เฮียตั้มฝากมาถาม

มีพรรคพวกเอาขี้เลื่อยแบบนี้มาให้( 30 กว่ากระสอบ) ผมจะเอาผสมกับดิน (ดินเดิมเป็นดินถมแข็งมาก) เพื่อให้ร่วนขึ้น จะมีปัญหาอะไรมั๊ยครับพี่น้อง


มาได้เลยครับ...เยอะมากเลย..

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

สรุปพี่ว่าใช้ใบไม้ของเราดีกว่านิ อารีย์

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

                   ผมว่าเอาไปผสมดิน หมักไว้ก่อนดีไหมยังไม่ต้องปลูกพืชครับ ให้มันย่อยสลายก่อน เพราะช่วงกำลังย่อยสลายจะเกิดความร้อนครับ  :embarrassed:

 

                    ลุงพี่สบายดีน่ะครับ

ไม่น่าจะมีปัญหานะ  ดินน่าจะซุยขึ้น


....แต่ระวังปลวก นะลุง :uhuhuh:

ทำไมมันเบิ้ลละ..ลบแล้วกันเหลืออันเดียวพอ..เราชอบพอเพียง..อิอิ..

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

น่าเบื่อมากเลยกะปลวก..เปิ้ล..พี่ว่าจะไม่เอาแล้ว ใช้เศษใบไม้ดีกว่า ใบปีปที่ร่วง กำลังรอผสมดินอยู่อีก 2 กองใหญ่ๆ

 

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

เฮียตั้ม  เอาแบบมีสาระแล้วกันนะครับ  แต่ไม่ต้องเชื่อมาก เพราะผมไม่ได้จบเกษตรนะครับ

- ตอนขี้เลื่อยอยู่กับขี้เลื่อยเยอะๆ มันจะสลายตัวช้า  เมื่อมาผสมกับดินหรือปุ๋ยหมักจะสลายตัวได้มากขึ้น

- ขี้เลื่อยมีความพรุนเมื่อใส่ไปโดยไม่โดนน้ำจะช่วยเพิ่มความร่วนซุยและอากาศให้กับดิน

- ขี้เลื่อยค่าความอุ้มน้ำสูงมาก เมื่อโดนน้ำจะอุ้มน้ำมากจนเกินไปทำให้มีปัญหาเรื่องการระบายอากาศ  อาจจะทำให้รากเน่า หรือเป็นแหล่งขยายพันธุ์ของเชื้อรา

- ขี้เลื่อย ซึ่งมีอัตราส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C:N)สูงมาก  (มากกว่า 300:1 ค่าปกติของปุ๋ยหมักที่หมักสมบูรณ์แล้วจะประมาณ 20:1) เมื่อใส่ในดินปลูกพืชจุลินทรีย์จะแย่งไนโตรเจนในดินไปใช้ในขบวนการย่อย มีผลทำให้พืชขาดไนโตรเจนชั่วคราว ถ้าไม่มีการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนพืชจะขาดจนกว่าจุลินทรีย์เหล่านี้จะมีกิจกรรมลดลง จึงจะได้ไนโตรเจนกลับคืนสู่ดิน  อาจจะทำให้ต้นไม้ของพี่ออกอาการใบเหลืองได้ (ชาวบ้านจะบอกว่ามันเค็ม)

- ขบวนการหมักของขี้เลื่อยใต้ดินในสภาพไร้ออกซิเจน ทำให้อุณหภูมิสูงมาก จนเกิดสารสีดำหรือน้ำตาล ในสภาพนี้ขี้เลื่อยจะอิ่มตัวไปด้วยสารพิษซึ่งเป็นกรดอินทรีย์ชนิดระเหยง่าย มีกลิ่นฉุนมาก และเกิดไอที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้เป็นอันตรายแก่พืชหลายชนิดได้

- ถ้าเฮียจะเอาไปทำปุ๋ยหมักเน้นว่าควรผสมด้วยอย่างอื่นที่มีไนโตรเจนสูง เช่น มูลสัตว์ (ที่บริษัทจะรดด้วยน้ำกากส่าเป็นการเพิ่มไนโตรเจน) หรือเพิ่มปุ๋ยเคมีไนโตรเจนเลยก็ได้  และไม่ควรรดน้ำมากเกินไป เพราะขี้เลื่อยอุ้มน้ำได้ดีมากจะทำให้ไม่มีอากาศเพียงพอต่อการหมัก  และไม่ควรขึ้นไปย่ำบนกองปุ๋ยตอนรดน้ำ  เพราะสภาพอุ้มน้ำจะทำให้เกิดการยุบตัวได้มากกว่าปกติ ทำให้กองปุ๋ยแน่นทึบเกินไป เชื้อจุลินทรีย์จะเจริญได้ไม่ดีเท่าที่ควร

- สรุปแล้วถ้าพี่ตั้มจะใส่ในดินเลย ควรจะใช้ในปริมาณน้อยมากๆ  หรือไม่ก็เอาไปหมักกับปุ๋ยหมักเป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์  (ถ้าในกลางกองยังร้อนอยู่แสดงว่าขบวนการหมักยังไม่เสร็จ ไม่ควรเอามาใช้ ให้หมักต่อ) หรืออีกทางออกหนึ่งก็คือแบ่งให้น้องๆ บ้างซิพี่ มีตั้ง 30 กระสอบ :uhuhuh:

“Stupidity is an attempt to iron out all differences, and not to use them or value them creatively.”
― Bill Mollison

โหนึก..นึกวิชาการเต็มสูบเลยนะ..ข้อมูลดีมากเลยครับขอบคุณมาก แล้วพี่จะจัดการกะไอ้พวกนี้ยังไดี (หลังต้นมะม่วงยังอีกกองนึง)

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

เอามาแบ่งน้องๆ จิ ว่าจะขอสัก 2-3 กระสอบ เอามาห่มโคนต้นไม้ (ไม่ฝังดิน) ฮ่าๆๆ :uhuhuh:

“Stupidity is an attempt to iron out all differences, and not to use them or value them creatively.”
― Bill Mollison

คงจะเป็นขี้เลื่อยโซ่ยนต์ เพราะหยาบมาก ผมเคยเอาไปผสมกับขี้เถ้า,หน้าดินอย่างละเท่าๆ กัน แล้วใส่ถุงดำปลูกต้นไม้เล็กๆ ก็ขึ้นดีครับ แต่พอผ่านไปหลายเดือนเครื่องปลูกก็จะยุบตัวลงประมาณเกือบ1ใน3 คงจะเป็นเพราะขี้เลื่อยถูกย่อยสลาย แถมมีปลวกอยู่ข้างในด้วยครับ ผมว่าน่าจะผสมกับหน้าดิน,ปูนขาวหรือขี้เถ้าแล้วฝังกลบเอาไว้เพื่อให้จุลินทรีย์ในดินช่วยย่อยสลายก่อนหลายๆ เดือนจนยุบตัวแล้วจึงค่อยปลูกพืชลงไปครับ แต่ผมว่าตัวขี้เลื่อยคงไม่ค่อยมีแร่ธาตุมากมายหลายชนิดเหมือนกับส่วนที่เป็นใบ,ดอก,ผล นะครับ น่าจะเป็น แคลเซี่ยม, โปตัสเซี่ยม และสารอินทรีย์ที่เกิดจากการย่อยเซลลูโลส

หน้า