บทความ..สมัยเรียน..ของลำใย..

หมวดหมู่ของบล็อก: 

 วันนี้ขอนำเสนอบทความที่ผมเขียน..เพื่อแสดงองค์ความรู้.(ภูมิความรู้)    เป็นบทความเขียนเสนออาจารย์สมัยที่เรียน..รับรองได้ว่าไม่ลอกคนอื่นมา..ยกเว้นแต่เนื้อหาบางส่วนอาจจะเหมือนกัน..เช่นชื่อทางการของแมงกุดจี่ผมก็ไปลอกเขามาแต่จำไม่ได้ว่ามาจากไหน..แต่ที่แน่ๆน่าจะมาจากสารานุกรมไทย ..อยากนำเสนอเพื่อให้ตัวเองดูเป็นผู้ทรงความรู้..อยากเป็นนักวิชาการนะครับ.ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า..ฮ่าๆๆๆๆๆฮิ้ววววววว....



แมงกุดจี่ : สัตว์เศรษฐกิจระดับรากหญ้า 


            การกินอาหารเป็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในรูปแบบหนึ่ง  ที่สั่งสมสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นความรู้และประสบการณ์  ถูกถ่ายทอดและสืบสานต่อๆกันภายในครอบครัวและชุมชนท้องถิ่นนั้นๆซึ่งวัฒนธรรมอย่างหนึ่งคือวัฒนธรรมการกิน   จะมีความเหมือนและแตกต่างกันหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นสำคัญ  รวมทั้งภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดต่อๆกันมา  รวมทั้งระบบเศรษฐกิจระบบพึงพาตัวเอง   โดยอิงแหล่งวัตถุดิบที่จะนำมาแปรรูปเป็นอาหารต้องได้มาแบบฟรีๆโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนอกจากเวลาและแรงงาน   เมื่อแหล่งวัตถุดิบนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยภูมิอากาศและภูมิประเทศ    แหล่งวัตถุดิบนั้นๆจะมีชื่อเฉพาะ  การนำมาแปรรูปก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและจะแพร่หลายเมื่อผ่านระยะเวลาช่วงหนึ่งตามความทันสมัยของโลกปัจจุบัน  แมลงกับวัฒนธรรมการกินของชาวอีสานเป็นสิ่งที่ควบคู่กันมานาน  ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบของห่วงโซ่อาหารหรือความสัมพันธ์รูปแบบการดำรงชีวิต  แมงกุดจี่เข้ามามีบทบาทในกระบวนการเหล่านี้อย่างแยกไม่ออก  โดยเฉพาะวิถีชีวิตชาวอีสานและชาวเหนือ


                แมงกุดจี่  (Dung beetles)  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์  Heliocopris buccphalus Fabricius   (ไม่แน่ใจว่าผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้แมงกุดจี่  เคยกินแมงกุดจี่สุดอร่อยหรือเปล่า)  แปลเป็นภาษาชาวบ้านอ่านแล้วไม่ต้องแปลก็คือ  ด้วงขี้ควาย  ด้วงขี้คน  แมงขี้ครอก  หรือจีหรอบ  แมงกุดจี่ที่เจอและนิยมรับประทานพร้อมทั้งรับประกันว่าไม่มีพิษ  คือ 


1.  กุดจี่แดง  ส่วนหัวอกปล้องแรกจะปีกมีสีดำปนส้ม ท้องดำ ตัวผู้อกปล้องแรกมีเขา 1 อัน (ได้รับการรับรองว่าอร่อยที่สุด..สอยมาตั้งแต่เด็ก. )


2.  กุดจี่หวาย  ส่วนหัวมีลักษณะกลมบางแบ  คล้ายจาน หนวดแนบหัด  ข้อศอก  ปากเป็นแบบกัดกิน  หัว  ท้องและมีปีกสีน้ำตาล  ตัวผู้อกปล้องแรกมีขา 2 อัน ( อัตราส่วนประชากรกุดจี่หวายต่อหนึ่งกองขี้ควายจะมีอัตราส่วนมากกว่าแมงกุดจี่อื่น ๆ รสชาติความอร่อยเป็นรองกุดจี่แดง..อันนี้ก็สอยมาตั้งแต่จำความได้แล้วครับ.)


3.  กุดจี่เขา  ลำตัวมีสีดำหรือน้ำตาล  ส่วนหัวมีลักษณะโค้งครึ่งวงกลม  ขอบแบนบาง  ตัวผู้ส่วนหัวมีเขาโค้งงอ  1  อัน  อกปล้องแรกมีเขา  2  อัน  (ตัวนี้ก็อร่อยเหมือนกัน..แต่ผมไม่ค่อยได้กิน..พี่น้องแย่งกินหมด.)


