พุทธประวัติ ฉบับหลวงพ่อฯ

หมวดหมู่ของบล็อก: 

พุทธประวัติฉบับหลวงพ่อฯ

ช่วงที่๑

(เล่าตามภาพที่เห็น) : อ่านเป็นพุทธานุสติกรรมฐานดีมาก

ขอคุยนิดครับ ลุง.ศ จะขอนำเรื่อง พุทธประวัติ ตามที่หลวงพ่อเล่าเอาไว้ในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ มาโพสให้ท่านทั้งหลายได้ติดตามอ่าน...ผมเชื่อมั่นส่วนตัวเกิน ๑๐๐ % ว่าหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องตามภาพที่ท่านเห็นไปเรื่อยๆ ...ถ้าเราอ่านดีๆ จะได้ประโยชน์มาก เพราะเรื่องนี้แตกต่างจากที่พวกเราได้อ่าน-ได้เรียนตามหลักสูตรภาคบังคับในโรงเรียนมากครับ ที่สำคัญสำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิแจ่มใสก็อ่านไปด้วยดูไปด้วย หรือท่านที่ได้แบบสัมผัส แบบชัดบ้างไม่ชัดบ้าง สามารถฝึกซักซ้อมมโนมยิทธิไปได้ในตัว...ลุง.ศ ได้อ่านหลายรอบแล้วก็ไม่เคยเบื่อเลยครับ ยิ่งอ่านยิ่งเห็นพระพุทธคุณ ยิ่งเกิดปิติ...
- ถึงแม้บรรดาท่านทั้งหลายจะสามารถหาซื้อหนังสือหลวงพ่อมาอ่านเองได้  แต่เพื่อความสะดวก ประหยัด ผมจะขอนำมาลงเอาไว้สำหรับท่านที่สนใจจะได้ค้นคว้าศึกษาต่อไป "ธรรมทาน  แม้มีคนได้อ่าน-ฟังเพียงคนเดียวแล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดผล ก็คุ้มแล้วครับ"  สังเกตุเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดใคร พระองค์จะไม่เน้นจำนวนคน ไปโปรดเฉพาะคนที่อยู่ในข่ายพระญาณแม้บางครั้งจะมีเพียงคนเดียวก็ตาม และในนั้นที่เป็นขอทาน เป็นโรคเรื้อน เป็นคนใช้ ก็มี แต่เวลาที่พระองค์เสด็จไปโปรดใครก็จะมีคนมาฟังเทศน์กันเป็นแสนๆ โกฏิๆ และถ้าใครบารมีเต็มจุดไหนก็บรรลุธรรมกันเป็นจำนวนมาก
(ต่อไปนี้ จะคัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน พิเศษ หน้า ๒๑๒ - ๒๓๐)

ผม dang6652 ขอขอบคุณลุง. ศ ที่ได้นำมาลงไว้ให้ได้อ่าน และผมนำมาลงต่อคงไม่ว่าอะไรนะครับ

-------------------------------------------------------

- ตอนเย็นวันที่ไปที่ต้นโพธิ์ที่พุทธคยา...ขณะที่พระท่านเริ่มสวดมนต์ จิตพ่อก็เข้านิ่งสนิทจับจุดตามปกติของจิต เป็นวิสัยเดิม คือพอได้ยินเสียงใครพูดเรื่องธรรมะ หรือว่าพอได้ยินเสียงสวดมนต์ จิตก็จะจับเข้าสู่อุปจารสมาธิ หรือว่าเป็นฌานสมาบัติ ถ้าจิตเข้าไปสู่อุปจารสมาธิ ก็จะทำงานทันที ถ้าจิตเป็นฌานสมาบัติ ก็จะเป็นอารมณ์สงบ แต่วันนั้นร้อนจัด เพลียด้วย และก็นั่งอยู่ในที่นั้นจิตก็เป็นฌานสมาบัติอยู่นิดหนึ่ง แล้วก็ถอยออกมาเป็นอุปจารสมาธิ เป็นกิจที่พึงจะต้องทำ พ่อฟังไปแล้วจิตก็เห็นภาพอันหนึ่งว่า...

