ปีนเขาบรรทัด @ น้ำตกนกรำ

หมวดหมู่ของบล็อก: 

ขึ้นเขาแล้วค่ะ 


พวกเราตั้งแถวเรียงหนึ่งทยอยเดินตามจ่าฝูง  เอ้ย!  ไม่ใช่ค่ะ  เดินตามหัวหน้าทีมซึ่งก็คือน้องที่แบกเป้ให้หมวยเล็กนั่นเอง  ลำพังเดินตัวเปล่ายังจะเอาตัวไม่รอด    แต่นี่น้องๆเจ้าของพื้นที่ต้องแบกเป้ให้เราด้วย   และไหนจะของตัวเองอีก   แต่เดินกันตัวปลิวทุกคน   ไม่ใช่หล่ออย่างเดียวนะแบบนี้ เค้าเรียกว่าเก่งด้วย...  คริ  คริ  คริ (ชมกันตลอดนิ)  กำลังใจดีอย่างนี้นี่เอง  ถ้าคราวหน้าพี่หยอยชวนไปปีนเขาเจ็ดร้อยยอดด้วยกันโดยน้องๆทีมนี้เป็นผู้นำทาง หนูคงตัดสินใจได้ไม่ยากเท่าไหร่   555



...กระท่อมใครหนอ  เหมือนเรือนหอในฝันของฉันจัง... !


กระท่อมหลังนี้เป็นหลังสุดท้ายของหมู่บ้านที่เจ้าของคงตั้งใจมาปลูกแอบไว้ตรงชายป่าก่อนทางเข้าน้ำตกนกรำค่ะ 


อยากจะตะโกนถามคนในกระท่อมจังว่า ..มีคนหุงข้าวหรือยัง  แต่เกรงใจพี่โจค่ะ  ^.^


...คนสันโดษ โสดหรือเปล่า สาวสาวถาม


...คนซักผ้า หาข้าวปลา หน่ะมีไหม


...หนาวลมบน คืนฝนตก จะซบใคร


...สี่ห้องใจ  มีใครครอง จองหมดยัง... 




ฉันทามติของชุมชนชาวน้ำตกนกรำค่ะ


   หลังจากที่ติดประกาศนี้  อาจทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมสถานนี้น้อยลง  แต่พวกเขาก็ยินดีกว่าที่จะให้มีคนหลั่งไหลเข้าเยอะๆซึ่งคงจะมาพร้อมกันการเปลี่ยนแปลงที่จะไหลแรงกว่ากระแสธารานกรำ!



ช่วงหัวขบวนจะเป็นทีมพี่แจ้ว พี่พา นายหัวและใครอีกหลายคน   ส่วนที่รั้งท้ายจะเป็นน้องอ้อ (slowlife)  ซึ่งแบกเป้ใบใหญ่ด้วยตัวเองเก่งจริงๆ      ตอนกลับจากบ้านพี่แจ้ว น้องอ้อติดรถมาลงในเมืองลุงด้วยค่ะ จึงได้มีโอกาสคุยและทำความรู้จักน้องอ้อมากขึ้น  ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ   และหวังว่าเราคงได้ต่อยอดเรื่องที่เราคุยกันในรถนะคะ 


นอกจากน้องอ้อแล้ว  ก็มีพี่หยอย  พี่อู๊ด  และใครอีกล่ะน่าจะเป็นทีมแบกหามมั้งคะ  อ้อ!แล้วยังมีคุณตานายพรานและน้องใจด้วยค่ะ     คุณตาอายุ 90กว่า แล้ว  แต่ปีนเข้าหน้าตาเฉย   ตีนเปล่าด้วยค่ะ   !!! คุณตาคงมียาดี  คืนนี้เราจะสอบถามกันค่ะ


