“รักษ์ชาวนา รู้คุณค่า รู้คุณข้าว”หมดจาน
“ทำไมกินข้าวเหลืออีกหละลูกวันนี้ แม่เห็นเกือบจะทุกมื้อเลยนะสองสามวันมานี้ ตักทีละน้อยๆก็ได้ลูก เราก็รู้ประมาณการกินของเราได้นี่น่า ว่าเท่าไร่ถึงจะอิ่ม”
แม่เล็กเอ่ยปากทักลูกชายหลังจากที่ เฝ้ามองด้วยความสงสัยมาหลายวันหลังอาหารเมื้อเช้าวันหนึ่ง ขณะที่บุญส่ง ผู้พ่อ หัวหน้าครอบครัวกำลังเพลินกับข่าวสารบ้านเมืองทางหน้าจอโทรทัศน์อย่างตั้งหน้าตั้งตา
“มันเป็นความตั้งใจของผมเองครับแม่ เพื่อนผมที่โรงเรียนก็เป็นแบบนี้กันทุกคน”
“อ้าว..ที่โรงเรียนก็ด้วยหรือลูก ...แล้วที่โรงเรียนลูกได้ กินข้าวอิ่มไหม”
“บางวัน..แม่ อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้างครับ แต่ต้องเหลือไว้ ส่วนที่บ้านผมจะตักให้เกินจากส่วนที่อิ่มเอาไว้ เพื่อที่จะได้เหลือ มันเป็นการกินแบบผู้ดี นะแม่”
“แต่แม่ว่ามันเหมือนการกินทิ้ง กินขว้างมากกว่านะลูก ไม่เห็นมันจะเป็นการกินแบบผู้ดีตรงไหนเลย” แม่เล็กยื่นแย้ง ขุ่นก้อนเริ่มรวมตัวกันเล็กน้อย เมื่อนึกถึงพฤติกรรมผู้ดีของลูกชายที่เธอก็เพิ่งจะได้รับรู้รับฟัง อย่างแปลกประหลาดใจใจในวันนี้
“ แม่ครับ ข้าวที่เหลือแม่จะเอาไปไหนหละ แม่ก็เอาไปให้ปลาในสระ เอกไม่เห็นว่ามันจะทิ้งตรงไหนเลยนี่ ครับ”
“มันก็เหมือนการทำบุญ ยกระดับจิตใจ ให้สูงส่ง ที่เราได้แบ่งส่วนของเราให้กับปลานะ” เอก ยกคำแทบทั้งหมดในฐานะสาวกคนหล้าสุดในกลุ่ม เพื่อเสริมกล่าวเหตุผลให้ผู้เป็นแม่ได้ฟังและเข้าใจ
“แต่ปลาก็มีอาหารของมันอยู่แล้ว และที่ผ่านมา พ่อกับแม่ก็เลี้ยงกับแบบธรรมชาติ หากมีเศษอาหารเหลือกินก็ค่อยเอาไปให้มัน”
“ ลูกรู้ไหมว่าข้าว ปลาอาหาร กว่าจะได้มาแต่ละอย่างนั้น มันยากนะลูก ข้าวกว่าจะเป็นรวง กว่าจะได้เก็บเกี่ยว ปลากว่าจะโต ผักกว่าจะปลูกจนเอามากินได้...”
“ ทุกอย่างล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเอง แล้วเราจะมาดูถูก ดูแคลนแบบทิ้งๆแบบนี้ไม่ได้..ลูกเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า นะลูก” แม่เล็กกล่าวกับลูกชายเหมือนจะถอดบทเอามาจากตำราหนังสือของสามี ที่เธอก็มักจะหยิบเอาออกมาอ่านเป็นประจำหลังจากว่างเว้นจากภาระงานในช่วงของวัน
“แม่ คนอื่นจะเป็นอย่างไรผมไม่ทราบแต่ผมคิดของผมแบบนี้ ในกลุ่มผมก็เหมือนกันนะแม่” เอกเพิ่มโทนเสียงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสิ่งที่แม่พูดขัดกับเจตนาความตั้งใจในเงาคิดของตัวเอง
“เอก..แต่แม่ว่า........”.
“พอแล้วแม่เล็ก เอกไปโรงเรียนเถอะลูก...เดี๋ยวสาย” พ่อซึ่งนั่งนิ่งมานานกล่าวชิงตัดบท ก่อนที่เหตุผลของแต่ละฝ่ายจะลุกลามไปมากกว่านี้จนกลายเป็นอารมณ์
..............................................
