วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ตอนที่ 6 ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบๆ ตัว
ครั้งหนึ่งขณะที่ผมยังทำงานเป็นวิศวกรอยู่ในบริษัทฯ มีพี่ที่ทำงานท่านหนึ่งบอกกับผมว่า “คนเรานั้นทำงานเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้อง รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย!” ในตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจคำพูดของพี่ท่านนั้นสักเท่าไหร่ เพราะในช่วงเวลานั้นผมค่อนข้างโชคดีที่ไม่มีปัญหากับการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยเฉพาะการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงาน ผมไม่ค่อยมีปัญหากับเรื่องนี้เท่าไหร่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมมีเพื่อนร่วมงานที่ดี ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ทุกคนดูเป็นกันเองและให้เกียรติกัน และยิ่งโชคดีที่ผมได้รับโอกาส ในการทำงานที่มีความยากขึ้นเป็นลำดับ ผมจึงได้มีโอกาสฝึกฝนและเพิ่มพูนประสบการณ์ในสายงานในช่วงตลอดห้าปีที่ทำงานให้กับองค์กร ซึ่งเป็นห้าปีที่ผมและทีมงานต้องตื่นตัวและปรับตัวเข้ากับงานใหม่ๆ เพื่อนร่วมงานใหม่ๆ และ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ตลอดเวลา เนื่องจากแต่ละ Project ที่เรารับผิดชอบมันเป็นงานที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่ก็คงไว้ซึ่งความเหมือนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ทุกงานล้วนหวังผลตอบแทนในรูปขอผลกำไรขององค์กร
แต่แล้วถึงตอนนี้ (วันที่ 12 กันยายน 2555) ก็เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ผมได้มีโอกาสทำ Project ที่ยาก เหนื่อย และ หินที่สุดในชีวิตเท่าที่ผมเคยสัมผัสมา! แต่ในความยาก เหนื่อย และ หินนั้น ก็ยังมีข้อดีซ่อนอยู่! นั่นก็คือ งานนี้เป็นการทำงานที่ ชิว…!! ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้! เนื่องจากก่อนหน้านี้ ไม่ว่าผมจะตัดสินใจลงมือทำสิ่งใดก็ตาม ผมมักจะยึดหลักเหตุและผลนำหน้าความรู้สึกเสมอ แต่ในครั้งนี้ผมยอมให้ความรู้สึกมีบทบาทในการตัดสินใจในการดำเนินงานทัดเทียมกับหลักเหตุและผม ด้วยมันเป็นงานที่ไม่มีผลกระทบกับใครผมทำมันด้วยสองมือของผมเองและผมพร้อมที่จะรับผลของการกระทำนั้น! ด้วยเหตุที่งานของผมในครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อใคร หรือ หน่วยงานใด จึงมีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่ความรู้สึกมีบทบาทและเป็นตัวจุดประกายให้ผมสนใจประเด็นต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเพิ่มมากขึ้น จนก่อเกิดเป็นงานย่อยชิ้นใหม่ๆ และเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนิน Project เดิมที่ทำอยู่ โดยที่เราไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำ ผลจากการกระทำนั้นยังทำให้ภาพรวมของงานออกมาดีอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น
มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งวัน ในตอนบ่ายของวัน ขณะที่ผมนั่งจิบกาแฟอยู่หน้าบ้านเพลินๆ ในใจก็นึกทบทวนถึงผลของการปฏิบัติงานในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนั้นก็คือ ผลของงานที่เราทำได้ เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่เราวางไว้ในตอนต้น มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ผมบอกกับตัวเองว่า เราจะต้องได้รับผลตอบแทนจากการทำงานด้านการเกษตรเป็นเงินอย่างน้อย 20,000 บาทต่อเดือน แต่ถึงตอนนี้ ผมมีรายได้ไม่ถึงเดือนละ 4,000 บาทต่อเดือน ด้วยซ้ำ! ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรับไม่ได้กับผลงานที่ห่วยแตกขนาดนี้! หากเจอสถานการณ์อย่างนี้ผมคงเรียกประชุมทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาร่วมกันวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาและช่วยกันกำหนดแนวทางการแก้ไข เพื่อให้ทุกอย่างบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ นั้นหมายความว่าทุกคนคงต้องเหนื่อยกันหน่อยหากต้องการให้งานสำเร็จ
แต่ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันต่างกันมาก การที่ผมไม่สามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ตอนต้นนั้น ผมกลับมองว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด …. แต่มันเป็นสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้และปรับตัวยอมรับ อาจจะเป็นเพราะ ในช่วงเวลาหลายปีก่อนหน้านี้ ผมทำงานกับเครื่องจักรมากจนเกินไป จึงคาดหวังผลของการทำงานไว้สูง ด้วยเครื่องจักรเป็นอะไรที่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องน้อย คิดจะทำอะไรก็ทำได้ใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆ จนลืมนึกไปว่าการทำงานในภาคการเกษตรนั้น มันมีปัจจัยต่างๆ ที่ต้องคำนึงถึงค่อนข้างมาก ไม่เว้นแม้แต่ ดิน ฟ้า อากาศ ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ไม่ค่อยเอื้อต่อการเจริญเติมโตของพืชพันธุ์ต่างๆ ที่เราปลูก จึงเป็นธรรมดาที่การเจริญเติมโตจะล้าช้าบ้าง พืชบางตัวอาจจะให้ผลผลิตไม่เต็มที่ดังที่เราตั้งใจไว้ แต่ก็อย่างที่บอก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และปรับตัวยอมรับ และเดินหน้าต่อ ทำไปเรื่อยๆ อย่างรอบคอบ
ทำได้เท่านี้ก็นับว่าบุญแล้ว สำหรับเกษตรกรมือใหม่อย่างผม! ระหว่างนี้หน้าที่ของเราก็คือ ดูแลเอาใจใส่สิ่งที่เราลงมือทำให้ดีที่สุด และ มีอีกสิ่งที่สำคัญมากๆ นั่นก็คือ มองหาโอกาสใหม่ๆ จากปัญหาที่เราเจอ
จากการที่ผลผลิตจากสวนยังมีน้อยผมจึงเก็บผลผลิตส่งตลาดเฉพาะวันจันทร์เช้าเท่านั้น จึงทำให้มีเวลาว่างนอกเหนือจากเวลางานปกติ ในวันนั้นเอง ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่หน้าบ้านเพลินๆ ผมก็สังเกตเห็น รถตู้รับส่งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเล่นผ่านหน้าบ้าน ผมนั่งนับดูเล่นๆ ตามประสาคนที่มีเวลาว่างมากๆ ผมว่ามีรถตู้โดยสารผ่านหน้าบ้าน น่าจะประมาณ 15-20 คันต่อหนึ่งชั่วโมง โอ้โฮ!!! แม่เจ้า!!! นี่ไง โอกาสมาอยู่ตรงหน้าเราอีกแล้ว! ด้วยเส้นทางนี้เป็นเส้นที่นักท่องเที่ยวใช้เดินทางจากโรงแรมบริเวณชายทะเลเขาหลัก ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในตัวจังหวัดพังงา ตลอดจนจังหวัดกระบี่ ผมนึกในใจด้วยความตื่นเต้น เราน่าจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งข้อนี้ ด้วยเหตุที่ว่า สวนไผ่ก็มีแล้ว สวนปาล์มก็มีแล้ว ปลูกไผ่และกล้วยในสวนยางก็ทำแล้ว แปรรูปยางแผ่นก็ทำอยู่ ผักสวนครัวรอบๆ บ้านก็เยอะ ไหนจะผลไม้ แปลงผักกูด รอบๆ บริเวณบ้านอีก มีพร้อมขนาดนี้แล้ว ทำไมเราไม่ปรับให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรไปด้วยเลย? แค่ชั่วอึดใจโอกาสก็มารออยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง