สอบถามแรงบันดาลใจที่เลือกจะเป็น เกษตรกร ค่ะ

อยากสอบถามท่านที่เลือกทำการเกษตร โดยเฉพาะท่านที่เลือกที่จะทำเป้นอาชีพหลักค่ะ
ว่า มีแรงบันดาลใจอะไรที่เลือกทำอาชีพนี้
ทำมานานแค่ไหนแล้ว และมีอุปสรรคสำคัญที่สุดคืออะไร แล้วแก้ไขอย่างไร
สุดท้ายคือพอใจมากน้อยแค่ไหนในการทำอาชีพนี้คะ

แนะนำตัวสักเล็กน้อยนะคะ
เราเกิดและอยู่กรุงเทพ ทำงานออฟฟิศมาตลอด (ปัจจุบันไม่ได้ทำแล้ว)
แรงบันดาลใจอาจจะดูตื้นเขินไปบ้างคงไม่ว่ากันนะคะ  ปัญหาของเราคือเรื่องมลภาวะทางเสียงค่ะ(เสียงเบสจากเครื่องเสียง/ทีวี)
รวมไปถึงปัญหาสารพันของกรุงเทพ โดยเฉพาะคนที่เยอะมากๆ

ก็มานั่งพิจารณาค่ะว่า  ถ้าไปอยู่ต่างจังหวัดแต่ยังทำงานในตัวเมือง ก็คงหนีไม่พ้นสภาพเดิมๆ 
ถ้าอยู่นอกตัวเมืองไป ก็นึกถึงอาชีพเกษตรกรก่อนเลย
แต่ก็คิดว่าเป็นอาชีพที่ไม่ง่ายเลย แรกสุดคือเรื่องแรงกายซึ่งไม่เคยทำงานหนัก แต่ก็คิดว่าถ้าเริ่มตอนนี้ค่อยๆปรับไปก็น่าจะพอไหว
อย่างที่สองคือเรื่องแรงงาน/ความปลอดภัย เพราะต้องทำคนเดียว (เพื่อนบอกว่าสนใจทำ แต่รอเกษียณก่อน)
อย่างที่สามคือความรู้ อันนี้คิดว่าค่อยๆทำไป เรียนรู้ไป ติดตามข่าวสารจากเครือข่าย น่าจะพอไหว
แต่ระหว่างนั้นจะต้องกินแกลบหรือเปล่านี่ไม่แน่ใจค่ะ
อย่างที่สี่คือ ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้าง

คิดว่าจะเริ่มจากไปอบรมศูนย์กสิกรรมธรรมชาติที่มาบเอื้อง ใกล้กรุงเทพหน่อย แต่ไม่มีตารางเวลาแน่นอน ต้องโทรไปเช็คทุกเดือน (เกรงว่าความกลัว ความไม่มั่นใจของตัวเองจะเพิ่มขึ้นตามเวลา)
ก็คิดว่าจะลองพิจารณาที่อื่นดูด้วย หลังจากนั้นก็หาที่ฝึกงาน(จะมีไหมนี่) 

ถ้ามีคำแนะนำอะไรก็ยินดีนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ _/\_

เพิ่มเติม ลืมถามคำถามสำคัญไปค่ะ ว่าสำหรับคนที่เริ่มโดยไม่มีพื้นฐาน หรือครอบครัวที่เป็นเกษตรกรมาก่อน เริ่มกันอย่างไรคะ

ผมขอแลกเปลี่ยนด้วยคนนะครับ

ก่อนอื่น ผมว่าต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการพึ่งตนเองก่อนครับ หากเราเข้าใจแล้ว ทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องรองลงมา คิดพึ่งตนเองด้วยอาชีพอะไรก็ได้ แต่หากชอบเรื่องกสิกรรมอาชีพนี้สามารถสร้างความสุขให้กับเราได้หลายๆเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องเงินๆทองๆ ยกตัวอย่างเราปลูกผักเองกินเอง เมื่อถึงเวลาได้ลิ้มรสชาติแล้ว ลองสังเกตนะครับ เช่นรสชาดผักบุ้งกรอบอร่อยมากเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน ชะอมไม่เหม็นเขียวอย่างรุนแรง ที่สำคัญไม่มีสารเคมี หรือคนอื่นๆ ว่างัยครับ เรื่องรสชาด ทุกวันนี้ผมเริ่มมีผักกินเองบ้างแล้วไม่ต้องซื้อไปซะทุกอย่าง มีไปฝากพี่สาวด้วยเวลาไปเยี่ยม ทุกเรื่องต้องอาศัยเวลานะครับ บางเรื่องต้องค่อยเป็นค่อยไป บางเรื่องต้องทำก่อน บางเรื่องต้องทำหลัง คือต้องใจเย็น ผักบุ้งใช้เวลาเกือบเดือนถึงจะกินได้ แต่ถ้าไม่ปลูกเมื่อไรจะได้กิน