คุณนี่ทุกทีเลย......ให้ท้ายลูก...แม่เล็กหันมาค้อนต่อว่าพ่อ ขณะที่เสียงรถจักรยานยนต์ของเอก ลับเสียงไปไกลๆ
“พ่อรู้แว่วๆมาจาก ผ.อ.ที่โรงเรียนแล้วหละเรื่องนี้....ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร ทั้ง ผอ. นายก เถ้าแก่ หลายคนก็ปรึกษากันอยู่ว่าจะทำอย่างไร ไม่ใช่เราจะไม่ละเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่ากังวลเลยนะแม่ ทุกอย่างย่อมมีทางออก ”แม้จะทำไร่ทำนา แต่การที่เกษตรกรอย่าง บุญส่ง ก็ได้น้อมนำพาหลักทฤษฎีใหม่ และเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ปฏิบัติอย่างยาวนานและต่อเนื่องหลายปี ก็ทำให้บุญส่งเป็นที่รู้จักของหน่วยงานส่วนราชการต่างๆในพื้นที่ ที่เขามักจะเข้าไปขอคำแนะนำ และหลายครั้งเช่นกันที่ บุญส่งได้เข้าไปช่วยแนะนำให้กับนักเรียน นักศึกษาผู้ที่สนใจ ในฐานะที่ถือว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของต้นแบบชุมชน
“แม่ก็รู้จักลูกเราดีไม่ใช่หรือ นี่มันแค่พฤติกรรม มันไม่ใช่...นิสัย”
ต่อไปไม่ต้องดุอะไรเขาแบบนั้นอีกแล้วนะแม่ นี่...ไม่ใช่เรายอมรับกับสิ่งที่ลูกเรากระทำนะแม่ แต่เราต้องเข้าใจและเข้าไปแก้ไขในสิ่งที่ลูกคิด” แม่นั่งนิ่งเงียบในขณะที่พ่อหยิบจับรีโมทปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้นออกมายังนอกชานชายคาบ้าย ทอดสายตาไปยังท้องนาเหมือนกำลังจะค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
..................................................
“พ่อ ทำไมไม่บอกกล่าวอะไรกับลูกบ้าง” แม่เล็ก รบร้าวคู่ชีวิตอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วลูกชายก็คงปฏิบัติตัวอยู่เช่นเดิม
“ปล่อยเค้าไปเถอะแม่ ไม่ได้ยินหรือเมื่อวันก่อน ที่ลูกบอกว่าเพื่อนในกลุ่มที่โรงเรียนก็เป็นแบบนี้ ลูกเราก็โตแล้วนะแม่นะ ที่ผ่านมาเขาก็เชื่อฟังเรามาดี ไม่เกเร งานหนักงานน้อยเค้าก็ช่วยตลอด ไม่เคยเห็นมันเกี่ยงงอน เค้าคงแยกแยะได้เองหละน่า...สักวันนึง ” พ่อกล่าวออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โอบจับเอวแม่ พามาวางนั่งลง เพื่อเน้นดวงตาให้เห็นคำ
“ ลุกเรานะ เราอาจจะแก้ได้ แต่ลูกคนอื่นๆหละใครจะแก้”
เขาอาจจะอยู่ผิดที่ผิดเวลาในตอนนี้ ปีหน้าเค้าก็จบแล้วเนี้ย มันก็คงแยกย้ายไปเรียนมหาลัยกัน พ่อรู้ว่าควรทำอย่างไรให้ลูกเข้าใจ อย่าคิดมากทำใจร่มๆ”
ว่าแต่แม่เถอะ จะไปเก็บผักเก็บมะเขือส่งขายที่ตลาดไม่ใช่หรือวันนี้ ถ้างั้น...พ่อจะไปโป๊ะคันนาก่อนก็แล้วกันนะแม่ เสร็จเมื่อไรมาเรียกนะ จะได้ช่วยยก...
“อะไรนะพ่อ โป๊ะคันนา..ทำไมรีบจังปีนี้ ค่อยให้ถึงเวลาเหมือนปีก่อนๆก็ได้” แม่เล็กประหลาดใจกับการเร่งรีบของบุญส่ง เพราะโดยปกติแล้วหากนับตามตารางเวลาที่วางไว้ในแต่ละอาทิตย์หรือเดือน ก็อีกเกือบค่อนเดือนกว่าจะเริ่มเตรียมนากัน
“ไม่ได้หรอกแม่ ปีนี้ที่นาเราทั้งแปลงจะถูกทำหมด ให้ไอ้ทุยหนุ่มๆมันได้ออกเหงื่อกันบ้าง.....อีกอย่าง เราก็ทำเฉพาะส่วนแปลงที่เราทำอยู่เหมือนเดิม ส่วนอีกแปลง พ่อให้คนอื่น..... เค้าจะพาคนมาทำ”
“ ใครหรือพ่อ...”
