การหลีกเร้นปฏิบัติ ณ.วัดป่าดอนหายโศก
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจใดที่ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์เอื้อเอ็นดู พึงกระทำแก่สาวก กิจนั้นเรากระทำแล้ว แก่เธอทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง ขอเธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าต้องเป็นผู้เดือดร้อนใจ ในภายหลังเลย นี้คืออนุศาสนีของเราสำหรับเธอทั้งหลาย"
เป็นถ้อยคำจากพุทธพจน์ที่เปล่งออกจากปากท่านพระอาจารย์ไพบูลย์ (ผ.อ.ศูนย์ปฏิบัติธรรม วัดป่าดอนหายโศก อ.หนองหาน จ.อุดรธานี)ทุกครั้งหลังจากจบชั่วโมงการนั่งสมาธิ วันละสี่ครั้งตลอดเจ็ดวันแห่งการหลีกเร้นปฏิบัติ และผลแห่งการปฏิบัติธรรม เอหิปัสสิโกก็พลันบังเกิด คือความที่อยากจะเชิญชวนญาติมิตรให้ได้ไปทดลอง ไปสัมผัสรสแห่งพระธรรมด้วยกันบ้าง จึงไม่ลังเลและรีรอที่จะเขียนบล็อกนี้ก่อนเรื่องอื่นๆทางโลกจะเข้ามารบกวนมากไปกว่านี้
ทุกปีตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๕๑ เป็นต้นมา ช่วงเดือนเกิด เดือนสิงหา เดือนตุลาและเดือนธันวาผมจะเข้าปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาพุทธองค์ และอุทิศกุศลให้แก่ บิดรมารดาและผู้มีพระคุณทั้งหลาย ในเดือนนี้ผมมีโอกาสไปหลีกเร้นปฏิบัติที่วัดป่าดอนหายโศก ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนและครั้งนี้ก็เป็นการอบรมครั้งที่๒๖ แล้ว
ย้อนอดีตไปเมื่อสามปีก่อน ที่สำนักปฏิบัติธรรมในจังหวัดขอนแก่น ผมได้พบกับพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งท่านมีจริยาวัตรงดงาม มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส พอวันสุดท้ายที่ได้รับอนุญาตให้สนทนากันได้ จึงมีโอกาสสนทนาธรรมกับท่าน ทราบว่าเดิมท่านตั้งใจที่จะลางานมาบวชแทนคุณมารดาเพียงแค่พรรษาเดียว แต่ตอนนี้ท่านเปลี่ยนใจแล้ว ที่ทำงาน(ที่สิงคโปร์)ยอมรักษาตำแหน่งงานของท่านโดยไม่ว่าจ้างคนใหม่ถึงหกเดือน ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจไม่สึก ท่านถามผมว่า "โยมพี่ชายขับรถอะไร" จากนั้นท่านก็บอกว่า "ถ้าโยมได้ขับรถเล็กซัส ก็จะลืมอัลติส และถ้าโยมได้ขับเมอร์ซีเดส ก็จะลืมเล็กซัส" เป็นอุปมาอุปมัยว่าท่านได้พบกระแสแห่งธรรมแล้ว และท่านก็มีความเพียรที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงๆต่อไป ก่อนจากกันวันนั้น ผมได้อาราธนาท่านอยู่ภายใต้ร่มกาสาวภัสตร์นานๆ เพื่อเป็นกำลังให้พระพุทธศาสนา และท่านได้แนะนำให้ผมไปกราบหลวงพ่อดร.สะอาด เจ้าอาวาสวัดป่าดอนหายโศกที่ท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์และไปปฏิบัติอยู่ (ท่านบวชที่วัดบวรฯ ในกรุงเทพ) จากนั้นผมก็ได้ไปกราบหลวงพ่อปีละครั้ง ได้ทราบว่าหลวงพี่ไพบูลย์ได้เปิดหลักสูตรปฏิบัติธรรมขึ้นเป็นประจำทุกเดือน และในปีนี้ช่วงต้นเดือนผมก็ได้เข้าร่วมในการหลีกเร้นปฏิบัติ
การลงทะเบียนในวันเสาร์ที่ไปถึง จะแจ้งให้ทราบถึงตำแหน่งที่พัก ผมได้ "ริมสระ23" นึกในใจถึงเรือนพักริมสระน้ำ พอเดินไปถึงเจอนี่เข้าให้
นี่ขนาดตั้งใจตั้งแต่ก่อนไปว่าจะขออยู่เสนาสนะป่านะ เจอแบบเพิงมีแคร่ไม้ไผ่ เรียกว่าเข็มขัดสั้นทันที (คาดไม่ถึง) ต้องรีบแจ้นกลับไปขอเสื่อผืนหมอนใบ ผู้ช่วยงานธรรมก็ใจดี พอรู้ว่าอยู่ริมสระบอกว่ากลางคืนจะหนาวให้ผ้านวมมาสองผืน เลยได้พออาศัยปูนอนด้วยผืนนึง