 ไม่ต้องเริ่มใหญ่โตครับ เอาแค่พอทำไหว สนุกๆ ไม่เหนื่อยมาก ไม่ต้องบีบตัวเองจนเกินไป แล้วค่อยๆเพิ่ม ค่อยๆขยาย ดูตัวอย่างในนี้สิครับ พี่หลายคน ก็ทำนิดๆหน่อยๆ มีความสุข ไม่มีที่ดิน ก็เอาดินใส่กระสอบ ไม่ต้องถึงกับศึกษาวิธีปลูกแบบไร้ดินก็มีกิน ลองปลูกผักสวนครัวง่ายๆก่อนครับ แล้วจะรู้ว่าเมืองไทยของเรานี้ดี ปลูกอะไรก็ได้กิน เรื่องเคมีหันหลังให้ไปเลยครับ ค่อยๆเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เช่น ปุ๋ย สารไร่แมลง วิธีการเลี้ยงดิน การอนุรักษ์น้ำ และอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งเริ่มฝึกเรื่องคุณธรรมด้วยนะครับ ความรู้ไม่นานก็เรียนทันกันครับ แต่ดีนี่สิครับต้องฝึก อจ.ยักษ์ เคยเหน็บแนมคนภาคตะวันออกว่า " ให้ทำแบบขี้เกียจกันซะบ้าง อย่าขยันกันนัก " เพราะผมเองก็ขี้เกียจ เลยเข้าทางส่วนเข้าทางเรื่องอะไรบ้างเอาไว้ ค่อยๆ ว่ากันนะครับ หวังว่าคงได้อะไรบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ สู้สู้ครับ

 

 

อ.ลุงสมศักดื บอกว่า เดินทีละก้าว  กินข้าวทีละคำ  ใช่มั๊ย

ตามรอยพ่อคิด ด้วยวิถีชีวิต ที่เพียงพอ

เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง

เป็นคำที่มาจากการอบรมของมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ น่าจะมาจาก อ.วิวัฒน์

เยี่ยมจริงๆๆมีข้อคิดดีๆทั่งนั่นเลยครับผมชอบมากเลย

เงินทองเป็นมายาข้าวปลาเป็นของจริง

toy_za2519@hotmail.com

ขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ  เห็นสมาชิกบ้านสวน ฯ หลายท่านยังลังเลที่จะลงมือทำการเกษตร เอาเป็นว่าต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ถามตัวเองว่าสู้มั้ย  ถ้าสู้ก็ลงมือเลย  เป็นคนชอบปลูกผัก  ปลูกต้นไม้หรือเปล่า  ถ้าชอบก็ลงมือเลย  กลัวตัวดำ  หน้าดำ เล็บไม่สวย หรือเปล่า  ถ้าไม่กลัวก็ลงมือเลย ฯลฯ  ที่บอกว่าให้ลงมือทำเลยเพราะบางท่านบอกว่าต้องรอหลังเกษียณก่อน อย่ารอเลยคะเพราะถึงเวลานั้นคงจะสายแล้วอายุมากขึ้นจะเอาแรงที่ไหนมาทำ ต้นไม้กว่าจะโตได้รับผลไม่ใช่วันสองวันก็ออกดอกออกผล  เกษตรกรที่ประสบความสำเร็จใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปี ลองผิดลองถูก   การจ้างแรงงานมันก็ไม่เหมือนเราดูแลเอง  ขอเป็นกำลังใจให้สู้ ๆๆ นะคะ

ถ้ามั่นดู        ดูอะไร    ก็ต้องเห็น

ถ้ามั่นทำ      ทำอะไร   ก็ต้องเป็น

ถ้าไม่เล่น      ขยันทำ   สำเร็จเอย...