4.  กุดจี่มุ่ม  มีสีดำมันทั้งตัว  หัวมีลักษณะบางแบนโค้งรูปครึ่งวงกลม  ขา  2  คู่  ลักษณะคล้ายใบพาย  ปีกสีดำมีลายขนานกันตามยาว  (กุดจี่มุ่มมีขนาดปานกลางเมื่อเทียบขนาดกับประชากรกุดจี่อร่อยพอๆกับกุดจี่เขา)


                นอกจากนี้ยังมีกุดจี่ชนิดอื่นๆ แต่ไม่นิยมบริโภค  เนื่องจากมีขนาดใหญ่ช่วงเวลาในการคายกากอาหาร (ขี้ควาย) นาน  และมีกระเพาะอาหารขนาดใหญ่  การแหวะท้องจะเห็น “อาหาร”  เต็มกระเพาะดูไม่ค่อยน่ารับประทาน  ส่วนกุดจี่ชนิดอื่นๆจะมีขนาดเล็กเกินไปหรือบางชนิดก็มีพิษรับประทานแล้วเกิดอันตรายต่อสุขภาพปากและร่างกายแมงกุดจี่เป็นแมลงที่มีวงจรผูกพันกับกองมูลสัตว์โดยตรง  (โดยเฉพาะมูลสัตว์ใหม่ ๆจะเป็นที่ชื่นชอบที่สุด.คงหอมน่าดู.)  หรือในดินใต้มูลสัตว์  เช่นมูลวัว  มูลควาย  ซึ่งถ้ามีแมลงนี้อยู่จะปรากฏหลักฐาน มูลสัตว์นั้นๆจะมีลักษณะไม่เหมือนเดิม  จะมีการกระจัดกระจายเนื่องจากถูกแมงกุดจี่กัด  เซาะ  มุด  คุ้ยเขี่ย  ฯลฯ  จะมีลักษณะขยุกขยุยและปรากฏร่องรอยการยุบตัวของมูลสัตว์นั้นๆ อย่างชัดเจน  ยกเว้นกรณีมูลสัตว์แห้งไม่เป็นที่นิยมของกุดจี่..(เคี้ยวยาก.ปวดเหงือก.)


                การที่แมงกุดจี่เข้าไปคุ้ย  มุด  กัดเซาะในกองมูลสัตว์โดยเฉพาะวัว  ควาย  จะมีส่วนสำคัญในการเร่งการย่อยสลายตัวของมูลสัตว์กลายเป็นปุ๋ยชั้นเลิศ  เหมาะแก่การดูดซับและนำไปใช้ของพืชเร่งอัตราการเจริญเติบโตของพืชผัก  ส่งผลให้ดินร่วนซุยและช่วยทำให้ระบบนิเวศน์มีความสมดุล  โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงของมนุษย์มาปรับสมดุล (ให้เกิดมลภาวะมากขึ้น)


                ช่วงเวลาการล่าแมงกุดจี่นั้นคือ  หลังฤดูเก็บเกี่ยวเป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุด  เนื่องจากช่วงระยะเวลาดังกล่าว  แหล่งอาหารของท้องถิ่นชนบทภาคเหนือ  ภาคอีสานเริ่มขาดแคลนและชาวบ้านปล่อยวัวควายออกหากินตามท้องทุ่งทำให้แมงกุดจี่เพิ่มขึ้นตามจำนวนของอาหาร  (มูลสัตว์)  หลังจากสัตว์ถ่ายมูลออกมาในช่วงกลางวันกลางคืนแมงกุดจี่จะออกมากินมูลสัตว์  หลังจากกินอิ่มก็จะมุดดินอาศัยอยู่ใต้มูลสัตว์นั้น ๆ กลายเป็นอาหารของผู้ล่าในวันถัดมา  โดยการขุดคุ้ยลงไปใต้ดินหลังการกวาดมูลสัตว์ออก  การขุดดินใต้มูลสัตว์ต่อหนึ่งก้อนจะปรากฏประชากรแมงกุดจี่อาศัยอยู่หนาแน่นมาก  เมื่อได้แมงกุดจี่ต้องใช้ภาชนะที่มีน้ำขังอยู่พอประมาณ  ป้องกันการบินหนีของแมงกุดจี่และต้องแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ  3-4 ชั่วโมง  (ข้ามวันได้ยิ่งดี)  หลังจาดแมงกุดจี่คายสิ่งสกปรกออกแล้วนำไปแช่น้ำล้างให้สะอาดนำมาประกอบอาหาร  เช่น  การคั่วใส่เกลือ  ซึ่งเป็นเมนูที่ฮิตที่สุดหรือการนึ่งแกงใส่หน่อไม้ดอง  ตำน้ำพริก  การแปรรูปดังกล่าว  แทบไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย  แมงกุดจี่เองก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูง  โดยเฉพาะโปรตีนและไขมัน