หมวยเล็ก พี่โจ  พี่เก้ พี่เสิน พี่เล็ก   และน้องจาจริงๆ    อยู่กลางขบวนค่ะ    ช่วงทางเดินขึ้นเขานี้ อยากมีมือสักสิบมือแบบทศกัณท์จังค่ะ      และด้วยที่ทุกคนก็มีแค่สองมือเท่านั้น  จึงคงไม่มีใครสามารถงัดกล้องอกมาถ่ายรูปนาทีระทึกในนี้ได้เป็นแน่   ด้วยว่ามือซ้ายก็ต้องทำหน้าเกาะเกี่ยวเถาวัลย์มั่ง โอบต้นไม้ไว้มั่ง   มือขวาก็ต้องพยุงกับผนังภูเขา เพราะเราไม่สามารถเดินตัวปลิวได้เลย   สายตาก็มองต่ำตลอดเวลา   ได้ยินพี่แจ้วพูดว่าตั้งแต่เดินขึ้นมายังไม่ได้มองเลยว่ามีอะไรข้างทางบ้าง   ก็ใครจะกล้าวอกแวกละค่ะ  ทางเดินกว้างแค่หนึ่งฝ่าเท้าเท่านั้น    มิหนำซ้ำบางช่วงยังต้องเดินผ่านขอนไม้แท่งเดียวที่มีเพียงต้นไม้เล็กๆให้เกาะตรงกลางระหว่างเหวทั้งสองฝั่งเท่านั้น ช่วงที่เราผ่านหุบเหว   ก็ได้เห็นความเอื้ออาทรกันแบบนี้แหละค่ะ    ใครๆที่เขาว่าการที่คู่รักไปเดินป่าด้วยกัน    กลับมาแล้วถ้าไม่เลิกกัน  ก็จะรักกันมากขึ้นถึงขั้นตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันเลยก็มีเห็นทีจะจริง  



ตรงนี้เป็นช่วงทางเข้าค่ะ  ฝนยังไม่ตก ยังพอถ่ายรูปได้  ตอนลงไปนี้ก็ต้องไต่ลงไปแล้วก็ปีนขึ้น ไต่ลง สลับไปมาตลอดทาง


ด้วยหนทางที่ทุรกันดาร  การเอื้ออาทรระหว่างเพื่อนร่วมทางจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากค่ะ    เพราะทุกคนก็เหนื่อยและเสี่ยงเท่าๆกัน  หลายครั้งที่เราต้องฉุดกันขึ้นไปแล้วยื่นมือส่งต่อให้กัน  เราเกาะกลุ่มแบบไม่ทิ้งกันเลย ขอขอบคุณน้องจาจริงๆ พี่โจ พี่เก้ พี่เล็ก  พี่เสิน ด้วยนะคะที่ไม่ทิ้งหนูให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่คนเดียว 


 พอเราเดินมาได้สักครู่ฝนก็ค่อยๆเทลงมาอย่างกับเทวดาพรมน้ำมนต์   แล้วค่อยตกแรงขึ้นเรื่อยๆ    ช่วงนี้ใครมีอะไรที่พอจะเอามาบังฝนได้ต่างก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์  พี่โจให้ถุงพลาสติกหนึ่งใบแก่หมวยเล็กเพื่อคลุมหัวไม่ให้เปียก   แต่ก็คลุมได้แป็บเดียวเพราะรู้สึกว่าเป้ผ้าขะม้าใบเก่งเริ่มซับน้ำจนเปียกชุ่มและภายในก็มีทั้งโทรศัพท์และกล้องถ่ายรูป  จึงจำเป็นต้องสละถุงใบนั้นเอาไปสวมเป้แทนค่ะ   แต่ก็ยังไม่ทันการค่ะเพราะทันทีที่เราถึงที่แห้งหมวยเล็กได้เอาทั้งสองอย่างออกมาเช็คสภาพ   ปรากฏว่าโทรศัพท์แน่นิ่งไม่ไหวติงไปเลยค่ะ   ส่วนกล้องถ่ายรูป ทนทายาทมากว่า แต่ก็มีรวนเป็นพักๆ  ทั้งสองอย่างเพิ่งจะแก้ไขได้เมื่อกลับเข้าบ้านแล้วนี่เอง


ทากไม่มีค่ะแต่ฝนตกตลอดทาง   ข้างซ้ายเป็นหน้าผาที่ไม่สูงชันนักเป็นที่ไหลผ่านของน้ำตกนกรำ และมีจุดแวะพักเป็นหนานหินเล็กๆอยู่เป็นระยะ   แต่ก็ไม่กว้างพอที่จะให้เราไปกางเต็นท์นอนกันได้   แต่ลำพังชาวบ้านที่เขาเข้าไปหาของป่าและพักค้างแรมกันบนนั้นเป็นเรื่องสบายบรื๋อย์


พอฝนตกหนักเข้า  เสียงคุยกันเริ่มเงียบ  มีแต่เสียงตะโกนมาจากข้างหลังว่า  ใกล้จะถึงแล้วยัง  ผู้นำทางซึ่งทิ้งช่วงเดินห่างกันเป็นระยะ  คืออยู่หน้าขบวนคนนึง   อยู่กลางขบวนคนนึง และรั้งท้ายอีกหลายคน  คนที่อยู่ใกล้ที่สุดปลอบใจพวกเราว่ามาได้ครึ่งทางแล้ว   (เพิ่งจะครึ่งหรือเนี่ยะ !)


