฟร้อนหอมกรุ่นอยู่อย่างเอร็ดอร่อย บอกให้พี่โจมาอาบน้ำ  สักแป๊บเดียวพี่โจก็ตามมา 


ตรงริมลำธารน้ำใส ไหลเย็นๆ  น้ำไม่ลึกมาก   พี่เก้ และพี่เสินรออยู่แล้ว และเราก็ลงอาบน้ำกันทั้งชุดที่เปียกนั่นแหละ ...ว่าแต่มันจะสะอาดหรือเปล่าไม่แน่ใจ   ใส่กางเกงยีนส์อาบน้ำ  จะถูจะขัดอะไรก็ไม่ได้  สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครถูใครขัดอะไรหรอกค่ะ  (แอบเห็นบางคนไม่อาบด้วยซ้ำไป)   ได้แต่ลงไปแช่ล้างเอาดินโคลนที่ติดตัวออก  แล้วก็ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ชื้นๆ  แล้วก็ค่อยไปหาผิงไฟเอา


น่าเสียดายที่ไม่ได้จับภาพตอนนี้    พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นห้องน้ำจำเป็นขึ้นมาทันทีทันใด   เพราะกลุ่มที่มาอาบน้ำก่อนต่างก็ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการผลัดเปลี่ยนทั้งผ้าขะม้า   ผ้าถุงถูกถลกกันให้วุ่น   มีอยู่ช่วงนึงพี่เสินห่อผ้าขะม้าแล้วกำลังจะเดินลงริมตลิ่งอีกรอบ  สองมือถือของไว้เพียบหันมาบอกพี่เก้ว่า  ‘ ช่วยรับของหน่อยผ้าจะหลุดแล้ว’   นี่ถ้าพี่เก้ยื่นมือไปช้ากว่านี้อีกนิด   หนูคงเป็นตากุ้งยิงไปแล้วแน่ๆ   555   


สักแป๊บเดียวได้ยินเสียงน้องใจ(หมอตำแย)โวยวายว่าอะไรดำๆติดที่ผ้าดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก   ตกลงว่ามันเป็นกุ้งฝอยหรือสาหร่ายคะ?   .... ส่วนหนุ่มจาจริงๆ ก็แอบเซ็กซี่เล็กๆ ถอดเสื้อโชว์กล้ามเป็นมัดๆลงไปไปกระโดดน้ำตูมๆอยู่คนเดียว



ข้างล่างมีแบบนี้ให้ใช้  แต่ข้างบน  ใช้จอบค่ะ


ชำระล้างร่างกายแล้วก็มาหาความอบอุ่นบริเวณกองไฟ  ซึ่งอุ่นจริงๆค่ะ   กองฟืนถูกสุมไว้เป็นหย่อมๆ ไฟเปรียบเหมือนชีวิตนะคะ  ยิ่งอยู่ป่าแบบนี้การได้นั่งล้อมรอบกองไฟแล้วลุ้นมันหมก   กล้วยปิ้งไปด้วย  ช่างมีความสุขจริงๆ 


น้องจาจริงๆและพี่โจตามมาสมทบค่ะ แล้วเราก็ล้อมวงมองดูเปลวเพลิงที่ลามเลียท่อนฟืนที่น้องๆเค้าก่อติดไว้ให้ก่อนแล้ว   ต่างคนต่างคิดถึงใครไม่มีใครรู้   แต่หมวยเล็กเกิดคิดดังๆขึ้นมาว่า นี่ถ้ามีหมูป่ามาให้เราย่างให้น้ำมันตกติ๋งๆสักตัวคงจะได้ดีไม่น้อย   !!


.... แป่วววว  !!!  บรรยากาศเงียบกริบจนเย็นวาบไปทั้งตัวค่ะ   เจ้าของพื้นที่จ้องหน้าหมวยเล็กตาเขม็ง   ทุกคนดวงตาคมกริบมีแววดุดันแฝงไว้ด้วยความเศร้าปนหวานละมุน  แต่ถึงจะดุแต่ก็อบอุ่นดีจัง!!    