และ ผมก็คว้ามันไว้โดยไม่ลังเล เพราะผมแทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากสิ่งที่เราทำอยู่ทุกๆ วัน ไม่มีอะไรที่จะกระทบกับงานหลัก เราเพียงแค่เอาเวลาที่เราว่างจากงานปกติมาใส่ใจกับการปลูกไม้สวยงามบ้างตามสมควร เพื่อเป็นการดึงดูดสายตาของผู้ที่ผ่านไปผ่านมา เริ่มจากการมีป้ายสวน ไว้บริเวณริมถนนที่รถสัญจรผ่านไปมา มีไม้ดอกไม้ประดับอีกนิดหน่อย เตรียมกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมบ้างเพื่อให้เขาได้รู้สึกมีส่วนร่วม ด้วยกิจกรรมการตอนกิ่งไผ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วในเบื้องต้น ที่เหลือก็ค่อยๆ ปรับปรุงเพิ่มเติมตามความเหมาะสมต่อไป
หลังจากที่ผมเริ่มปรับเปลี่ยนให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร จากวันนั้นจนถึงวันนี้คุณเชื่อหรือไม่ว่า สวนของผมมีคนเริ่มเข้ามาเยี่ยมชม ตลอดจนมาขอความรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในชุมชนเองและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นั่งรถผ่านเส้นทางหน้าบ้าน ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนที่มาเยี่ยมชมจะเป็นคนในชุมชนและคนในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งผมให้ความรู้แบบหมดเปลือก ตอบทุกเรื่องที่เขาเหล่านั้นสนใจ ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ผมก็ให้ชมฟรี ไม่ได้เก็บค่าเข้าชมแต่อย่างใด คงเป็นการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวจนเกินไปหากจะมีการเก็บค่าเข้าชมในตอนนี้ ด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่มีในตอนนี้ยังไม่ครบตามที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้มีเวลาเตรียมตัว ก่อนที่จะเปิดให้เที่ยวชมสวนอย่างเป็นทางการต่อไปในอนาคต
เมื่อถึงเวลานั้นพืชผลต่างๆ ในสวน ก็คงเริ่มให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่สูงเท่ากับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่เท่าที่ผมได้ประเมินผลผลิตในตอนนี้ ก็ทำให้ผมพอจะเห็นแนวโน้มของผลผลิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะรายได้จากการจำหน่ายหน่อไม้ ในส่วนของผลตอบแทนจากการท่องเที่ยวเชิงเกษตรผมไม่ได้หวังในรูปของผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน แต่ผมมองที่ความสุขทางใจ ความสุขจากการได้แบ่งปันสิ่งดีๆ ที่เราได้ลงมือลงแรงทำมากกว่า ส่วนเรื่องเงินนั้นผมมองเป็นเรื่องรอง เพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายตั้งแต่แรก ถ้าจะได้บ้างก็ถือเป็นผลกำไร
ในช่วงที่ผมยังทำงานให้กับบริษัท ผมจะมีความสุขมาก ตอนที่งานประสบความสำเร็จได้ผลตามเป้าหมายที่ว่างไว้ แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า ในเวลานั้นเราทุกคนจะดีใจกับสิ่งๆ นั้นแค่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น อาจจะหนึ่งหรือสองชั่วโมง! เพราะเราไม่มีเวลาที่จะเชยชมผลงานหรือแม้แต่ชมเพื่อนร่วมงาน เพราะทุกคนต่างก็ต้องรีบทำงานตามหน้าที่ ที่รับผิดชอบแตกต่างกันออกไป แต่ ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันต่างกัน ผมมีความสุขตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มคิดที่จะทำ เพียงแค่คิดผมก็มีความสุขแล้ว ตอนลงมือทำยิ่งมีความสุข เรามีความสุขกับทุกกิจกรรมที่เราทำ เพราะเรามองเห็นความสำเร็จรอเราอยู่ตรงหน้า เห็นชัดมากๆ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าการทำงานปกติ ผมก็ยินดีที่จะอดทนรอ รอความสำเร็จที่จะมาถึงอย่างใจเย็น นี่แหละที่เขาเรียกว่า