มีบางช่วงที่พี่เล็กกับพี่เก้ขอแวะข้างทาง  แต่ไม่ได้นั่งนะคะเพราะเปียกนั่งไม่ได้  ก็ได้แต่ยองๆแลกเปลี่ยนยาดมกันดมโดยมีพี่เสินยืนเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ    ช่วงแรกๆพี่เก้กับพี่เล็กก็เสียงใสจนชะนีหลบนั่นแหละค่ะ!!! แต่พอผ่านไปได้ครึ่งทางเสียงเริ่มเงียบ  


 ดีนะที่น้องใจไปอยู่ท้ายกับพี่หยอย   ถ้าสามคนนี้รวมกันเมื่อไหร่หนุ่มๆเตรียมใส่กระจับได้เลยค่ะ  เพราะชกใต้เข็มขัดตล๊อดดดด   แบบว่าเรียกเสียงฮาได้ตลอดเวลา  ช่วงที่เราอาบน้ำกันที่ริมธารข้างล่างมีเรท R  ด้วยแหละ   เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง  คริ คริ


 มีบางช่วงที่พี่โจรั้งท้าย  และบางช่วงพี่เสินรั้งท้าย   แต่ตอนที่หมวยเล็กรั้งท้าย  บอกได้คำเดียวว่าเป็นอะไรที่วังเวงมาก   เพราะคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเรา   เขาจะไม่มีโอกาสหันกลับมามองเราได้เลยเพราะเขาก็ต้องเดินตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ  คนที่อยู่คนสุดท้ายพอเหลียวไปข้างหลังก็ไม่เห็นใครเพราะเราคงทิ้งกลุ่มของพี่อู๊ดไว้ที่เหลี่ยมเขาข้างหลัง   จึงทำให้เรามองไม่เห็นกัน 


เคยอ่านหนังสือเพชรพระอุมาเขียนไว้ว่าคนที่เดินคนสุดท้ายมักจะหายไปจากกลุ่มโดยที่คนในกลุ่มไม่รู้อยู่เสมอ     ซึ่งก็คงเป็นไปได้ค่ะ  เพราะเสือสมิงที่อาจจะคอยเล่นงานเราอยู่  อาจจะจ้องคนที่อยู่ท้ายสุดเพราะเมื่อมันตรงเข้าประชิดตัวแบบเรายังไม่ทันได้ส่งเสียงแล้วมันก็ลากเข้าป่าไปเลย   นึกแล้วก็สยองสุดฤทธิ์ 


 หมวยเล็กเกาะน้องจาจริงๆตลอดทางค่ะ  มีบางช่วงที่พอคุยกันได้หน่อย   น้องจาจริงๆก็หันมาพูดว่า  “ผมอ่านบล็อกพี่หมวยตอนที่พี่มาสำรวจเส้นทางคราวที่แล้ว   เห็นเป็นทางเดินบนหาดทรายใสสะอาด  ผมจึงตัดสินใจมาครับ”  


น้องจาจิรงๆพูดแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป  ...แปลว่าอะไร จ๊ะ ?