ไม่ทราบที่มาของคำคมบทนี้  ได้ยินป๋าที่บ้านพูดบ่อย ๆ  เลยยกมาเป็นกำลังใจให้สมาชิกชาวบ้านสวน ฯ

ที่สุดของความฝันของมนุษย์เงินเดือนคือการปลดแอกจากชีวิตลูกจ้าง เป็นนายของตัวเอง ปัญหาคือการนับหนึ่งในทางเดินใหม่ อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือใจ หากไม่นิ่ง ไม่แน่ ก้อพ่ายแพ้แต่ยกแรก เพิ่งจะพูดคุยกับเพื่อนที่อายุพอกัน (ครึ่งศตวรรษ) ที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งบริหารในองค์กรแห่งหนึ่งเพราะเบื่อและไม่อยากที่จะทนกับความกดดัน ผมผ่านชีวิตอย่างนี้มาเมื่อสิบปีที่แล้ว มาเริ่มนับหนึ่งในความเป็นนายของตัวเอง พบว่าเรื่องใจเป็นปัจจัยหลักที่ชี้ขาดความสำเร็จ ดังที่ว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ผมเริ่มจากตั้งเป้าหมายรายได้ที่ไม่สูง เป็นไปได้ แต่อยู่ได้หากลดการใช้จ่ายจากที่เคยเป็น ลดจากที่เคยได้รับถึง 80 % (รับเพียง 20%) ใหม่ๆท้อมาก ช่วงวิกฤตคือหกเดือนแรก ดีแต่ว่าเป็นงานที่เรารัก เราเลือกเองและมีความสุขที่ได้ทำ เงินทองถูกชดเชยด้วยสุขภาพจิตที่ดีก้อน่าจะโอเค พอใจรักงานที่ทำ สนุกกับการพัฒนางาน ไม่ช้ามันก้อดี ไม่ถึงสองปีก้อสามารถทำได้เหมือนที่เคยรับ ตอนนี้ก้าวไปไกลกว่า (คงไปตามอัตราเงินเฟ้อมั๊ง) แต่งานเกษตรมันอาจแตกต่างตรงที่ต้องอาศัยแรงกายที่มากกว่ากันมาก ผลตอบแทนอาจไม่หวือหวา มีปัจจัยด้านธรรมชาติและตลาดที่ยากจะควบคุม แต่มันก้อแลกมาซึ่งความสุขสงบ ความเอื้ออาทรในสังคมชนบทเกษตรกรรม อาหารการกินหาได้จากผลผลิตของเราเอง ปัญหาเรื่องความรู้อาจแสวงหาได้ ลองผิดถูกได้ แต่หากใจหน่าย กายไม่รับ มันก็จบ ผมจึงคิดว่าหากยังไม่ลาออกจากงานประจำ น่าจะลองทำควบคู่ไปก่อนดูว่าเหมาะกับตัวเองไหม แต่ต้องทำจริงนะ คิดว่าออกมาทำจริงแต่ทำเฉพาะเวลาที่มี (เหนื่อยมากช่วงเวลานี้) เหมือนการเลี้ยงสุนัข บางคนเหงา อยากเลี้ยงสุนัข พอเลี้ยงจริง เจอภาระทั้งการดูแล ให้อาหาร ไปเที่ยวหลายวันไม่ได้ ห่วง ต้องจับอาบน้ำ พาไปหาหมอตอนป่วย คอยกำจัดเห็บหมัด ตามไปจ่ายค่าทำขวัญเมื่อมันไปกัดคนอื่นเข้า สุดท้ายเอาไปปล่อยวัดก้อมี ที่กล่าวมาไม่ใช่ให้กลัวนะ ผมว่าเราต้องศึกษา ลองทำ และหากเริ่มจริง มันสำคัญที่ใจ ตอนนี้ผมก้อเริ่มจะพัฒนาตัวเองเป็นเกษตรกรพอเพียงแต่เป้าหมายต่างไปจากเดิม

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

หน้า