พี่โจรีบแก้สถานการณ์ได้ทันพูดขึ้นทำลายความเงียบว่า    “หมวยเล็กเข้ามาทางไหน  ออกไปทางนั้นเลยดีไหม”   ก็จะไม่ให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ได้งัยละคะ   ก็ตรงที่เราอยู่นี้เป็นชุมชนมุสลิมร้อยเปอร์เซนต์เต็มนี่คะ  แล้วมีคนมาบอกว่าอยากกินหมูหัน ...  เขาไม่จับเราหันแทนก็บุญเท่าไหร่แล้ว  !!!    



เครือนี้ถูกขนขึ้นเขาเพื่อนเป็นเสบียงแต่ถูกทิ้งไว้ข้างทางตอนขาลง  ก็เลยเอามาปิ้งล้อมกองไฟค่ะ


พอคลายความเย็นเยียบลงแล้ว น้องจาจริงๆก็ยื่นกล้วยปิ้งให้พี่หมวยกับพี่โจทาน ....น่ารักจริงๆค่ะ น้องคนนี้  


น้องจาจริงๆเป็นคนพูดน้อยจนตอนแรกพี่คิดว่าน้องเป็นใบ้รู้ป่าว    พี่หมวยแอบถามพี่เก้ว่าน้องคนนี้คือทีมงานในพื้นที่หรือเปล่า   พี่ก้บอกว่ามาด้วยกันกับพี่เก้และพี่เสินจากปัตตานี  เอ....พี่เก้ไปเก็บมาจากไหนคะเนี่ยะ  !!! ตอนแรกคิดแบบนี้จริงๆค่ะ 


เรานั่งกันอยู่รอบกองไปนานหลายชั่วโมงเชียวค่ะ   นานจนกระทั่งเป้ที่พี่โจเอามาย่างไฟเริ่มแห้งนั่นแหละค่ะ   ในระหว่างที่เรานั่งคุยกันนั้นก็มีอาหารเย็นมาจากในหมู่บ้าน บางคนก็ปลีกตัวไปทานข้าว  บางคนก็เลือกที่จะกินมันกินกล้วยแทนมื้อเย็น  (เหมือนกับจะซ้อมไว้ว่าถ้าต้องไปตกระกำลำบากที่ไหน  เราจะได้กินอยู่แบบชาวป่าได้มั้งคะ)



บทสนทนาข้างกองไฟในค่ำคืนฝนตกที่น้ำตกนกรำ   และเป็นคืนเดียวที่เราได้อยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าครั้งต่อไปจะมีโอกาสเช่นนี้อีก แต่เชื่อแน่ว่าความประทับใจคงไม่เหมือนเดิมแน่นอน   


 ณ ที่ตรงนี้   แขกผู้มาเยือนได้ซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเจ้าถิ่นอย่างออกรสชาติ  เจ้าของพื้นที่ทุกคนกระตือรือร้นที่จะตอบคำถามพวกเราอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย โดยเฉพาะการ ‘เหลิดผึ้ง’  ซึ่งเป็นไฮไลท์ของงานนี้ซึ่งทุกคนอยากเห็นพิธีกรรมนี้มาก 


เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่าจะขึ้นไปเหลิดผึ้งกันจริงๆบนเขาที่เราเจอรังผึ้งเลย  เพราะต้องการให้พวกเราทุกคนได้ลิ้มรสหวานละมุนของน้ำผึ้งที่เก็บมาใหม่ๆสดๆจากรัง   แต่เนื่องด้วยฝนตกอย่างที่บอกไปค่ะ    กำหนดการอะไรต่างๆบางอย่างจึงเปลี่ยนไป    แต่เราก็ได้ฟังการร้องเหลิดผึ้งกันที่ลานรอบกองไฟแห่งนี้แบบไม่ผิดหวังค่ะ


‘ท้าวพันดอก’   คือสมยานามที่ชาวบ้านใช้เรียกขานผึ้งป่าค่ะ  สาเหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะว่าผึ้งเหล่านี้จะบินไปกินแต่เกสรของดอกไม้ในป่าสูงเท่านั้น และอิสระพอที่จะบินไปเกาะกินได้ทุกดอกทั่วทั้งป่าโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะติดสัมปทานจากใคร  และเมื่อผึ้งงานได้น้ำหวานจากเกสรดอกไม้แล้วก็จะเอามาเก็บรวมกันไว้ในรัง ซึ่งมีนางพญาเพียงตัวเดียวเป็นผู้พิทักษ์อยู่