“เดี๋ยวสายๆวันนี้แม่เล็กจะเห็นเอง” บุญส่งตอบตัดบท ก่อนลงจากเรือนก้าวขายาวๆไปตามตารางของคันนา
แม่เล็กรู้สึกแปลกใจเล็กๆกับความคิดของพ่อ แต่ก่อนแต่ไรก็บอกว่า เราต้องทำตามกำลัง มากไปแต่อาจจะทำได้ไม่ดี ก็ไม่ควรทำ แต่ปีนี้กลับจะแบ่งให้คนอื่นมาทำ มาช่วยด้วย โดยปกติแล้วที่นาผืนนี้ถูกแบ่งเป็นสองส่วน สลับกันปลูกข้าวในช่วงแต่ละปี ปีไหนที่คิดว่าฝนอาจจะมากหน่อยก็ย้ายไปทำในแปลงที่สูงกว่า ปีไหนคำนวณจากประสบการณ์ว่าน้ำอาจจะน้อย ก็มาทำในแปลงนาลุ่ม แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำคาบเกี่ยวกันตรงกลางๆมากกว่า เพื่อง่ายต่อการผันน้ำ หลังจากเก็บเมล็ดพันธ์ไว้ใช้ปีหน้าแล้ว ก็ยังคงเหลือพอกินอยู่ได้จนเกินปี ซึ่งในบางทีก็ขายให้เถ้าแก่โรงสีไปบ้าง ตามผลผลิตที่ดีเกินคาดในบางช่วงของฤดูกาล ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกทาง แต่ก็คงส่วนน้อย เพราะรายได้หลักส่วนใหญ่ก็มาจากการปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เฉพาะยอดผักที่แซมอยู่ตรงรั้วบ้าน คันบ่อปลา ก็ถูกแม่ค้าขนมจีนในตลาดขับรถมาสั่งจอง จนมีไม่พอจะส่งให้แล้วในแต่ละวัน จึงต้องแบ่งพื้นที่ขยายปลูกต่อ
ตะวันเริ่มจะแสดงตัวตนที่แท้จริงมากขึ้น บนคันนา นายกเทศบาล เถ้าแก่โรงสี และชาวบ้านอีกหลายสิบคน ยืนเรียงแถวกันอยู่ แม่เล็กรู้สึกเอมอิ่มกับสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้ากลางท้องนา เป็นภาพของ เอกและเพื่อนๆร่วมชั้น กำลังยืนฟัง ผอ.โรงเรียนพูดคุยอยู่ แม่เล็กเหลือบไปเห็นป้ายที่ชาวบ้านนำมาปักขึงเอาไว้ที่ริมแปลงนาว่า ปฏิบัติการ “รักษ์ชาวนา รู้คุณค่า รู้คุณข้าว” ซึ่งมีเสียงแว่วดังๆมาจากท้องนาว่า ทุกคนจะต้องผ่านการเรียนรู้ตั้งแต่การไถ่นา ปลูกข้าว รักษา การเก็บเกี่ยว นวด ตาก สี และ จนกว่าทุกคนจะได้กินข้าวที่ตัวเองร่วมกันปลูกตลอดหลักสูตร โดยมีบันทึกที่ชัดเจนในทุกๆสัปดาห์และเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการจริงทั้งหมดในภาคสนามทุกขั้นตอน ด้วยความร่วมมือกันทุกภาคส่วนของชุมชน
แม่เล็ก เฝ้ามองยืนดูลูกชายอยู่ไกลๆ ขณะที่เอกกำลังสนุกสนานกับเพื่อนๆ เที่ยววิ่งไล่จับปลากันอยู่ในโคลน ที่ตอนนี้ก็แยกดูไม่ออกแล้วว่า ใครเป็นใคร ขณะที่บุญส่งและ นายก กับชาวบ้านอีกเกือบสิบคน กำลังโป๊ะแต่งคันนาให้เด็กๆได้ดูเป็นตัวอย่าง
ป้ายคำขวัญโครงงานโต้ล้อเล่นตระห่านอยู่กับลม แม้ทุกคนจะเริ่มทยอยกลับกันไปแล้ว แม้นจะเป็นแค่การเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยในวันนี้ แต่ก็จะเป็นการเริ่มต้นของคุณค่าที่จะเติบใหญ่อยู่ในใจของทุกคนต่อไป.แม่เล็กแอบนึกในใจขณะที่ลูกชายแบกจอบเดินกลับมาถึงชานตัวเรือนด้วยเนื้อตัวที่มอมแมม
ยามบ่าย บนแคร่ชายคาบ้าน นอกจากปลาช่อนย่างจิ้มน้ำปลาตัวเขื่องจากท้องนาวันนี้แล้ว ก็ยังมีปลาแกงล้มกับผักลวกมะเขือยาวอีก
“บางครั้งคำกล่าวก็ไม่ชัดเจนเท่าการกระทำ พ่อคงมีวิธีที่จะบอกกล่าวกับลูกและเด็กๆแล้ว” แม่เล็กเผลอยิ้มตรงมุมปากเล็กๆและเพิ่มความกวัางขึ้นมาอีกนิดจนเต็มรอย เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงช่วงสายของวันนี้อีกครั้ง ในขณะที่เจ้าพ่อสามี นั่งเปิบข้าวใส่ปากอย่าง งงๆ ปนสงสัยในความเป็นไป... .