ผมเชื่อเสมอว่า “ผมไม่ใช่คนเดียวที่มองเห็นโอกาส!” ทุกคนก็สามารถที่จะมองเห็นโอกาส โอกาสที่จะได้ลองทำในสิ่งใหม่ๆ เพียงแต่เราต้องหมั่นสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา และ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ คุณต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก มองให้เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น มองให้เห็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น มากกว่า สิ่งที่จะมาบั่นทอนจิตใจ
จงจำไว้เสมอว่า โอกาสมันอยู่กับที่! มันมีอยู่ก่อนแล้ว! มีแต่เราที่เป็นฝ่ายเคลื่อนที่! หน้าที่ของเรา คือ
อย่าหยุดอยู่กับที่นานจนเกินไป! เพราะมันอาจจะทำให้เราเสียโอกาสดีๆ โดยไม่รู้ตัว!
พยายามมองหาโอกาสให้เจอ! เจอก่อนลงมือทำก่อน ก็เป็นผู้นำ!
และใช้โอกาสที่ได้มานั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด!! ทำก่อนก็มีโอกาสประสบความสำเร็จก่อน!
- บล็อกของ RBOO Rev.01
- อ่าน 3581 ครั้ง
ความเห็น
Mintrano
13 กันยายน, 2012 - 15:55
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ขอบคุณกับเรื่องดีๆที่มอบให้
RBOO Rev.01
13 กันยายน, 2012 - 19:35
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับคำขอบคุณ
R-Boo
วรนุช
13 กันยายน, 2012 - 16:03
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
อยากชมสวนด้วยคนค่ะ วันหลังโชว์ภาพด้วยนะคะ ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีดี
คงจะดี ถ้า...
RBOO Rev.01
13 กันยายน, 2012 - 16:21
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
เดี๋ยวจะรีบจัดให้เลยครับ!
ขอบคุณนะครับ
R-Boo
SUNANTA
13 กันยายน, 2012 - 16:13
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ตั้งใจอ่านจนจบ นาน ๆ จะเจอบทความแบบนี้สักที
ได้หยุดและคิด ดี ดี ดี
RBOO Rev.01
13 กันยายน, 2012 - 16:30
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ขอบคุณนะครับสำหรับคำชม ถ้าสนใจบทความตอนก่อนหน้าก็ลองหาดูใน Wep นะครับ
ฝนตกมีเวลาว่าง เลยได้โอกาสเขียนบทความเก็บไว้และแบ่งปันครับ
R-Boo
pa_bigeyes
13 กันยายน, 2012 - 17:24
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ ทำให้มีแรงบันดาลใจ อะไรเยอะเลยค่ะ
RBOO Rev.01
13 กันยายน, 2012 - 17:30
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ไม่เป็นไรครับ ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่จะรีบนำตอนที่ 7 เอามาลงบล๊อคให้ได้ติดตามอีกเป็นระยะ
R-Boo
RBOO Rev.01
19 กันยายน, 2012 - 10:52
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ไม่เป็นไรครับ เอาไว้จะทยอยเขียนให้ได้ติดตามอ่านกันเรื่อยๆ ครับ
R-Boo
STN_CPS
13 กันยายน, 2012 - 17:39
Permalink
Re: วิศวกรรม หรือ วิศวกรรมเกษตร ตอนที่ 6
ขอบคุณกับเรื่องราวดีๆ และชื่นชมกับความตั้งใจจริงครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้แต่คิด แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจครับ :cheer3:
หน้า