น้ำผึ้งเดือนห้าเป็นที่สุดของน้ำผึ้งค่ะ     ช่วงนี้ผึ้งทั้งหลายจะทำการขอ  “ลง”  ณ ต้นไม้ต้นหนึ่งต้นใดในป่า  ซึ่งการ'ลง'ของผึ้งนี้เขาจะลงพร้อมกันทีละเป็นร้อยๆรัง   เป็นที่น่าแปลกใจว่า แม้แต่กิ่งผุๆที่อยู่บนต้นไม้ผึ้งก็สามารถทำรังบนกิ่งนั้นได้โดยไม่หัก  และน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักเมื่อรู้ว่าผึ้งจำนวนมากมายต่างก็ตกลงปลงใจที่จะเกาะทำรังบนต้นไม้ต้นเดียวกัน  น้ำหนักของน้ำผึ้งแต่ละรังได้มากถึงร้อยกว่ากิโล แล้วคิดดูสิคะว่าผึ้งตั้งร่วมร้อยรังน้ำหนักเป็นตัน แต่อยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกันได้อย่างไร  


อย่างนี้แล้วถ้าไม่เรียกว่ามหัศจรรย์ธรรมชาติแล้วเราจะหาคำใดมาเปรียบเปรยได้อีกละคะ


เรารอคุณตาพรานป่าอยู่ไม่นาน ท่านก็เข้ามาให้เราล้อมวงฟังการร้องเหลิดผึ้งกันค่ะ    ซึ่งลีลาและท่าทีก็มีคนบรรยายไปบ้างแล้วนะคะ   ช่วงนี้ลูกเล่นแพรวพราวเชียวค่ะ  


ฟังเนื้อร้องและสำเนียงที่คุณตาเอื้อนเอ่ยแต่ละวรรคตอนแล้วพวกเราถึงกับเคลิ้มตาม   ทุกคนตั้งอกตั้งใจฟังกันอย่างเงียบกริบ แม้กระทั่งลูกหลานชาวนกรำเองที่รายล้อมฟังอยู่กับพวกเราด้วย ต่างก็ตั้งใจฟังและจ้องเขม็งเพื่อจดจำรายละเอียดทุกเรื่องราวต่อภาพที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกับพวกเขาจะซึมซาบเอาทุกๆความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในทุกอณูเนื้อของตนเอง และเพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาเติบใหญ่ขึ้นมา ก็คงถึงคราวที่พวกเขาต้องกลายเป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุของบรพบุรุษเหล่านี้ สู่ลูกหลานรุ่นต่อไป ดูแล้วน่าภูมิใจนะคะ  ..   


 คุณตาบอกว่าในการร้องจริงๆนั้นเขาจะร้องกันเป็นคืนๆเลยค่ะ   บางครั้งสาม สี่ คืน (เขาไปเอาน้ำผึ้งกันกลางคืนค่ะ) คือร้องรับกันเป็นช่วงๆ  ตั้งแต่คนที่ขึ้นไปเป็นคนแรก   เรียกว่า ‘สนุนปลาย’   คนกลางเรียก ‘สนุนกลาง’  คนอยู่โคนเรียก ‘สนุนโคน’  คนที่รับหน้าที่สนุนปลายนอกจากจะเป็นคนที่มีวิชาอาคมแล้ว   สิ่งที่หมอหวานบอกว่าสำคัญที่สุดคือต้องมีความกล้าและมั่นใจใน'ของดี'ที่ตนมีอยู่   เพราะงานนี้ถ้าพลาดก็หมายถึงชีวิต   หมวยเล็กได้ถามว่าในประวัติศาตร์การเก็บน้ำผึ้งของชาวนกรำนี้เคยมีเหตุการณ์ใครเสียชีวิตระหว่างพิธีกรรมนี้บ้างไหม   คำตอบคือ....   ไม่มีค่ะ


 


คุณตานายพรานภาพนี้  จิ๊กมาจากบล๊อกพี่โจค่ะ เพราะคืนนั้นกล้องเดี๊ยงค่ะ    


Sample นิดนึง 


......ว่าน้องเหอ .....พี่มาแล้วนะน้องเหอ  


.......มาแหวกม่านทองเข้าหอน้องแก้วแล้วน้องเหอ .....


