อยากต้มยาหม้อกินเอง แต่ไม่รู้อะไรเลย ต้มกินแบบดื้อๆไปอย่างงั้น ใครพอมีสูตรบ้างครับ

หมวดหมู่ของบล็อก: 

ตอนผมนี้สนใจการต้มยาหม้อไว้รับประทานครับ รู้สึกว่าปลอดภัยดี ตอนนี้ผมต้มแค่กระชายดำใส่กาน้ำไว้กินอย่างเดียว แต่สมุนไพรของเรามีมากมาย แต่ละอย่างก็มีสรรพคุณแตกต่างกันไป ที่ผมได้สมุนไพรมาก็หลายขนานที่ได้ปลูกๆไว้ ผมเลยกะว่าจะเอาสมุนไพรที่มี ที่สรรพคุณตรงตามที่เราต้องการมาต้มลงหม้อเดียวกันในอัตราส่วนเท่าๆกัน แบบนี้มันจะใช้ได้รึเปล่าครับ แล้วการต้มยาหม้อต้องมีสูตรรึเปล่า หรือเอาอย่างที่ผมเข้าใจ คือสมุนไพรใหนที่ว่าดี สรรพคุณตรงตามที่เราต้องการก็ใส่่ลงต้มพร้อมๆกันก็เป็นอันใช้ได้ แล้วหม้อต้มต้องเป็นอย่างไร เห็นบางคนบอกต้องเป็นหม้อดินเท่านั้น ผมเลยงงๆ ขอคำชี้แนะจากเพื่อนๆพี่ๆ สมช. ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 

ความเห็น

ตอนนี้ก็ต้มยาหม้อทุกวัน ให้พี่กิน แต่เรื่องสูตร คงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่กล้าแนะนำหรอกค่ะ  เราจะต้มยาอะไร สมุนไพรตัวไหน ก็ต้องศึกษาให้ดี ให้ถ่องแท้  ถ้าเอาตามความเข้าใจ คิดได้ คง....เสี่ยงเกินไป อะไรที่ดี  ถ้าใช้ไม่ถูก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็น่ากลัว อันตรายแอบแฝง  ยาสิบหม้อ สิบครู ก็มีวิธีต้ม วิธีกินไม่เหมือนกัน  ต้องศึกษาค่ะ

สมุนไพรบางตัวเอามาต้มรวมกันก็อาจจะออกฤทธิ์ต้านกันเอง  บางตัวก็เสริมฤทธิ์กัน  อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี อะไรที่น้อยเกินไปก็ไม่ดี  ต้องกลาง ๆ พอดี ๆ  

หม้อต้ม ก็ใช้หม้อดินดีที่สุด ใช้หม้อของด่านเกวียนยิ่งดี หนา หม้อที่อื่นบาง แตกง่าย  แล้วก็อุ่นยา เช้า-เย็น ไม่งั้นบูด

 

มีหนังสือตำรายาสมุนไพร หามาอ่าน ศึกษาได้ค่ะ ของวัดท่าเลียบ เออ!...ลืม คิดก่อน...หลวงพ่อ ส. เปลี่ยนศรี  ธนนันท์เคยศึกษาอยู่หลายปี แต่ไม่ได้อ่านมานานหลายปีเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้แล้ว ลองหาดูค่ะ ศึกษาให้ดีก่อน...

ต้มน้ำสมุนไพร อย่างเช่นใบเตย น้ำเก๊กฮวย แต่กินหมุนไปก็ดีนะคะ หากว่ากินซ้ำอย่างเดิมทุกวันแถมกินต่างน้ำต้องระวัง อย่างเช่นหญ้าหนวดแมว หากว่ากินมากเกินจะส่งผลต่อแร่ธาตุในร่างกายที่มีฤทธิ์ต่อหัวใจ ดังนั้นจึงห้ามอย่างมากในคนที่ตั้งครรภ์หรือผู้สูงอายุโดยเฉพาะที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจค่ะ


