วันนี้อยากมีเรื่อง

หมวดหมู่ของบล็อก: 

วันนี้นอกจากลุงพีจะมีเรื่องใหม่ๆมาบอกกล่าวเพื่อนสมาชิกฯแล้ว ยังมีเรื่องเก่าๆมาเล่าขานให้ลูกหลานฟัง อีกทั้งยังมีการบ้านมาส่งด้วยครับ หลายเรื่องหลากรส ก่อนจะเดินทางไปเป็นธรรมบริกรที่ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่นเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์



เริ่มต้นเลยก็การบ้านลุงพูนครับ (ซือเฮีย รบกวนด้วยครับ) เคยบอกเพื่อนๆสมาชิกไว้แล้วว่าผมเอาน้ำส้มสายชูหมักที่ดองไข่แล้ว ไปทำน้ำหมักเปลือกไข่ตามสูตรลุงพูน ที่ผ่านๆมาก็เป็นปรกติดี แต่ทว่าช่วงที่ผมทำไวน์ Do I love you so? มีน้ำตาลทรายแดงเหลือ ผมก็ลองเอาไปเติม เพราะเห็นลุงพูนพร่ำสอนนักสอนหนาว่า เป็นผู้ชายเอ้ยน้ำหมัก อย่าให้อ่อนหวานนัก มันจะเหม็น หลังจากนั้น ทุกวันผมต้องมาเปิดฝาปล่อยแก๊สออก จนกระทั่งเมื่อเช้านี้ นี่เอง..... มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้น



น้ำหมักได้กลายสภาพเป็นเหมือนผงฟูเต็มขวดอย่างที่เห็น (ก่อนหน้านี้ เป็นเพียงเศษเปลือกไข่นอนอยู่ก้นขวด) ผมก็เลยเทออกมาดู



ใส่กาละมังได้ปริมาตรเกือบๆสามลิตร ปรากฏว่าปลือกไข่ย่อยสลายไปหมด ลักษณะของสิ่งนี้ คล้ายกับกากของนมที่เค้าเอาไปทำเนย ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นซากศพของยีสต์ที่เพิ่มปริมาณอย่างมากมายมหาศาล (รบกวนมะโหน่ง ให้ความกระจ่างด้วยนะครับ) แต่ที่แปลกใจและฉงนสนเท่ห์คือ ปฏิกริยาเกิดเร็วมากเพียงชั่วข้ามคืน ทั้งๆที่ผมใส่เปลือกไข่ไว้นานเป็นเดือนแล้ว และที่เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปก็เกือบเดือน



ไม่รอช้า แบ่งส่วนหนึ่งผสมน้ำไปลองรดต้นไม้ดู ที่เหลือเติมน้ำแล้วหมักต่อ (ไม่ลืมผสมกากน้ำตาล หวานไว้ก่อน อาจารย์สอนไว้) สิ้นเดือนจะกลับมารายงานผลครับว่าต้นไม้ตายหรือไม่อย่างไร


เรื่องถัดมาก็นี่ครับ รายงานความคืบหน้าของไวน์ Do I love you so? เวลาผ่านไปเกือบเดือน สังเกตุว่าขบวนการหมักได้สิ้นสุดลงแล้ว



สังเกตุได้จากไม่มีฟองแก๊สปุดออกมาที่ปลายสายยางที่ผมทำเป็น air lock แบบพอเพียงไว้ (การทำไวน์ หรือน้ำหมักเพื่อดื่ม ผมแนะนำให้ใส่แอร์ล๊อค หลังจากหมักไว้สองสามวัน เพื่อลดปริมาณคาร์บอเนทในเครื่องดื่ม อีกทั้งยังเป็นการทำให้ยีสต์ดำรงชีพในสภาวะขาดออกซิเจน ทำให้เค้าไปดึงออกซิเจนมาจากโมเลกุลของน้ำตาลและเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์) จากนี้ผมก็จะผนึกฝา แล้ววางลืมๆทิ้งไว้อิกสักห้าหกเดือน(คงไม่ถึงแปดปีแบบไวน์ท้อแท้ อันนั้นไม่ได้ลืม แต่ว่าคงเป็นเพราะหลงหูหลงตามากกว่า)


และระหว่างที่กำลังจะถ่ายรูปอยู่นั้น ก็ให้บังเอิญคุณบุรุษไปรษณีย์มาเรียกพอดีพร้อมกับกล่องพัสดุดังที่เห็นอยู่ในรูปข้างบนอ่ะครับ เป็นการบ้านจากท่านประธานแจ้วนั่นเอง รีบแกะออกดู จึงกลายเป็นที่มาของหัวเรื่อง มีแส้แล้วเรา อิอิ



นอกจากแส้แล้วยังมีการบ้านตามมาอีกสามข้อ มะละกอทุ่งตะโก ส้มซ่า นมแมว ทำข้อแรกก่อนเพราะงานนี้ไฟ้ท์บังคับ



รีบลงมือปลูกทันที เอ.....รึว่าท่านประธานส่งมาให้เราชิมหว่า ไม่รุ ปลูกไปแล้ว พร้อมกับแบ่งส่วนหนึ่งเก็บไว้เพื่อเอาไปปลูกที่บ้านสวนฯ และอิกส่วนเอาไปให้พี่ชัยปลูกที่หนองเรือด้วย (ไฟ้ท์บังคับอิกเหมือนกัน ห้ามหนีไปไหนนะพี่ชัยจะเอาไวน์ท้อแท้ไปให้ชิมด้วยครับผม) ส่วนที่เหลือก็รอไปก่อนนะคุณแจ้ว การบ้านตรึม รอผมทำทีเดียวพร้อมๆกันเลยนะครับ