ตอนนี้คือกำลังจะเข้าหานางพญาแล้วค่ะ   พยายามอ่านสำเนียงใต้แล้วก็เอื้อนเอ่ยด้วยนะคะ   ฟังของจริงแล้วขนลุกค่ะ 


จำได้เฉพาะบทเข้าด้ายเข้าเข็มเท่านี้แหละค่ะ  


 


ด้วยความที่ต้นไม้สูงมากเค้าจึงแบ่งช่วงกัน การที่ได้นั่งข้างหมอหวานถือว่าโชคดีมาค่ะ เพราะหมอหวานได้แปลให้ฟังและบรรยายรายละเอียดตลอดรายการทั้งพิธีกรรมต่างๆและการขึ้นต้นไม้สูงๆว่าเขาขึ้นกันยังไง   รวมถึงการเอาแกลลอนขึ้นไปใส่น้ำผึ้งแล้วหย่อนลงมาเขาทำกันอย่างไร  หรือแม้แต่การตีลูกไฟในจังหวะที่กล่อมนางพญาจนได้ที่แล้ว เพียงเคาะแค่ครั้งเดียวนางพญาก็พาผึ้งทิ้งรังบินตามลุกไฟนั้นไปอย่างน่าอัศจรรย์    


ในบางครั้งเค้าบอกว่าคนที่อยู่บนสุดบรรจุน้ำผึ้งลงมาเต็มปรี่  แต่พอมาถึงโคนต้นคนข้างล่างกลับเห็นแต่ความว่างเปล่า  เมื่อเป็นเช่นนี้คนข้างล่างก็จะร้องส่งเสียงขึ้นไปเป็นคำกลอนเพื่อบอกให้คนข้างบนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   คนข้างบนก็สาวเชือกขึ้นไปใหม่แล้วก็มีพิธีกรรมเล็กน้อยเพื่อที่จะบังคับให้อะไรก็ตามแต่ที่มาบังตาคนข้างล่างให้เห็นเป็นถังเปล่านั้น ยอมปล่อยน้ำผึ้งถังนั้นให้เป็นอาหารของมนุษย์.... นี่มันคือศาตร์หรือศิลปคะ  ?



หมอหวาน ซึ่งเรียกตัวเองว่า  ห้องสมุดเล็ก  ส่วนห้องสมุดใหญ่คือคุณตานายพรานค่ะ


ในระหว่างที่คุณตากำลังเหลิดผึ้งให้ฟังอยู่นั้น   หมวยเล็กกับพี่เก้ก็ได้สอบถามรายละเอียดเรื่องยาแผนโบราณจากหมอหวานควบคู่สลับกันไป  เพราะคุณตาจะหยุดพักเหนื่อยเป็นช่วงๆ   แต่ละช่วงก็ไม่นานหรอกค่ะเพียงแค่หมดยาเส้นไปหนึ่งมวนเท่านั้นเอง  


ในระหว่างที่สลับฉากกับการเสวนาของพวกเรา   หมอหวานได้พูดสูตรยาโบราณ ‘หมากหมก’  ซึ่งเดิมทีก็ไม่รู้ว่าคืออะไรหรอกนะคะ   แต่ได้ยินพี่น้องบ้านสวนพูดกันเยอะ  


หมอหวานบอกถึงสรรพคุณให้ฟังว่า ตำรายานี้จะบอกว่าสำหรับท่านชายกินอย่างเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก   ของแบบนี้ต้องกินทั้งชายและหญิงเพื่อให้สมดุลย์กัน   หมอหวานคงกลัวหมวยเล็กไม่เข้าใจหรือไงไม่ทราบ จึงได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า เปรียบเหมือนกับเครื่องบินไง   ถ้าไม่มีสนามบินที่ดีๆเอาไว้รองรับ  เครื่องบินก็ร่อนลงลำบากและไม่ปลอดภัยและเผลอๆอาจจะไม่อยากร่อนลงสนามบินนี้ด้วย แต่จะพาลจะไปหาสนามบินอื่นจอดเป็นอู่แทนซะนี่   


พี่เก้ได้ยินดังนั้นหัวเราะชอบใจใหญ่ให้เป็นที่สงสัยของพี่เสินยิ่งนัก  พอเฉลยว่าเราคุยเรื่องอะไรกัน น้องจาจริงๆก็ขยับเก้าอี้เข้ามาหาพี่หมวยเล็กพร้อมสมุดบันทึกเล่มโตทันที    


ไม่ทราบมาเอง   หรือพี่เสินสะกิดให้มาจ๊ะน้อง      ?


