ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน ท่ามกลางสายฝนสู่เมืองเดอะซาวน์ออฟมิวสิค
ทุกๆ สถานที่ ทุกๆ แห่งหน มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง
ขึ้นอยู่กับเราที่จะไปค้นพบค้นหา
แม้นว่าโลกนี้จะมีดวงตะวันอยู่ดวงเดียว ทุกแห่งหนในโลก ผู้คนมองเห็นดวงตะวันดวงเดียวกัน
แต่.. ตะวันในแต่ละสถานที่กลับมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน
นี่แหละที่ทำให้โลกนี้น่าพิศวงยิ่งนัก ดึงดูดใจให้ผู้คนออกไปค้นพบความงามหนึ่งเดียว ที่แตกต่าง
ในความมืดของก่อนอรุณรุ่ง เงามืดบนท้องฟ้า เริ่มเป็นสีชมพูสดสวย ดุจดังนางฟ้ากำลังแต้มระบายสีน้ำบนผืนฟ้า สีชมพูค่อยๆ กระจายไล่เงาดำออกไปจนหมดฟ้า และแล้วนางฟ้าก็แต้มสีทองลงตรงเหลี่ยมเขา เป็นสัญญานว่า...วันใหม่กำลังจะมาถึง
อ้อยหวานตื่นแต่เช้า แล้วออกมานั่งรอชมความงามที่ธรรมชาติสร้างสรร ตรงนอกระเบียงห้องพัก ภาพที่สองนี้ห่างจากภาพแรกสิบห้านาที แต่สีสันต่างกันมาก
อ้อยหวานได้เรียนรู้จากบันทึกของนักปั่นคนอื่นว่า ยามเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หากท้องฟ้าเป็นสีชมพูเข้ม ก็เตรียมตัวไว้เลย วันนั้นต้องได้ปั่นจักรยานกลางสายฝน แล้วก็ใช่จริงๆ
เราเริ่มเช้าวันใหม่อย่างสดใส บนเส้นทางจักรยานที่มีชื่อเสียงของออสเตรีย เส้นทางจักรยานโมสาร์ท (Mozart bike path) เป็นเส้นทางจักรยานที่ได้ชื่อมาจาก โวล์ฟกัง โมซาร์ท นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิก ชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลก
เส้นทางจักรยานโมสาร์ทนี้วิ่งเป็นวงกลม คือ เริ่มต้นและจบลงที่เมืองซาลซ์บูร์ก เมืองบ้านเกิดของโมซาร์ท มีระยะทางทั้งสิ้น 450 กิโลเมตร แต่เรามาเริ่มปั่นกลางเส้นทาง เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองซาลซ์บูร์ก
เส้นทางจักรยานโมสาร์ทส่วนที่เราเลือกปั่นนี้ค่อนข้างขรุขระ มีก้อนหินแหลมคมตะปุ่มตะป่ำน้อยใหญ่ ส่งผลให้เราได้ทำลายสถิติยางแบนในหนึ่งวัน จักรยานของอ้อยหวานโดนไปสามครั้ง ของคุณผู้ชายสองครั้ง เลยได้ฝึกเปลี่ยนยางกันจนชำนาญไปเลย
เส้นทางหินแบบนี้ถ้ามากับรถวิบากคงจะสนุก แต่สำหรับจักรยานแล้ว คงจะต้องเป็นพวกเสือภูเขา หรือแฟตไบท์ที่มีล้ออ้วนใหญ่ จักรยานพับของเราก็ต้องค่อยๆ คืบคลานไปที่ละนิด ลุยไม่ได้
แต่ภาพภูเขาสลับซับซ้อน บ้างเป็นเนินหญ้าเขียวขจีมีดอกไม้ป่าขึ้นกระจัดกระจาย บ้างเป็นป่าสนที่มีต้นสูงใหญ่ขึ้นเบียดกันหนาทึบ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ใดๆ ให้ระคายหู นอกเสียจากเสียงนกร้องเคล้าคลอด้วยเสียงสายน้ำ ทำให้เส้นทางนี้คุ้มค่ากับการเดินทางมาชม
บ้านแบบออสเตรียนี้ ช่างดูสวยงามและน่าอยู่ยิ่งนัก ส่วนใหญ่จะเป็นครึ่งไม้ครึ่งตึก และจะฉลุลายบนไม้ดูสวยงามมาก สองหลังนี้อาจจะเป็นโรงแรมกลางป่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะแถวนี้มีเส้นทางเดินป่าและปีนเขาอยู่หลายแห่ง