สมุนไพรเมื่อนำมาเข้ายาจะเป็นตำรับ แต่ในตำรับยาจะมีทั้งสมุนไพรหรือเรียกว่าพืชวัตถุ ยังมีสัตว์วัตถุ และธาตุวัตถุด้วยค่ะ (ตามที่จำได้) ในแต่ละตำรับยาตัวยาแต่ละอย่างจะมีการตัดฤทธิ์กัน หมายความว่า แต่ละอย่างบางอย่างจะมีฤทธิ์รักษาขณะเดียวกันก็มีผลข้างเคียงทิ้งค้างไว้มากหรือน้อยแล้วแต่ชนิดนั้น ๆ จึงจำเป็นต้องนำมาตัดฤทธิ์ให้ออกมาเป็นคุณมากกว่าโทษ ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนและเรียนรู้จากครูบาอาจารย์อย่างใกล้ชิดด้วยค่ะ


ในทุกวันนี้ผ่านรอยต่อของการเว้นช่วงทิ้งเรื่องสมุนไพรไปนาน และปัจจุบันกลับมาใช้ใหม่ แต่รอยต่อที่เว้นช่วงไปนั้นทั้งตำราและผู้รู้ก็สูญหายไปมาก เมื่อกลับมาใช้ใหม่ก็เหมือนเป็นการลองผิดลองถูก ส่วนตัวเองนั้นมีความเห็นวาควรทำความเข้าใจจริง ๆ ไม่เช่นนั้นฉวยพลาดพลั้งไปจะมีผลเสียต่อระบบร่างกายที่ขับพิษพลอยจะทำให้แก้ไขไม่ทันการณ์น่ะค่ะ

  สมุนไพรกินเพื่อป้องกันโรค เป็นเรื่องดีมากหากมีโอกาสต้มกินเอง

 การทำงานต้องรู้จริงทำจริงจึงประสบกับความสำเร็จ

ตามพี่นันเลยครับแต่ยาสมุนไพรมีทั้งคุณและโทษถ้าใช้อัตราส่วนที่ไม่เหมาะสมนะครับ

ภาษาไทยเป็นภาษาของชาติไทย เรามาร่วมรณรงค์ใช้ภาษาไทยให้ถูกกันดีกว่าครับ

ดีมาก ๆ เลยคะที่หันมาสนใจสมุนไพรไทย ๆ  แต่ก็ต้องระวังนะคะมากเกินไปก็อาจจะเป็นโทษต่อร่างกายได้  เพราะสมุนไพรบางตัวมีฤทธิ์แรงเกินไปต้องมีตัวอื่นมาเบรก  หรือสมุนไพรตัวเดียวมีสรรพคุณไม่แรงพอที่จะใช้รักษาโรคได้ต้องเอาอย่างอื่นมาเสริม    ทางที่ดีกินพืชผักสมุนไพรให้หลากหลายเป็นอาหารประจำวันเป็นดีที่สุด   Laughing

สมุนไพรมีทั้งคุณและโทษศึกษาให้ถ่องแท้นะคะ การทานอาหารให้ครบทุกหมู่ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง กินพืชให้หลากหลายน่าจะดีที่สุด

จะปลุกทุกอย่างที่กิน แม้จะไม่ได้กินทุกอย่างที่ปลูก

นี่...พยาบาลวิชาชีพมาคอมเม้นท์เองเลย.... :love:

แต่ถ้าต้มกินเพื่อบำรุงร่างกายน่าจะดีสำหรับการต้มกินประจำ แต่ต้มเพื่อรักษาก็ต้องหาสรรพคุณและโทษ ส่วนมากที่ต้มกันประมาณน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 แก้ว พี่ยุพินอยู่ไหนน้ามาช่วยให้ความกระจ่างด้วย :confused:

EAKAPONG_36@hotmail.com Tel 087 959 9004

เรื่องยาต้มไม่ถนัด แต่ที่รู้คือการหมักทำเป็นน้ำเอ็นไซม์ จะได้ประโยชน์มากเลย ไม่มีอันตราย แต่ต้องให้ได้อายุการหมัก 1 ปี ขึ้นไป ตามสูตร


น้ำ 5 ส่วน ผัก  ผลไม้ หรือ สมุนไพร ที่จะหมัก 3 ส่วน  น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน  หมักนานๆจะเปรี้ยว ยิ่งเปรี้ยวยิงดี ไม่เน่า ไม่เสีย รับลองท้องไม่ล่วงแน่นอน