หลังจากงานนี้ หมากหมกบ้านพี่เสินคงไม่ปลอดภัยแล้วละพี่  อาจจะมีคนไปแอบขุดมาปรุงยาสูตรพิเศษนี้จนอาจะสูญพันธ์ในเร็ววันนี้  โดยเฉพาะระวัง 'ตานนท์' ไว้ให้ดีนะคะ  ดังแล้วแยกวงหรือเปล่าน้อง  มากับพี่พา  แต่ไหงหนีตามไปเสินไปซะงั้นหล่ะ ...55  มีคนแอบเห็นไปซบกันที่บ้านพี่เก้  จริงป่าว  ???


ยังมีว่านอีกชนิดนึงที่ชื่อว่า  ‘ว่านไอ้เหล็ก’   อันนี้ก็มีหลายสายพันธ์ค่ะ  แต่วันนั้นคุณตานายพรานมัวแต่เอียงอายที่เราคุยกันเรื่อง เครื่องบินและอู่จอด  จึงทำให้ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนัก 


ว่านไอ้เหล็กนี้มีทีเด็ดกว่าหมากหมกอีกนะคะ  หมอหวานบอกว่าถ้าเอาสองอย่างนี่มาปรุงรวมกันด้วยสูตรที่เหมาะสมแล้วดื่มพร้อมกัน  รับรองว่าฟ้าเหลืองสะเทือนทั้งป่าแน่นอนค่ะ  


เอาไว้วันหลังหมวยเล็กได้เข้าไปหาหมอหวานที่บ้านศาลาแม็งจะเรียบๆเคียงถามให้นะคะ  ขอกระซิบว่าตำรับนี้สำหรับคนที่มีลานบินและเครื่องบินเป็นของตัวเองแล้วเท่านั้นนะคะ  ฮา ฮา !!


คุณตาเริ่มหมดแรง  พวกเราก็งว่งแล้วค่ะ  ปีนเขากันมาหมดสภาพไปตามๆกัน ต่างก็แยกย้ายไปนอน



ที่นอนของเรา  ซ้ายมือน้องจา นอนคนเดียว  อันกลางหมวยเล็กกับพี่โจ ขวาสุดหลังใหญ่พี่พา กับนายหัว


ข้างหน้าเราเป็นเปลของพี่เก้ กับพี่เสิน  ไม่อยากจะบอกเลยว่าสามประสานรอบทิศ  ทำงานพร้อมกันทั้งคืน สลับกันคนละครืด สองครืด แต่ข้างซ้ายมีเสียงละเมอด้วยล่ะ



ขากลับแวะไปเอาต้นตาหมัก ต้นละสิบห้าบาท 


ออกมาจากตรงนี้ ไปแวะบ้านพี่แจ้วต่อ  เรารึก็ไปไม่ถูก แต่มีคนอาสานำทางไปให้ เกือบได้วางมวยกับคนนำทางแล้วเชียว


...เขาให้ขับนำ   แต่นี่กลายเป็นขับหนีซะนี่ !!



นายหัว..เอากี่ต้นดีจ๊ะที่รัก


...เอาไปเยอะๆก็ดีนะ  เผื่อมันตาย


นายหัว...ตายก็มาเอาใหม่ได้


...เอาไปวันนี้แหละ ไม่ต้องเสียเวลามาอีก ตกลงเค้าเอาร้อยต้นนะ  ตะเองไปจ่ายตังค์ด้วย และพอถึงบ้านก็ขุดหลุมปลูกเลยนะ  เค้าจะอัพบล๊อก!


นายหัว..จ้าาาาา


ขอรำลาค่ำคืนอันแสนประทับใจที่น้ำตกนกรำแต่เพียงเท่านี้นะคะ คราวหน้าถ้ามีโอกาสแบบนี้อีก  อยากเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความประทับใจด้วยกันค่ะ



ส่งท้ายด้วยภาพดอกไม้ริมทางค่ะ


...ดอกอะไร ไม่รู้นาม เจ้างามนัก


...ดูน่ารัก มีคุณค่า จึงอยากขอ


...ดอกไม้ป่า ริมทาง ยังบานรอ


...ไว้หลอกล่อ หมู่ภมร มาร่อนเชย


...................................................................................