แล้วน้องฝนก็มาตามนัด และอยู่เป็นเพื่อนเราไปตลอดเส้นทาง เธอพาพี่เมฆ น้องหมอกมาด้วย ทำให้เมืองในหุบเขาทั้งเมืองกลายเป็นเมืองในสายหมอก
เราแวะพักทานข้าวเที่ยงที่นี่ บ้านเก่าหลังนี้อายุเกือบสองร้อยปี ถูกชุบชีวิตใหม่ กลายมาเป็นโรงแรมและร้านอาหาร ปรกติแล้วข้าวเที่ยงของเราจะเป็นแซนวิทที่ทำจากอาหารเช้าบุฟเฟต์ของโรงแรม แล้วเราก็แวะปิกนิคกันกลางทางจะได้ไม่เสียเวลา แต่วันนี้ฝนตกและอากาศค่อนข้างเย็น ซุปร้อนๆ กับกาแฟคนละถ้วย ช่วยได้มากทีเดียว
ตอนเราหยุดพัก น้องฝนก็หยุดพักด้วย พอทานเสร็จเริ่มปั่นกันต่อ คุณเธอก็เริ่มปรอยเช่นกัน
เส้นทางบางช่วงกลายเป็นแบบนี้ โบสถ์เล็กๆ มีให้ชมอยู่ประปราย ที่ยุโรบก็คงเหมือนกับเหมือนไทยหรือหลายๆ ประเทศในทวีปเอเชีย ที่ค่อนข้างเคร่งศาสนา ผ่านไปทางไหนก็พบเจอกับโบสถ์น้อยใหญ่ กลางป่า บนเขาก็ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งโบสถ์
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ระยะทางเจ็ดสิบกว่ากิโลเมตร เรามาถึงที่พักในสภาพเปียกปอน
เช้าวันรุ่งขึ้นเหลือระยะทางเพียงยี่สิบกิโลเมตรเข้าสู่เมืองซาลซ์บูร์ก แต่ฝนที่ตกตลอดทั้งคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงเลย แค่ปั่นไปขึ้นรถไฟก็เปียกปอนกันแล้ว เราไปถึงเมืองซาลซ์บูร์ก น้องฝนได้กลายร่างเป็นพายุร้าย กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เลยได้เป็นวันหยุดพักของเรา ไว้พรุ่งนี้ค่อยออกไปชมเมือง
เมืองซาลซ์บูร์ก นอกจากจะเป็นเมืองบ้านเกิดของโมซาร์ทแล้ว ยังเป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโกอีกด้วย และที่ทำให้เมืองซาลซ์บูร์ก ดังก้องโลกยิ่งขึ้นก็คือ เป็นที่ถ่ายทำภาพยนต์ชื่อดัง เดอะซาวน์ออฟมิวสิค หรือชื่อภาษาไทย มนต์รักเพลงสวรรค์
เช้าวันต่อมาฟ้าใสไร้ฝน สองจักรยานก็ได้หมุนล้อเริงร่าชมเมือง แห่งแรกที่ต้องแวะไปแต่เช้า ก่อนนักท่องเที่ยวจะแห่กันมาก็คือ สวนมิราเบล (Mirabell) ของพระราชวังมิราเบล สวนมิราเบลนี้จัดว่าเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดในซาลซ์บูร์ก
เพราะเป็นที่ถ่ายทำภาพยนต์ เดอะซาวน์ออฟมิวสิค อยู่หลายฉาก และนี่ก็คือฉากหนึ่ง ที่นางเอกและเด็กๆ วิ่งเล่นร้องเพลงโด-เร-มี ในสวนสวย
สวนกุหลาบในสวนมิราเบล
แม้ว่าดอกกุหลาบทั้งหลายจะโดนฝนกระหน่ำจนคอตกคออ่อนกันเป็นแถว แต่ก็ยังดูสวยเอามากๆ และที่วิเศษไปกว่านั้นก็คือกลิ่นหอม กลิ่นกุหลาบเป็นพันๆ ดอกนี้ ช่างหอมหวลยวนฤดี
สายหน่อยนักท่องเที่ยวก็มากันเต็มสวน พื้นที่กว้างใหญ่มองเห็นแต่หัวคน เพราะ เดอะซาวน์ออฟมิวสิค ชื่อดังจริงๆ ที่นี่เขาจะมีรถนำเที่ยวพาชมสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้แต่ละแห่งโดยเฉพาะ
แต่อ้อยหวานขอไปเที่ยวกับสองล้อ อิสระดุจนกโผบิน