จากนั้นก็กลับไปฟังปฐมนิเทศน์ ชี้แจงกฏระเบียบ ตารางการปฏิบัติประจำวันและกำหนดเลขที่นั่งของอาสนะในห้องปฏิบัติรวมของแต่ละท่าน แล้วเข้าศาลาปฏิบัติธรรม
มีการขอขมาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล หลวงพ่อให้ศีลและกล่าวเปิดการอบรม จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการฝึกสมาธิด้วยวิธีสังเกตุลมหายใจหรืออานาปานสติ
(ไม่ต้องเดานะว่าผมนั่งอยู่ตรงไหน เป็นรูปเก่ายืมมาจากเว็บของวัดครับ)
ทุกวันจะเข้ามาปฏิบัติในศาลาร่วมกัน๔ครั้ง ครั้งละหนึ่งชั่วโมง สลับกับการเดินจงกรม และมีการฟังธรรมในช่วงค่ำของทุกวันด้วย หลังจากมีคำสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนาตั้งแต่วันที่สี่ของการปฏิบัติเป็นต้นไปทุกชั่วโมงของการนั่งจะเป็นการนั่งอธิษฐานกล่าวคือจะไม่เปลี่ยนท่านั่ง ไม่แยกมือแยกเท้าจนกว่าจะจบชั่วโมง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้รู้ ได้เห็นไตรลักษณ์ด้วยตนเอง
ภาพบรรยากาศในโรงฉัน ซึ่งผู้ปฏิบัติชายก็จะวางภาชนะบนเสื่อ คอร์สนี้เป็นคอร์สแรกที่เปลี่ยนจากการฉันอาหารมังสะวิรัติมาเป็นอาหารปรกติ (คงเพื่อความสะดวกของญาติโยมชาวบ้านที่มาทำบุญ ความเห็นส่วนตัว ยังไม่ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อ) ซึ่งในวันที่สี่เป็นต้นมาผมได้ถือธุดงควัตรในข้อการฉันภาชนะเดียว (ตักครั้งเดียว ฉันมื้อเดียวในหนึ่งวัน) เป็นหนึ่งในสามข้อที่ชักชวนให้ปฏิบัติ (ไม่ได้บังคับ) ส่วนอีกสองข้อที่เหลือคือ เร่งความเพียรโดยนอนช่วงเวลาสีุ่่ทุ่มถึงตีสองแล้วลุกขึ้นมาทำความเพียรด้วยการปฏิบัติด้วยอริยาบทยืนสลับนั่งทั้งวัน และข้อสุดท้ายคือการตั้งใจอยู่ด้วยอริยาบทนั่งสลับยืนทั้งวัน (ไม่นอน แต่หลับด้วยอริยาบทนั่งได้)
ด้วยความเมตตาจากหลวงพ่อ ดร.สะอาด ในแต่ละวันท่านให้ความกรุณาตรวจสอบอารมณ์และแนะนำแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติให้กับศิษย์ ซึ่งจะทยอยกันมาปฏิบัติร่วมกับหลวงพ่อที่กุฏิจนครบทุกคน ในภาพเป็นทางเดินเข้าสู่กุฏิของหลวงพ่อ (เมื่อตอนผมไปกราบท่านครั้งแรก ท่านก็ให้ผมนั่งสมาธิต่อหน้าท่านทันทีหลังจากสนทนากันเพียงครู่เดียว)
ลานเดินจงกรม สงบ ร่มรื่น
บ้างก็ชอบศาลาแบบนี้
บ้างก็ชอบนั่งใต้ร่มโพธิ์ ที่เห็นด้านหลังคือศาลาปฏิบัติธรรม
หัวใจของการหลีกเร้นคือต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการสื่อสารใดๆระหว่างกันตลอดช่วงการปฏิบัติ จนกระทั่งช่วงเย็นของวันที่เจ็ด
หลังอาหารเพลและช่วงพัก ผู้ปฏิบัติบางท่านก็ทำความสะอาดบริเวณทางเดิน
บางท่านก็ทำความสะอาดห้องน้ำ
ข่าวดีล่าสุดคือ มติมหาเถรสมาคมให้วัดป่าดอนหายโศก เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดอุดรธานีแห่งที่ 5 ประโยชน์ก็คือ ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ผู้หญิงสามารถลามาปฏิบัติธรรมได้ไม่เกิน 3 เดือนเหมือนผู้ชาย ท่านผู้ใดสนใจสามารถคลิ๊กดู ข้อมูลเกี่ยวกับการหลีกเร้นปฏิบัติ และ แผนที่วัดป่าดอนหายโศก
รูปถ่ายทั้งหมด นำมาจากเว็บของวัดป่าดอนหายโศก http://luangpordoctor.com/
เพื่อเป็นอาจาริยะบูชา หากมีสิ่งใดผิดพลาดประมาทล่วงเกินพระคุณเจ้าขอได้โปรดอโหสิกรรมและงดโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
- บล็อกของ ลุงพี
- อ่าน 22265 ครั้ง
ความเห็น
RUT2518
14 มิถุนายน, 2011 - 16:20
Permalink
ลุงพีครับ
โมทนา สาธุ ครับ
guys ka
14 มิถุนายน, 2011 - 16:49
Permalink
อนุโมทนาสาธุ
อนุโมทนาสาธุ....
