สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต
นักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ
ประเด็นแรก คือ ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน
ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง
ประเด็นที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้ และให้เวลากับงานมากเกินไป
ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่ การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป
ประเด็นที่สาม คือ ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง
ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิตประจำวัน จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง
ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับ่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ เรื่องของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ เมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ
** เรื่องราวและภาพได้จาก FW.mail ต่อๆกันมา..ขออนุญาตไม่อ้างอิง..
- บล็อกของ ตั้ม
- อ่าน 4813 ครั้ง
ความเห็น
ป้าหน่อย
20 ตุลาคม, 2010 - 06:29
Permalink
ขอบคุณเฮียตั้ม
ขอบคุณค่ะเฮียตั้ม กับการให้สติ
และข้อคิดดีๆ รับเช้าวันใหม่
ลูกอิสานกันดารแท้ แต่บ่อเหี่ยวทางน้ำใจเด้อ
หากแหม่นใหลหลั่งรินปานฝนแต่เมืองฟ้า
มาเด้อพวกพี่น้อง สานสัมพันธ์ให้มันแก่น
ให้ยืนยาวแนบแน่นพอปานปั้นก้อนข้าวเหนียว เด้อพี่น้อง
ตองอู
20 ตุลาคม, 2010 - 06:30
Permalink
พี่ตั้ม..^_^..
จริงค่ะพี่ตั้ม..ส่วนมากคนใกล้ตายจะท้อแท้ สิ้นหวัง และไม่อยากทำอะไรอีกต่อไป...แต่ในมุมกลับ...เขาควรที่จะทำเวลาที่เหลืออันน้อยนิดให้มีความสุขที่สุดถึงจะถูก....แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่เขาต้องการที่สุดก็เห็นจะเป็น.."กำลังใจ"..ค่ะ
MSN/MAIL/HI5 : Tongau_oomsin[at]hotmail[dot]com
Tui
20 ตุลาคม, 2010 - 07:38
Permalink
ขอบคุณ สำหรับ ข้อ ความดีๆ
ขอบคุณ สำหรับ ข้อ ความดีๆ ครับ พี่ ตั๊ม
chai
20 ตุลาคม, 2010 - 08:49
Permalink
พี่ตั้ม
อ้าว...ใครที่กำลังตามล่า ความฝันของตัวเอง
ก็ต้องรีบๆทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงซะ
ก่อนที่จะถึง วันสุดท้ายของชีวิต
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นความฝันเราต้องไม่ใหญ่โตเกินไป
ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ที่สำคัญจะต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วย
ขอบคุณมากครับพี่ตั้ม ที่นำข้อคิดดีมาให้ได้อ่านกัน
ทำความดีนะครับ จะได้มีความสบายใจ msn/krawmovie@hotmail.com
คนยอง
20 ตุลาคม, 2010 - 08:27
Permalink
ขอบคุณพี่ตั้ม
ขอบคุณครับพี่ตั้ม ที่มาเตือนสติให้กลับมาอีกครั้ง
....ชะตาฟ้าลิขิต แต่ชีวิตเป็นของเรา
เส้นทางของชีวิตเรา เราต้องเป็นคนเลือก
มะโหน่ง
20 ตุลาคม, 2010 - 08:40
Permalink
บทความดีๆ
บทความดีๆมาจากพี่ตั้มอีกเช่นเคย ขอบคุณพี่ตั้มมากๆนะคะ อ่านแล้วได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต อีกแล้ว...มันทำให้รู้ว่าคนเราอย่าวิ่งตามความฝันคนอื่นที่เค้าอยากให้เราเป็น เราสามารถเลือกมันได้ด้วยตัวของเราเอง และทุกสิ่งล้วนเกิดมาจากผลแห่งการกระทำและการตัดสินใจของเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการนั่งนึกตรึกตรองอย่างมีสติ เป็นหลักสำคัญในการใช้ชีวิตจริงๆ
สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี
ย่าวรรณ
20 ตุลาคม, 2010 - 08:50
Permalink
บางครั้ง
ต้องหยุดคิดบ่อยๆว่าชีวิตเราต้องการอะไร แต่ตอนนี้คิดว่าได้ทำตามฝันบ้างแล้ว เพราะเกิดที่ชนบท พอมาใช้ชีวิตในเมือง ก็ฝันอยากกลับไปตรงนั้นตลอด เพราะชอบชีวิตแบบบ้านๆที่ไม่ต้องเติมแต่ง อยู่ด้วยความรักและผูกพัน ชอบปลูกผักทานเอง มีความสุขที่เห็นต้นไม้เติบโต แม้ตอนนี้ไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ใกล้ความฝันแล้วละ
lekonshore
20 ตุลาคม, 2010 - 08:51
Permalink
พี่ตั้มโดนค่ะโดน
อ่านแล้วเป็นจริงทุกอย่าง
ถ้าเช่นนั้นต่อไปนี้เรามาทำตามใจปราถนากันเถอะ...ทำไรดี?
msn:lekonshore@hotmail.com
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร
น้ำหวาน
20 ตุลาคม, 2010 - 08:56
Permalink
พี่ตั้ม
เด่วปีหน้าจะลาออกจากงานไปทำความฝันตัวเองแล้ว
ขอบคุณบทความดีๆนี้ค่ะ เด่วตอนเย็นจะมาอ่านอีกรอบนะคะ
มานี มานะ วีระ ชูใจ
20 ตุลาคม, 2010 - 09:08
Permalink
เที่ยวแรก...ยังไม่ซึม
จะมาเมนท์...อีกที..
อย่างที่ผมว่านะครับ.....งานแบบนี้ต้องสามเที่ยวขั้นต่ำ
ถึงจะจับประเด็นมาเมนท์ได้
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
หน้า