เมืองเก่าซาลซ์บูร์กนั้นอยู่ตรงกันข้ามฝั่งแม่น้ำกับสวน ที่ไหนๆ ก็มีสะพานกุญแจรัก ซาลซ์บูร์ก ก็มีกะเขาบ้าง
อ้อยหวานขอคัดลอกต้นตำนาน "สะพานคู่รัก" ที่ตอนนี้เริ่มแพร่หลายเข้าไปในหลายๆ ประเทศ มาให้อ่านกันเล่นๆ
สะพานคู่รัก หรือ สะพานกุญแจรัก ต้นตำหรับคือสะพานปงเดซาร์ สะพานคนเดินเท้าข้ามแม่น้ำแซนในปารีส ฝรั่งเศส สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1802-1804 ในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของปารีส จากตำนาน "สะพานคู่รัก" ที่คู่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจสลักชื่อตัวเอง มาแขวนไว้กับราวสะพาน จากนั้นก็โยนลูกกุญแจลงในแม่น้ำแซน เป็นการแสดงคำมั่นสัญญาในความรักต่อกัน
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
แต่อ้อยหวานได้ข่าวมาว่าสะพานปงเดซาร์ ต้นตำหรับนี้ โดนรื้อเอากุญแจออกไปหมดแล้ว และห้ามคล้องกุญแจรักอีกต่อไป เพราะสะพานรับน้ำหนักของความรักทั้งหลายไม่ไหว ทำให้ราวสะพานเก่าแก่ส่วนหนึ่งพังทลายลง แต่สะพานกุญแจรักของเมืองซาลซ์บูร์กเป็นสะพานใหม่ คงจะสร้างมาเพื่อรับรองความรักได้เหลือเฟือ
จัสตุรัสกลางเมืองที่ค่อนข้างกว้างกว่าเมืองอื่นๆ ที่อ้อยหวานเที่ยวชมมา เราแวะเข้าไปชมโบสถ์ไม่กี่นาที กลับออกมาอีกทีรถม้ามีนักท่องเที่ยวสอยไปหมด ส่วนลานก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอีกเช่นกัน
อีกมุมหนึ่งของเมือง
โบสถ์ใหญ่แห่งเมืองซาลซ์บูร์ก
ตลาดเล็กๆ ใจกลางเมืองเก่า หนุ่มน้อยคนนี้ยืนเลือกดอกไม้อยู่นาน สุดท้ายก็ได้ดอกไม้ช่อเล็กๆ อ้อยหวานนึกเอาเองว่าคงเอาไปฝากแม่ที่บ้าน ไม่ใช่แฟน
แผงนี้ขายขนมเพรทเซลทุกรูปแบบและทุกขนาด
ขนมเพรทเซล (Pretzel) หรือ Brezel ในภาษาเยอรมัน เป็นคำเก่าแก่ที่ใช้กันในสมัยกลาง ซึ่งแปลว่า กำไลข้อมือ ขนมเพรทเซลนี้เริ่มค้นคิดขึ้นในยุโรบโดยนักบวชคริสต์ นับย้อนหลังไปหลายร้อยปีตั้งแต่ต้นสมัยกลาง บางตำราบอกว่าคิดค้นที่อิตาลี บ้างก็ว่าที่ฝรั่งเศส แล้วไม่ต้องแปลกใจหากเยอรมันบอกว่า ที่เยอรมันต่างหากละ
กล่าวกันว่าในคริสศาสนา ขนมเพรทเซล คือสัญญาลักษณ์ของมือที่พนมเข้าหากัน เพื่ออธิษฐานและรำลึกถึงพระเจ้า รูปร่างที่มีช่องสามช่องเป็นตัวแทนของพระเจ้าสามองค์คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต (หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์)
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
ในความคิดส่วนตัวของอ้อยหวาน ขนมเพรทเซลที่อร่อยที่สุด ต้องไปกินที่ญี่ปุ่น แม้จะเป็นขนมที่ดัดแปลงสูตร เสียจนนุ่มอร่อย ไม่แข็งจนปาหัวหมาแตกเหมือนของแท้และดั้งเดิม
เย็นวันนั้น เราสองคนได้ปีนบันไดหลายขั้นขึ้นเนินเขาเหนือเมืองซาลซ์บูร์ก เพื่อไปรอชมการแสดงตระการตาของพระอาทิตย์อัสดง
เมื่อตะวันลับไป ไกลจากขอบฟ้า