.......
..........
ป้าลัด
14 มิถุนายน, 2011 - 18:38
Permalink
หากมีโอกาสจะเดินตามรอยลุงพีค่
หากมีโอกาสจะเดินตามรอยลุงพีค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ:dong:
ย่าตอน
14 มิถุนายน, 2011 - 18:42
Permalink
ลุงพีคะ
ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ย่าตอนก็เริ่มเดินไปในทางนี้และเป็นการเรียนรู้ตัวตนเอง
จากสื่อต่าง ๆ บางครั้งก็สับสนเพราะพระดี ๆ มีหลายวัดหลายสำนัก เลือกไม่ถูกว่าจะยึด
ท่านผู้ใดถึงจะถูกต้องตรงทาง ทั้งตนเองมีความรู้น้อย บางครั้งว่าองค์นี้แหละใช่แล้ว
พอนานไป ไม่ใช่นะ เลยไปไม่ถึงไหนเสียที แต่ก็จะพยายามค่ะ ขอบคุณลุงพีค่ะ
ลุงพี
14 มิถุนายน, 2011 - 19:07
Permalink
ย่าตอน
ที่วัดใช้ธรรมะจากพุทธพจน์เป็นหลัก ทุกตัวอักษรไม่มีการแปลความอีก เน้นการปฏิบัติให้เข้าใจเอง จัดตารางเวลา สถานที่ และวิธีปฏิบัติได้ลงตัวดี ผมเลยอดไม่ได้ที่จะแนะนำครับ
พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง
ย่าตอน
14 มิถุนายน, 2011 - 19:16
Permalink
ลุงพีคะ
ทางเดียวกับวัดนาป่าพงไหมคะ
ลุงพี
14 มิถุนายน, 2011 - 19:32
Permalink
ใช่ครับ ย่าตอน
เพียงแต่ที่วัดนาป่าพง ไม่ได้จัดเป็นคอร์สปฏิบัติธรรมเต็มรูปแบบแบบนี้ พระไพบูลย์ท่านก็ไปช่วยงานที่วัดนาป่าพงอยู่เนืองๆ
พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง
พุทธบุตร
14 มิถุนายน, 2011 - 19:10
Permalink
จิตที่สงบ
จิตทีี่่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสงบมาให้
รักษาจิต มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ
ยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้อริยบทย่อยต่างๆ ไปด้วย
ความสุข สงบ เย็น ย่อมเกิดให้เห็นแกู่้ผู้ปฏิบัติ
ปััจจัตตัง
เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ย่าตอน
14 มิถุนายน, 2011 - 20:42
Permalink
คุณพุทธบุตรคะ
ขอบพระคุณค่ะจะปฏิบัติตามค่ะ
กุ้งบางบัวทอง
14 มิถุนายน, 2011 - 19:49
Permalink
ลุงพี
ก่อนลุงพีไปกุ้งไม่รู้ข่าวเลย พอกลับมาก็เอาบุญมาฝาก ....ไม่รู้เป็นไรพอเปิดบล็อกลุงพีแล้วอ่านตามไปเรื่อย ๆ จิตใจก็รู้สึกสงบขึ้น ขอบคุณลุงพีมาก ๆ ค่ะ...
มีความสุขกับการที่ได้ให้มากกว่าการที่ได้รับ
หน้า