ชีวิตที่เลือกไม่ได้ หรือชีวิตที่ไม่ได้เลือก

หมวดหมู่ของบล็อก: 
"เราต้องเรียนให้สูงๆ จบแล้วจะได้มีงานทำมีเงินเดือนเยอะๆแล้วเราจะมีความสุข"
ผม ไม่รู้ว่าความเชื่อดังกล่าวถูกฝังเข้าไปในหัวของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ชีวิตก็ง่ายดี สังคมบอกสูตรสำเร็จให้ผมก็ทำตามเพื่อให้ได้มาเพื่อความต้องการต่างๆของผม

ขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนอะไรนี่ครับ มันง่ายเสียจนเรามองเห็นสิ่งที่เราเรียกว่าความสุขมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพียงถ้าเราทำตามกฎเกณฑ์
ทำงาน ได้เงิน นำเงินมาซื้อความต้องการของเราแล้วเราก็จะมีความสุข
เห็นไหมครับมันง่ายมาก
ทุกคนทำตาม ทุกคนมีความสุข เป็นยาสามัญประจำสังคมที่เราพร้อมจะนำมาใช้

สมมุติว่าผมทำงานประจำจันทร์ถึงศุกร์/เช้าถึงเย็น และเริ่มงานตอนอายุยี่สิบแล้วไปปลดระวางเอาตอนอายุหกสิบปี
คุณว่าผมจะมีเวลาฉลองเย็นวันศุกร์หลังเลิกงานได้กี่วัน
เฉลยครับ 1920 ครั้ง
ถ้าผมแทนค่าเย็นวันศุกร์เป็นวันผ่อนคลายน่ายินดีและมีความสุข ผมจะมีวันแห่งความสุขในชีวิตได้ประมาณนั้นแหละครับ

แต่ก็มีบางคนแย้งว่า"วันทำงาน คุณก็มีความสุขได้ ถ้าคุณสนุกกับงาน"
เออนะมันเป็นความจริง ผมสามารถสนุกไปกับการทำงานได้ 
ผมไม่ขอเถึยง และผมก็ปล่อยให้เขาคนนั้นทำงานของเขาอย่างมีความสุขไปทุกๆวันของการทำงานต่อไป

ชีวิตคนเราเกิดมาบนโลกนี้ไม่นานก็ต้องตาย 
ทำไมเราไม่ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า (ผมจะมีวันที่มีความสุขได้มากกว่า1920วันได้ไหม)
ผมเริ่มตั้งคำถามกับสูตรสำเร็จของสังคม
"คุณควรทำงานเยอะๆจะได้หาเงินให้ได้มากๆ(เพื่อเศรษฐกิจของสังคมจะได้มีตัวเลขสองหลัก?)แล้วคุณจะมีความสุขเป็นที่สุด"

"วะ!ทำไมชีวิตถ้ามันจะอยู่ได้อย่างมีความสุขทำไมมันต้องวุ่นวายนัก" นั่นเป็นสบทสามหาวท้าทายสังคมของผมเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว
วันนี้ หลังจากลองผิดลองถูกค้นหาความหมายของชึวิตด้วยการลาออกจากการงานในกรุงมา อยู่ชนบททำสวนปลูกผักปลูกต้นไม้ในที่ดินกว่าเจ็ดสิบไร่แถวๆเชียงใหม่ ด้วยหวังว่าชีวิตของผมจะมีความสุขในแบบสโลวไลฟ์ที่ผมเลือกเอง
 
ได้ผลครับ ดัชนีมวลรวมความสุขตลอดทั้งปีของผมพุ่งปรี้ด
แต่กราฟมันขึ้นไม่ตลอดครับ ขึ้นบ้างลงบ้าง และครั้งหลังๆไม่เคยขึ้นสูงเท่าปีแรกๆที่มาอยู่ในสวนเลย
สำหรับผมมันตลกตรงที่ว่า ในปีแรกๆนั้นผมทำงานมากและหนักกว่าตอนเป็นมนุษย์เงินเดือนหลายเท่า
แต่มีความสุขมากมายในทุกๆวัน(โดยไม่ต้องรอเย็นวันศุกร์)

ช่วงหลังผมไม่ได้ทำงานในสวนหนักเหมือนวัวอย่างนั้นแล้วครับ 
รายได้ในสวนไม่พอเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อต้องมีภาระครอบครัวที่มากขึ้น ทำให้ผมต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่มเติม
เป็นงานสบายๆที่มือไม่ต้องจับจอบหลังไม่ต้องโดนแดด 
แต่ไหงความสุขของผมกลับลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย

พืชผักผลไม้ปลูกง่ายครับ ปลูกแล้วเอาใจใส่มันก็โต แต่เวลาจะเปลี่ยนให้มาเป็นสิ่งที่ยังชีวิตเราให้รอดนี่มันยาก
ก็ผมไม่สามารถเอาฟักแฟงไปแลกที่นั่งในโรงเรียนของลูก หรือเก็บชะอมไปแลกยาที่โรงหมอได้ซะเมื่อไหร่

โง่มาก่อนฉลาด แม้ว่าตอนนี้ถึงผมจะไม่ฉลาดมากกว่าเดิมเท่าไรนัก
แต่ก็รู้ซึ้งแล้วครับว่า "การเป็นขบทต่อสังคมในเรื่องการงานทำเงินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย"
ว่า ไปผมคงมีโชคอยู่บ้างก็ตรงที่ผมมีความสามารถเรื่องของการประกอบอาหารซึ่งเป็น อาชีพอิสระ จึงพอทำให้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างไม่อัตคัดเท่าไร แต่กระนั้นก็ต้องกินอยู่อย่างระวังทีเดียว

มีคนถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะมาอยู่แบบที่เป็นอยู่นี่ไหม
"ครับ ผมจะเลือกทางชีวิตของผมแบบเดิม เพียงแต่คราวนี้ผมจะเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น"

มีคนมากมายครับที่อยากมีชีวิตที่เนิบช้าและผ่อนคลายกว่าสิ่งที่กระแสสังคมกำลังพาไป  
บาง คนมีความฝันอยากออกจากงานที่ทำ มีบ้านชายทุ่ง ปลูกผักกินเอง ใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับธรรมชาติ ที่ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะพบความสุขที่ตนเองตามหา
บางคนทำแล้ว บางคนรีรอเพราะมองเห็นปัญหาและเงื่อนไขที่ทำไม่ได้มากมายเลยยอมจำนนอยู่กับสภาพเดิมเพราะไม่อยากเอาอนาคตไปเสี่ยง

"ชีวิตน่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายๆ ทำไมเราต้องทำให้มันซับซ้อนด้วย"
โจน จันใด บุคคลผู้ซึ่งเปลี่ยนมาเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายพูดให้ได้คิด
(ติดตามบทสัมภาษณ์โจน จันใดได้ที่ http://www.lonelytrees.net/?p=1066 )

บางทีคำพูดนี้อาจจะกระตุกต่อมสงสัยของใครบางคน
" ถ้าชีวิตของเราวุ่นวายนัก ยังมีทางเลือกอื่นๆนอกจากทางที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้หรือไม่"
แล้วคุณที่บังเอิญผ่านเข้ามาอ่านจนถึงบรรทัดนี้ล่ะครับ 
คุณคิดว่ายังไง

ความเห็น

ขอบคุณสำหรับแนวความคิดอันเป็นประโยชน์ยิ่งครับ

ผมจะเอาไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับชีวิตหลังจากเรียนจบมหาลัยครับ :love:

ชอบความคิดเห็นของคุณที่ใช้ชีวิตแบบไปช้าๆเรื่อยๆและคำชี้แจงของคุณแบ๊คไลท์ทั้งสองมุมมองมีแง่คิดที่น่าสนใจแต่ไม่่ว่าจะคุยยังไงแต่ละคนก็มีมุมมองของแต่ละคน เอาไงก็เอากัน

"ถ้าทุกคนได้ทุกอย่างดังที่คิด

สิ้นชีวิตแล้วจะเอาของกองไว้ไหน

จะได้มั่งเสียมั่งชั่งปะไร

เรื่องของใครเรื่องของมันเท่านั้นเอง"

ชอบทั้งสองความคิดเห็นครับ คุณแบ๊คไลท์ผมชอบเพราะคุณมีความเป็นตัวของตัวเองหลังที่ได้ศึกษาแล้วว่าชีวิตที่เดินตามกระแสทุนนิยมรังแต่จะพาให้วิถีของชาวบ้านล่มสลาย ส่วนความคิดเห็นของคุณที่ชอบการดำเนินชีวิตแบบค่อยๆศึกษาก็เห็นว่าน่าจะค่อยเป็นค่อยไปโลกนี่้ยังมีอะไรดีๆอีกเยอะ 

