แก่นตะวัน สุดยอดพืชมหัศจรรย์สารพัดประโยชน์

หมวดหมู่ของบล็อก: 

ที่มา : เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม และภาพประกอบจาก คุณ Spras77

          ไม่ใช่แค่คนที่ชอบปลูกต้นไม้ หรือสนใจสมุนไพรเพียงเท่านั้นจะรู้จัก "ต้นแก่นตะวัน" เพราะปัจจุบันนี้ "แก่นตะวัน" กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก เนื่องจากได้ชื่อว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ เราไปดูกันซิว่า "แก่นตะวัน" เป็นพืชประเภทไหน และความมหัศจรรย์ของ "แก่นตะวัน" มีอะไรบ้าง


          สำหรับ "แก่นตะวัน" นั้น เรียกได้หลายชื่อทั้ง "ทานตะวันหัว" และ "แห้วบัวตอง" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า เยรูซาเล็ม อาร์ติโช้ก (Jerusalem artichoke) บางทีก็เรียกว่า ซันโช้ก (sunchoke) ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์คือ Helianthus tuberosus L. เป็นพืชดอกในตระกูลทานตะวัน ซึ่งมีต้นกำเนิดในตอนใต้ของประเทศแคนาดา และตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ จึงสามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน และเขตกึ่งหนาวอย่างทวีปยุโรป ทำให้ต้น "แก่นตะวัน" เป็นที่รู้จักในหลาย ๆ ภูมิภาค 

          โดยลักษณะต้นของ "แก่นตะวัน" จะสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร มีขนตามกิ่งและใบ ส่วนดอกของ "แก่นตะวัน" มีสีเหลืองสดใสคล้ายกับดอกบัวตอง และทานตะวัน แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก นอกจากนี้ "แก่นตะวัน" ยังมีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่งไว้สำหรับเก็บสะสมอาหาร ซึ่งที่หัวของแก่นตะวันนี่เอง ที่จัดว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม


          นั่นก็เพราะที่ส่วนหัวของ "แก่นตะวัน" จะมีสารอินนูลิน (Inulin) ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลฟรักโตสโมเลกุลยาว จึงเป็นพืชพรีไบโอติกที่มีเส้นใยสูงมาก หากรับประทานเข้าไป สารดังกล่าวจะไปช่วยดักจับยึดไขมันในเส้นเลือด ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หรือ LDL ที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปทิ้งออกทางอุจจาระ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี 

          และถ้าใครที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ "แก่นตะวัน" ก็ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น เพราะอินนูลินจะไปช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โคลิฟอร์ม (Coliforms) และ อี.โคไล (E.Coli) ในขณะเดียวกัน "แก่นตะวัน" ก็จะไปเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) และแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) ให้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น 

           นอกจากนี้ ใครที่อยากลดความอ้วน "แก่นตะวัน" ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี โดยก่อนหน้านี้มีผู้ทดลองวิจัยให้หนูทานอาหารผสมอินนูลินนาน 3 สัปดาห์ และพบว่า น้ำหนักตัวของหนูลดลงจากเดิมถึง 30% เลยทีเดียว ซึ่งหากคนรับประทานแก่นตะวันซึ่งมีอินนูลินสูงเข้าไป ก็จะช่วยเรื่องการลดน้ำหนักตัวได้เช่นกัน เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเส้นใยอินนูลินได้ ทำให้สารดังกล่าวตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารหลายชั่วโมง จึงทำให้ผู้รับประทาน "แก่นตะวัน" เข้าไป ไม่รู้สึกหิว และทานอาหารได้น้อยลงนั่นเอง 


          ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน การรับประทาน "แก่นตะวัน" ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ เพราะ "แก่นตะวัน" มีแคลอรีต่ำ และไม่ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยระบุว่า คนที่ทานอินนูลินจะมีโอกาสเป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่ทานน้ำตาลถึง 40% เลยทีเดียว

สำหรับสรรพคุณอื่น ๆ ของ "แก่นตะวัน" ก็มีอย่างเช่น 

           ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย 
           ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง 
           แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก 
           ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ 
           ลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย 
           ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
           ป้องกันอาการภูมิแพ้ และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
           กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก ฯลฯ