ไปๆมาๆบล็อกนี้ชักจะยาว งั้นเรื่องเก่าๆที่จะมาเล่าขานให้ลูกหลานฟัง ขอยกไปโพสต์ในบล็อกต่อไปนะครับผม

ความเห็น

ถอยดีกว่า....ตำรวจมาด้วย

ลงหัวเรื่อง อยากมีเรื่อง รีบมาดูเลยค่ะ นึกว่ามีเรื่องกับใคร อิอิ ได้เรื่องเลย

 

 

msn:lekonshore@hotmail.com

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร

นับว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิชาการหมัก ถ้าลุงพีไม่เติมน้ำตาลลงไปก็คงเหมือนของผม คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวผมต้องไปหาดูว่า เปลือกไข่กับน้ำส้มสายชู(จากข้าว ของลุงพีเป็นน้ำส้มสายชูจากแอบเปิ้ล) ยังอยู่ไหม ถ้าเติมน้ำตาลลงไปจะเหมือนกับของลุงพีไหม เติมน้ำตาลลงไปแล้วจะเหมือนกับของลุงพีไหม ก็คงจะรู้กัน ของสิ่งนี้ ที่ลุงพีได้ จะเป็นอะไรนั้นคงตอบยากครับ เพราะเปลือกไข่ในน้ำส้มสายชู ก็ละลายอยู่ในน้ำส้มสายชู เป็นแคลเซี่ยมอะซีเตแค่เติมน้ำตาลลงไป ของที่อยู่ในขวดก็กลายเป็น  ของสิ่งนี้  ก็คงต้องรออีกหน่อยครับ

เท่าที่ผมพอคาดเดาได้ คิดว่าไอ้เจ้าสิ่งนี้คงเป็นยีสต์น่ะครับ แต่ปริมาณที่ได้มหาศาลจริงๆ เพราะปริมาณเปลือกไข่ที่ผมใส่ลงไปมีน้อยมากเพียงแค่ประมาณหนึ่งเซ็นต์จากก้นขวดครับ

พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง

รอ ร้อ รอ ชิมไวท์ลุงพี นึกว่าพี่ดมคนเดียวที่ชอบลงแส้Smile

ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้วค่ะ แต่ไม่รู้จะปฏิบัติตามได้อย่างลุงพีหรือเปล่า แต่หัวเรื่องนี่สิน่าติดตามชม

แบ่งปัน สร้างสรรค์ พอเพียง

 

ไม่อยากมีเรื่องค่ะลุง แต่หนูแก้ว ขาเดามาแล้ว ก็ต้องเดาซะหน่อย

กากที่เห็น น่าจะเป็น คาร์บอเนตในเปลือกไข่(CaCO3) ที่ละลายเป็นสารละลายอิ่มตัวอยู่ในน้ำส้มสายชูก่อนหน้านั้น เนื่องจากน้ำส้มสายชู (CH3COOH)  เมื่อได้น้ำตาลเพิ่มเข้าไป(CHO) นั่นหละคะ คำตอบ

หนูว่าไม่เกี่ยวกับยืสต์แต่อย่างใดเลย แต่ที่ คาร์บอเนตมีลักษณะนิ่มๆเละๆ เป็นเพราะว่าเป็น การแตกตัวให้สารประกอบเชิงซ้อน จากการทำปฏิกริยากับกรดค่ะ

หนูอธิบายเข้าใจยากใช่ไหมคะ อิอิ Laughing 

 

แคลเซี่ยมในเปลือกไข่กับกรดน้ำส้ม(อะซีติก) ก็กลายเป็นแคลเซี่ยมอะซีเตท แต่พอเจอกับน้ำตาล กลายเป็น สิ่งนั้น  ชักยุ่งเลย ปวดหมอง ไม่รู้ว่าเป็น อินออร์แกนนิก ออร์แกนนิด หรือไปโอเค็ม

ที่ไอ้สิ่งนั้นของผม ทำให้ลุงพูนต้องปวดหมอง


แต่ทั้งนั้นและทั้งนี้ ก็เพราะลุงพีเชื่อลุงพูน


ที่บอกว่า "ไม่อยากให้มีกลิ่น ก็อย่าอ่อนหวาน"


นะจ๊ะ นะจ๊ะ อิอิ หวานๆเข้าไว้

พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง

สารที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่เกิดจากค่ร์โบไฮเดรตในน้ำตาล (CHO) ซึ่งมีคาร์บอเนต(ที่ละลายอยู่ในสารละลายกรดน้ำส้ม) มาจับ


แล้วค่อยไปทำปฎิกริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากที่เกิดจากการ Furment ทำให้ได้ สารที่มีลักษณะเนื้อพรุน หยาบและนุ่ม


เหตุผลของการที่รออยู่หลายเพลา จึงค่อยเกิดปฏิกริยา ก็เนื่องจาก การรอปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์จากการหมัก จนมากพอที่จะได้ตามความเข้มข้นที่จะทำให้เกิดปฏิกริยาใหม่ได้


หายปวดหมองยังคะลุงพูน หรือว่าหนูทำให้ลุงพูนปวดหมองหนักขึ้นอีก หนูเดานะคะ อิอิ


ลุงพีสามารถทดสอบได้ ว่าสารที่ได้ เป็นกลุ่มคาร์บอเนต หรือเป็นคาร์โบไฮเดรต ด้วยการใช้เบเนดิกส์ และ กรดไฮโดรคลอริก ในการทดสอบค่ะ(แต่อาจจะยุ่งยากและปวดหมับ อิอิ)


 

 

หน้า