"อยู่ที่เรี่ยนรู้ อยู่ที่่ยอมรับมัน อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน" จากการทำสวนปลูกป่่า 70 ไร่ ทำขนม แปรรูปอาหาร ผมยอมเลยต้องใช้เวลามากเลย ขนมที่ทำดูน่ากินมากรวมถึงกล้วยตาก งานเยอะยังงี้ยังไม่นับการไปวางขายอีก และข้อเท็จจริงของระบบทุนนิยมคือต้นทางการผลิตได้ผลตอบแทนไม่เท่าไรในขณะที่ผู้ซื้อต้องจ่ายแพง จะให้ผู้ผลิตต้นทางมาขายเองจะเอาเวลาที่ไหนมาผลิต ขอบคุณคุณแบ๊คไลท์ที่นำเสนอข้อคิดรวมถึงภาพสวยๆมาให้ชม ชื่นชมครับแบ่งปันกัน รักษาสุขภาพให้ดีนะครับงานมันเยอะเวลาพักผ่อนน้อย จะคอยติดตามต่อครับ

:noooo: ตั้งแต่มีลูก ชีวิตชาวสวนก็ยิ่งห่างไกลออกไปทุกที ๆ เพราะอยากให้เค้าสบาย ก้มหน้าทำต่อไป....มนุษย์เงินเดือน

ชีวิตมันสั้น อย่าทำอะไรให้มันยาก

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตของผมก็ตรงนี้เหนือนกันครับ

พอมีลูกแล้ว ชีวิตที่เราเคยคิดว่าเป็นของเราก็ไม่ใช่ของเราคนเดียวอีกต่อไป

นาฬิกาชีวิตเิดินไม่มีหยุด

เผลอแป๊บเดียว นี่ก็สองปีแล้วตั้งแต่ผมเขียนบล๊อคนี้ขึ้นมา

ต้นไม้ในสวนก็โตผิดหูผิดตา ไม่ว่าจะเป็นต้นสัก ต้นมะค่า ไม้แดง

รวมไปถึงไม้ขนุนที่อยู่ในสวนของผมมาเกินยี่สิบห้าปี

ต้นไม้โตขึ้น ส่วนคนปลูกก็แก่ลงSmile

 

ผมเคยคิดว่าจะชวนคนที่มีแนวคิดเหมือนกัีนมาช่วยกันทำชุมชนแบบ eco village แบบที่ฝรั่งเขาทำ

แต่สุดท้ายก็หาสมาชิกที่รู้ใจกันจริงๆไม่ได้ 

ความคิดนี้เลยเป็นหมันไปอย่างน่าเสียดาย ถึงวันนี้จะหาสมาชิกได้ผมก็หมดแรงทำแล้ว

เพราะกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างก็คงต้องเหนื่อยกันอีกหลายปี ไม่ไหวละเลิกคิดดีกว่า

 

ตั้งแต่มีลูก ชีวิตชาวสวนก็ยิ่งห่างไกลออกไปทุกที ๆ เพราะอยากให้เค้าสบาย ก้มหน้าทำต่อไป....มนุษย์เงินเดือน

 ผมล่ะถูกใจจริงๆ ลูกเกิดแล้วชีวิตเปลี่ยนในณ.นาทีนั้นอันนี้ใช่เลย แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น

วันนี้ลูกของผมโตเป็นสาวแล้ว แต่แผนชีวิตของผมก็ยังต้องยึดโยงอยู่กับลูก ไม่ใช่กับความฝันของตัวเอง

 

มีเพื่อนชาวสวนจากทางใต้มาเสนอซื้อที่ของผมจะเอาไปทำสวนยาง

สองจิตสองใจ เก็บสวนไว้อย่างเดิมพอแก่ตัวกว่านี้ก็คงไม่มีแรง

ลูกก็เรียนสูงเป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ทำสวนอย่างผมแน่

ที่ผมคิดไว้ก็คงต้องขายเหลือไว้เพียงส่วนเล็กๆแค่ไร่เดียวผมก็มีความสุขกับธรรมชาติได้แล้ว

เสียดายว่าต้นไม้ที่ปลูกมาจนร่มครึ้มเป็นป่าธรรมชาติต้องถูกโค่นนี่สิ มันเป็นเรื่องน่าเสียดายCry

เอาไว้วันหลังจะอัพรูปให้ชมกันว่าธรรมชาติในสวนของผมมันสวยแค่ไหน

(เป็นแนวคิดเรื่องการทำสวนแบบผู้ใหญ๋วิบูลย์ เข็มเฉลิม ปราชญ์แห่งการปลูกต้นไม้ที่ทำให้ระบบนิเวศกลับคืนมาได้อย่างน่าทึ่งในเวลาไม่ถึงสามสิบปี)

 

เมื่อชีวิตเดินมาถึงอีกรุ่นนึง

สุดท้ายมันก็กลับมาที่คำถามเดิม "จะเลือกทางไหนให้เหมาะกับความต้องการที่แท้จริงในใจของตัวเอง"

 

หน้า