เออแม่...เถ้าแก่บอกว่าให้เราไปเอาข้าวสารที่โรงสีนะ เห็นทีพวกชาวบ้านคงจะต้องมาหุงข้าวเลี้ยงเด็กๆกันทุกอาทิตย์หละทีนี้..บุญส่งกล่าวขึ้นมาลอยๆเหมือนจะให้แม่เล็กผละออกจากยิ้มที่จับนาน
นอกจากสาบนา กลิ่นโคลนที่ทยอยตามสายลมมาไกลๆแล้ว ก็เห็นจะมีเพียงแต่รอยยิ้มกับแววตาเช่นเดิม ที่แทนคำตอบของแม่เล็ก
เราจะเข้าใจถึงคุณค่าเหตุผลที่แท้จริงของสิ่งนั้นได้ดี ก็ต่อเมื่อ เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำนั้น...
ร้อยคำพรรณนาหรือจักมีค่าเท่าหนึ่งทำ.............
เอก....ลงมากินข้าวได้แล้วลูก
- บล็อกของ มานี มานะ วีระ ชูใจ
- อ่าน 5102 ครั้ง
ความเห็น
thiwagonblackcat
12 มิถุนายน, 2011 - 12:31
Permalink
ขอแสดงความนับถือ
พฤติกรรม ไม่ใช่ นิสัย
บอกตามตรง เกลียดมาก พวกที่ชอบกินทิ้งกินขว้าง สักแต่ว่ามีตังค์จะกินทิ้งยังไงก้ได้ กินของถูกไม่เป็น ต้องของแพง อันนี้แอบหมั่นไส้ [อิจฉา]เล็กน้อย
ขอบคุณ..สำหรับบทความดีดีแบบนี้
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 มิถุนายน, 2011 - 19:20
Permalink
อิอิ
:sleeping: แพง หากวัดที่ราคา อาจจะถูกหากมองที่คุณค่า...แต่ไม่ว่าจะสูงส่งด้วยคุณค่า หรือราคา ค่าของเราก็จะต่ำต้อยหากมองไม่เห็นมัน
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ยุพิน เทลเก็น
12 มิถุนายน, 2011 - 12:36
Permalink
คุณมานีฯ
อ่านแล้วซึ้งค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆมีสาระ
แผ่นดินไหนก็ไม่มีความสุขเหมือนแผ่นดินเกิด อยากกลับบ้านจัง
ทดสอบ
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 มิถุนายน, 2011 - 19:14
Permalink
อิอิ
:sweating: ขอบคุณที่แวะมาครับ...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ป้าลัด
12 มิถุนายน, 2011 - 13:45
Permalink
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ :bye:
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 มิถุนายน, 2011 - 19:12
Permalink
เช่นกันครับ
:relax2: ขอบคุณครับที่ทานหมดอีกจาน...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
สาวน้อย
12 มิถุนายน, 2011 - 14:00
Permalink
ตอนตัก..กลัวไม่อิ่ม
ตอนตักกลัวไม่อิ่ม... ตอนกินกินไม่หมด....ขอบคุณนะคะ...ต่อไปพยายามกินเพื่ออยู่...ไม่อยู่เพื่อกิน...
ชีวืตที่เพียงพอ..
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 มิถุนายน, 2011 - 19:10
Permalink
กินเพื่อให้งอกงาม
:admire2:
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
james
12 มิถุนายน, 2011 - 15:30
Permalink
ตามมาชอบ อีกตอนครับ
ตามมาชอบ อีกตอนครับ
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 มิถุนายน, 2011 - 19:09
Permalink
ขอบคุณ..
ที่พยายามทานจนหมด อีกจาน...ถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้าง ใช้ใจพิจารณา
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
หน้า