เมนูจานเด็ดจากแก่นตะวัน

            เห็นสรรพคุณของ "แก่นตะวัน" มากมายขนาดนี้แล้ว ก็คงอยากจะลองรับประทานกันบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ โดยเราสามารถทาน "แก่นตะวัน" ได้ทั้งแบบสด ๆ เหมือนกับผักสลัดทั่ว ๆ ไป รสชาติจะออกคล้าย ๆ แห้วและมันแกว หรือจะนำไปปรุงสุกเป็นอาหารหลากหลายเมนูก็ย่อมได้ หรือหากใครจะลองนำหัวแก่นตะวันไปตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้งแล้วนำไปอบ ป่นเป็นผงเล็ก ๆ ไปผสมกับแป้งทำขนม คุ้กกี้ ก็จะได้ขนมรสอร่อย แถมยังมีกลิ่นหอม และมีปริมาณอินนูลินจำนวนมากซึ่งดีต่อสุขภาพด้วย


          และนอกจาก "แก่นตะวัน" จะเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงแล้วแล้ว ยังเป็นพืชที่มีประโยชน์ในด้านพลังงานทางเลือกอีก โดยหากนำหัวสดแก่นตะวัน 1 ตัน ไปหมักด้วยเชื้อยีสต์ จะได้แอลกอฮอล์ไปกลั่นเป็นเอทานอลที่บริสุทธิ์ 99.5% ได้ถึง 100 ลิตร ซึ่งมากกว่าอ้อย 1 ตัน ที่จะให้ปริมาณเอทานอลเพียง 75 ลิตร ดังนั้นแล้ว หากมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการหมัก และกรรมวิธีต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เชื่อได้เลยว่า "แก่นตะวัน" จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในไม่ช้า

 

ปล. มันจะออกดอกบานทุกปี ประมาณช่วงต้นฤดูฝน เหลืองอร่ามไปทั่วบริเวณ อุทยานการเกษตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น และดอกค่อนข้างอยู่ทนและนาน


     เป็นพืชที่น่าสนใจเลยทีเดียวจ้า จึงได้นำมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านเล่นกันนะคะ Smile

 

***Bye Bye***


ความเห็น

นัทมีแนวให้ปลูกอยู่ บ่ ...สรรพคุณคักหลาย...

"จะปลูกทุกอย่างที่กิน จะกินทุกอย่างที่ปลูก"

:embarrassed: นัทกำลังหาอยู่จ้า ยังหา บ่ ได้เลย ถ้าหาได้จะหาไว้เผื่อด้วยเด้อ :sweating:  

เห็นสรรพคุณแล้ว อยากได้มาปลูกไว้ที่บ้านจัง ยังไม่มีเลย

เพิ่งจะทราบครับ ว่ามีชื่อเรียกว่าแก่นตะวันอีกด้วย ปกติจะคุ้นเคยแต่ชื่อ ดอกบัวตองสวยดีครับชอบไปเที่ยวที่ทุ่งดอกบัวตอง ขอบคุณกับข้อมูลดีๆที่เอามาแบ่งปันนะครับ:admire2:

 

 

น่าจะคนละอย่างกันนะคะ แก่นตะวัน ไม่ใช่ บัวตอง  :confused:

เคยกิน รสชาดคล้ายแห้วดิบ ปลูกในดินปนทรายขึ้นง่าย บ้านพี่ชายปลูกกำลังออกดอก เดี๋ยวนี้เริ่มมีวางขายแบบปอกสำเร็จตามห้าง ส่วนหัวสดๆใครผ่านแถวศูนย์วิจัยข้าวโพดมวกเหล็กลองโฉบเข้าไปดู ขายถุงละ 20 บาทจ้ะ

  :admire:  ศูนย์วิจัยข้าวโพดมวกเหล็กมีใช่มั้ยคะ ดีใจจังเลยค่ะ จะหาโอกาสไปเอามาครอบครองเป็นของตัวเองให้ได้  :uhuhuh:

:uhuhuh: ลิปลูกไส  :uhuhuh:

""

 

ดอกก็สวย สรรพคุณก็เยอะ :embarrassed: :embarrassed:

งั้นยกให้เลยจ้าทั้งกระถาง (อิิอิ ยืมเขามา)


หน้า