                แมงกุดจี่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเพราะพฤติกรรมการกินมูลสัตว์เป็นอาหารมีประโยชน์ช่วยในการหยุดการแพร่กระจายของแมลงวันต่าง ๆ ที่อาศัยกองมูลโดยเฉพาะแมลงวันดูดเลือดสัตว์  (ตัวเหลือบควายในภาษาอีสานที่กินเลือดวัวควายเป็นอาหาร)  หรือนำโรคมาสู่สัตว์แมลงวันพวกนี้จะอาศัยกองมูลสัตว์เป็นที่ผสมพันธุ์และวางไข่  การที่กองมูลสัตว์ถูกทำลายโดยเป็นอาหารของแมงกุดจี่จะทำให้กองมูลสัตว์ถูกย่อยสลายไป  ไข่และตัวหนอนของพยาธิแมลงวันก็จะถูกทำลายลงเป็นการตัดวงจรชีวิตของตัวเบียดเบียน


ปล.ต้องขออภัยไว้.ณ โอกาสนี้..ข้อมูลประกอบการเขียนบทความจำไม่ได้แล้วครับ..เพราะผมเขียนไว้ส่งท่านอาจารย์สมัยเรียน..ผิดพลาดยังไง.สมาชิกช่วยวิจารณ์..ถ้าเขียนได้ดีจะไปเขียนบทความขาย..เอาตังค์มาซื้อขี้วัวใส่ต้นไม้..ฮ่าๆๆๆๆฮิ้วววว..


ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิด..บรรพบุรุษที่รักษาแผ่นดินไทยให้อาศัย..กำลังใจจากผู้ปกครอง..สมาชิกบ้านสวน..ผู้ใหญ่โสที่เคารพ..และบ้านสวนพอเพียงของเรา..ลำใย..


ขอบคุณภาพประกอบจาก  drama-addict.com/

ความเห็น

แมงกุดจี่ .....รู้จักแต่ชื่อ   ยังไม่ได้ลองกิน    :ahaaah:

เพิ่งได้กินเมื่อวันที่๑๓นี่เองอร่อยมาก

มาแบบเป็นการเป็นงานเลยนะคะ

ชีวืตที่เพียงพอ..

ไม่ได้กินมาเป็น 20 ปีแล้วมั้งเนี๊ย สมัยเด็กๆ พอวัวขี้ปั๊บ เอาไม้ไปปักเลย จอง ของใครของมัน แต่ไม้ปัก ต้องไปขอน้ำยาทาเล็บของน้าสาวมาแต้ม สีไม่ซ้ำกัน จะได้ไม่หลงว่ากองใหนของใคร ฮ่าๆๆ เดี่ยวตีกัน คลุกกองขี้วัวละยุ่งเลย

ผมเคยนำมาแกงใส่ขี้เหล็กด้วยครับ....อร่อยครับทำเอง..แต่คนอื่นเค้ามองแล้วชวนอ๊วกอ่ะครับ..:vomiting:...มันเหมือนขี้ควายเลย..5555+

ก็แฟนผมมันเป็นผู้ชายนี่หว่า

พี่ยังไม่เคยลองกินเลย  อยากกินก่อนตายสักครั้ง  จะได้รู้ว่ามันอร่อยเพียงใด  แต่อ่านบทความของลำใยแล้ว  ไม่น่ากินเลยอ่ะ  มันบรรยายให้ชวนอ๊อกมากกว่า 555

ท่านผู้เชี่ยวชาญคะ แล้วพันธุ์ไหนแซบที่สุด จะได้เลือกได้ค่ะ

ภูมิปัญญา เรื่องการกินแมลง ต้องยกให้บรรพบุรุษอิสาน

:embarrassed3: :full: :beg:

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

อิสานบ้านของเฮา :bye: กุดจี่ จินูน จิโป่ม แซ่บหลายเด้

"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"

หน้า