เราใช้เวลาเดินขึ้นป่าที่ฝนตกพรำตลอดทางร่วมชั่วโมง ก็ถึงหนานลานุ้ยค่ะ  เราผ่านหนานขานางและหนานไผ่มาแล้ว  แต่ด้วยที่พื้นที่ราบมีน้อยอย่างที่บอก     ผู้นำทางจึงแนะนำให้เราขึ้นมาถึงตรงนี้ซึ่งมีแผ่นหินกว้างลักษณะเป็นศาลากันลม กันฝนได้   และตรงนี้เองคงเป็นที่มาของคำว่า ‘ลานุ้ย’  ตามความเข้าใจคิดว่า ‘ลา’  คือ ‘ศาลา’  ส่วนคำว่า ‘นุ้ย’  น่าจะมาจากคำว่า ‘เล็ก’   ‘หนานลานุ้ย’  ก็คือ ‘หนานศาลาเล็ก’  .....อันนี้ความเห็นส่วนตัวค่ะ จริงเท็จประการใดต้องถามพี่หยอยอีกทีค่ะ



มองลงมาจากหน้าผาที่เราปีนอยู่ช่วงต้นๆ 



ในที่สุด เราก็ปีนมาจนถึงจุดหมายปลายทาง  ไคล์แม็กซ์สำคัญมันอยู่ตรงนี้ค่ะ   พวกเราเปียกปอนกันทุกคน ไหนจะสัมภาระก็เปียก  เหนื่อยก็เหนื่อย ปวดขาไปหมด ที่นั่งพักก็ไม่เพียงพอเพราะเรา 19  คนแล้วทีมงานอีกเป็น 10 แค่ยืนก็เบียดกันแล้ว    


ประธานแจ้วสติดีกว่าใครเพื่อน หันมาถามว่าขณะนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว  เสียงตอบมาว่า สามโมงครึ่ง   (เราขึ้นมาตอนบ่ายสองสิบสองนาที)   พี่แจ้วก็เลยถามเสียงส่วนใหญ่ว่าด้วยสภาพที่เห็นอยู่นี้คือมันเปียกทั้งป่า เราจะนอนกันอย่างไร????



ขอบคุณนะคะที่ช่วยสะพายเป้ให้  ถึงของข้างในจะเปียกหมด  แต่ก็ให้อภัยค่ะ


ขอตัวไปกินข้าวก่อนนะคะ   เดี๋ยวมาต่อค่ะ 



ความเห็น

มีการพักยกกันเลยเหรอเนี๊ยะ อิอิ เหมือนตอนเดินเลยนะ ที่ขอตัวนั่งพักยก ดีนะที่ไม่เดินข้างพี่มีทีเด็ดจากคู่หน้าอีกเยอะ..........:uhuhuh:

 

 

msn:lekonshore@hotmail.com

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร

ขบวนหลังหมวยเล็ก  อ่ะ มีคนแก่ มืนๆ หลงๆ อยู่ 5 คน ฝนตก ฟ้ามืด  ตะโกนไป ก็ไม่มีใครตอบ บรื้อ...

แจ้วไม่เห็นมีใครแก่เลยสักคน.....


:confused:

มี พี่  และ  พี่ อู้ด  อีกสามคน สาวๆๆ ก็ได้

ดีแล้วและที่อยู่กันสองคนๆเอินจะได้ไม่ต้องมาพลอยดมด้วย........:uhuhuh: นอกจากพี่......:bye: พี่เก้

..โอกาสไม่ได้มีทุกวัน..

 

เปิดเผยได้มั๊ย..... หรือต้องเรียกค่าปิดปากดีล่ะน้องเล็ก.......ฮากระจัดกระจายเลยแหละ


:uhuhuh:


 

เห็นกำลังยุ่ง ๆ เดียวอีวิปเอา...............:uhuhuh:

 

 

msn:lekonshore@hotmail.com

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร

น่าหนุกจังนะ เสียดายที่ไม่ได้ไปด้วย ตอนแรกก็วางแผนไว้ดิบดีแล้วว่าจะไป แต่พอดีผู้ปกครองติดภาระกิจ ก็เลยชวดไม่ได้ไปอีกตามเคย :nonono:

ตามอ่านมาเรื่อยๆ อ่านแล้วเห็นภาพเลยค่ะพี่หมวยเล็ก ถ้าน้องไปด้วยคงจะรักคนที่ให้น้องเกาะแขนขึ้นเขาด้วยที่สุด ว่าแต่ใครจะเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น :sweating: ...แค่เดินปกติก็ซุ่มซ่ามอยู่แล้ว เดี๋ยวมาอ่านตอนต่อไปนะคะ :love:

สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี

หมวยเล็กจะประทับใจผู้นำทางซะแล้ว....พี่พักยกไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ใกล้จะเที่ยงแล้ว...เดี่ยวมาทบทวนเหตุการณ์กันต่อ.....


:shy:

หน้า