...แว่วเสียงไพร ปลุกไก่ป่า มาขับขาน


...น้ำตกธาร ประสานเคียง เสียงใดเหมือน


...ลำนำไพร บรรเลงเรื่อย เจื้อยส่งเดือน


...กระซิบเตือน ปลุกเพื่อนฟื้น ตื่นนิทรา


...พบเพื่อจาก จากเพื่อจบ หรือพบใหม่


...เสียงหัวใจ คร่ำครวญถึง รำพึงหา


...อาลัยวรณ์ กอดลาจาก ปาดน้ำตา


...โอกาศหน้า อีกคราใด ...เมื่อไรเจอ ...


ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


ความเห็น

อ่านทุกตอนจนจบ ประทับใจทุกตอน พี่หมวยเล็กถ่ายทอดศิลปะลงบนตัวอักษรได้ดีเลยค่ะ จินตนาการภาพตามได้เลย อ่านแล้วอยากไปด้วยที่สุด(แต่ไม่รู้ว่าไปแล้วจะพูดแบบพี่จาจิง รึเปล่า...เพราะอ่านบล็อกพี่หมวยเล็ก เลยตัดสินใจมา :uhuhuh: หวังว่าเราคงได้มีประสบการณ์ดีๆแบบนี้ร่วมกันนะคะ :love:

สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี

ไม่ว่าจะตัดสินใจร่วมด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม   พี่ขอยืนยันว่าน้องจะไม่มีวันถูกทอดทิ้งค่ะ 

คืนนั้นผัดเผ็ดกบมั่งหม้าย...เห็นครุบหลายรอบ.... หมอหวานท่านเก่งจริงๆค่ะ... เสียดาย มีโอกาสคุยกับท่านน้อย..

ชีวืตที่เพียงพอ..

หมอหวานเหมือนห้องสมุดห้องใหญ่ค่ะ  ตลอดชั่วชีวิตนี้ ไม่แน่ใจว่าจะอ่านหนังสือในห้องนี้ได้ครบทุกเล่มหรือเปล่า


แต่พี่ชอบห้องสมุดที่มีชีวิตเหล่านี้จังค่ะ  เพราะต้องใช้ศิลปในการอ่าน เราอาจจะไม่ต้องอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย  เพียงแค่เราสนใจเรื่องไหน  ก็เปิดสวิทย์ไปที่หน้านั้น ก็จะได้ความรู้จากทุกมิติค่ะ


นี่แค่ว่าพี่ได้คุยกับหมอหวานเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของเวลาเองนะคะ   แต่ก็เอามาโม้ได้เป็นตุเป็นตะ ถ้ามากกว่านี้สงสัยต้องเล่ากันเป็นเดือน 

น้อยเข้าใจว่าน้องจาเป็นทีมงานในพื้นที่เหมือนกัน.. แต่คุ้นๆหน้าน้องคนนี้งจัง... ตอนแจกยาดม..น้องก็มองยิ้ม ๆ เลยยื่นไป น้องก็รับแบบอาย ๆก็เห็นแต่ น้องจ๋าจัง เป็นส่วนใหญ่...ไม่ว่ากันนะคะน้องจา

ชีวืตที่เพียงพอ..

ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องยาดม แง๊

:desperate:

น้อยทั้งแจกทั้งแถม..จนพี่เล็กแซวว่า.จะทำตลาดไปถึงไหนกันนะ...อ้อ..พี่โจไปเอากระเป๋าแน่เลย...หม้ายพรื้อแล่วจะฝากให้ลองนะคะ

ชีวืตที่เพียงพอ..

เขาแจกยาดมให้เฉพาะคนแก่ค่ะ 


เรายังไม่แก่  เขาก็เลยไม่ไห้


พี่เสินได้ไปสาม  !

ตอนดึกๆ น้องจามีอายมากกว่านี้อีกค่ะ  อยากฟังมั้ยว่าอะไรที่ทำให้น้องจาอายจนอยากกระโดดเข้ากองไฟให้รู้แล้วรู้รอดไป  :uhuhuh:

รีบจบทำไม กำลังอ่านเพลินๆๆๆ

ขออีกตอน เป็นแบบเก็บตก มุมฮา เรท อาร์ เรด โอ มั่งจิ คะ

ฮิ้วววววว

หน้า