เสียงเพลงลา แว่วมากับสายลม
กาสะลองล่องลอย ปลิดพลิ้วไปตามลม
ลมความฝันพัดไป ไกลจากบ้าน
บนเส้นทางฝันไกล ไปสู่จุดหมาย
คําสุดท้าย แม่ฝากยังได้ยิน
ไม่เคยลืมเลยซักคํา ตราบที่หัวใจโบยบิน
ถ้อยคํานั้นยังได้ยิน รักและห่วง
คืนร้างทางเปลี่ยว หัวใจลูกยังอุ่น
ความรักไม่เคยจาง ห่างกันแสนไกล
เหมือนดวงดาว พร่างพราวบนฟ้าไกล
ไกลแสนไกล หัวใจอยู่ใกล้กัน
ขอบคุณเนื้อเพลง กาสะลอง ของ ลานนา คัมมินส์
โปรดติดตาม ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ในตอนต่อไป
อ่าน ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอนที่แล้วได้ที่นี่
ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์
ตามหาโรมิโอและจูเลียต ที่..เวโรน่า
ขอให้เพื่อนๆ มีแต่ความสุข
ขอบคุณค่ะ
อ้อยหวาน
- บล็อกของ อ้อยหวาน
- อ่าน 9397 ครั้ง
ความเห็น
eve_chanida
4 กันยายน, 2016 - 21:36
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
ขนมน่ากินมาก
ดอกกุหลาบสวยมากๆค่ะ
""
kandee
5 กันยายน, 2016 - 12:27
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
สวยงามเช่นเคยค่ะพี่อ้อยหวาน ชอบภาพภูเขายามตะวันตกดิน ทุ่งหญ้ากว้างๆก้ขอบ ทางปั่นจักรยานท่ามกลางภูเขาก้ขอบ สรุปชอบหมดเรยค่ะ555 ขอบคุณพี่อ้อยที่แบ่งปั่นความสวยงามมาให้ชมค่ะ^^
ความสุข..อยู่ที่ใจ
Damras Onsuang
6 กันยายน, 2016 - 20:54
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
อยากฟินนนน แบบนี้มั่งครับ
TuayFoo
6 กันยายน, 2016 - 21:23
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
เมือง Salzburg นี้ นักเดินทางท่องเที่ยวน้อยคนนักจะพลาด ผมก็ประทับใจเมืองนี้มาก ๆ ครับ
ไร่สุโขทัยนี้ดี ไร่นี้มีแต่ความสุข
ริมสวนยาง
10 กันยายน, 2016 - 09:16
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
นางฟ้าอ้อยหวาน แสนสวย ระบายสี ให้พวกเราได้พบเห็น สิ่งสวยงาม อีกฟากหนึ่งของโลก โดยไม่มีคำว่าเหนื่อย ... สวยงามมากค่ะ พี่อ้อย..บล็อคนี้ เปียกฝน ด้วยละ
sarunyu
12 กันยายน, 2016 - 10:56
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
สวยงามมากครับ ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ
เสิน
14 กันยายน, 2016 - 10:43
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
ที่พักแต่ละแห่ง ต้องติดต่อไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าครับคุณอ้อย
..โอกาสไม่ได้มีทุกวัน..
อ้อยหวาน
16 กันยายน, 2016 - 04:00
Permalink
Re: ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ บนเทือกเขาแอลป์ ตอน...
ที่พักแต่ละแห่งนี้เราจองร่วงหน้าค่ะ จะได้แน่ใจว่าปั่นไปถึงแล้วมีที่ซุกหัวนอนแน่นอน แต่บางคนปั่นเที่ยวเขาจะเอาเต็นท์นอนของเขาไปด้วย และไม่เคยจองล่วงหน้า บางที่ไม่มีที่พักก็แอบกางเต็นท์นอนในสวนหรือในป่าเอา