- ก่อนที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จออกสู่มหาอภิเนษกรมณ์  ก่อนจะออกจากพระราชนิเวศน์  องค์สมเด็จพระทศพลทรงได้มอบสร้อยพระศอให้แก่พระนางกีสาโคตมี พระน้านางซึ่งเลี้ยงพระองค์แทนพระมารดา  เพราะว่าพระมารดามรภาพเลียตั้งแต่เมื่อคลอดพระองค์ได้ ๗ วัน  ทั้งนี้เพราะว่าพระครรภ์ใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้เกิด ครรภ์นั้นเด็กคนอื่นไม่ควรจะมาเกิดด้วย และหลังจากนั้นเวลากลางคืนได้ทราบข่าวว่า  พระนางพิมพาคลอดพระราชโอรส ความจริงพระนางพิมพาก็สวยงามมากลักษณะสวยจริงๆ เป็นผู้หญิงที่มีความสวยสมบูรณ์แบบ องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเปล่งวาจาว่า "ปิยะบุตะ ว่าบุตรที่รัก ปุตตังชีเว ห่วงลูกผูกคอ มันเกิดขึ้นแล้ว" แต่วันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตัดสินพระทัยว่า จะหนีออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ทั้งนี้ก็อาศัยความอุ้มชูของเทวดา ในขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จออกจากพระราชนิเศน์ พระองค์ทรงแต่งตัวแบบกษัตริย์ แพรวพราว สีมันระยับ พระวรกายสวยสดงดงาม พระรูปพระโฉมสวยจริงๆ เป็นคนโปร่งๆ ผิวขาว ลักษณะสวยอิ่มเอิบหมดทั้งกาย หน้าตาหาจุดบำพร่องอะไรไม่ได้ สวยจัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงม้ากัณฑกะ มีนายฉันนะจูงม้าข้างหน้า น้ำพระทัยของพระองค์มีความเข้มแข็งและก็เด็ดเดี่ยว มุ่งหน้าเอาพระโพธิญาณให้ได้ ฉะนั้นการเดินทางไปของนายฉันนะกับม้า จึงไปด้วยการเหยาะย่าง วิ่งหย่องๆ แต่ว่านายฉันนะเป็นคนมีกำลังมาก ถือเชือกม้า ม้าก็เหยาะย่างมาตามจังหวะ ม้าชนิดที่เรียกว่าไม่รีบจนเกินไป ไม่ใช่ม้าวิ่ง ม้าเดินเหยาะย่างมาตามจังหวะออกมาจากเขต พอถึงจุดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ต้นโพธิ์ จะเป็นคยาศรีษะหรืออะไรพ่อจำไม่ได้ เห็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล เป็นลานสวย มีสนามหญ้า มีแม่น้ำใสสะอาด เป็นกลางเดือนหก สมเด็จพระภควันต์ก็ประทับจับพระขรรค์ตัดพระเกศา ตัดทีเดียวขาด อาศัยที่เป็นอัจฉริยะมนุษย์ ด้วยอำนาจเทวดาช่วย พระเกศาก็ขดเป็นวงกลม เป็นทักษิณาวัตรเวียนขวาเกาะติดกับหนังของพระองค์ มองดูแล้วก็คล้ายๆ กับว่าคนปลงผม และนับตั้งแต่วันนั้นถึงปรินิพาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่เคยปลงผม เพราะผมไม่ยาวมาอีก มองแล้วเหมือนพระโกน แล้วมีผมเกรียนติดศรีษะ รวมความว่าศรีษะโล้นนั่นเอง ฉะนั้นการทำพระพุทธรูปที่มีมวยผมข้างบน จึงผิด ไม่ถูก อันนี้พ่อขอยืนยัน ขอลูกทุกคนพิจารณาตามนั้นด้วย แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงมอบเครื่องแต่งตัวให้แก่นายฉันนะ พระองค์รับเครื่องสักการะ คือเครื่องทรงของพระมีสบงจีวร จากพรหม ตอนนั้นพรหมแสดงตนเป็นพรหมจริงๆ เห็นเป็นพรหมชัด เมื่อถวายขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์แล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์มีสบง จีวร สังฆาฏิ รัดประคตเอวอังสะ เป็นต้น และก็มีบาตรให้แก่องค์สมเด็จพระทศพล บาตรก็เป็นบาตรดินธรรมดาแต่คงจะสร้างด้วยกำลังของพรหม คงจะเป็นนิมิต พรหมคงไม่ขยันปั้นบาตร เวลามีพระพุทธเจ้าเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก่อนจะออกผนวชรู้สึกว่า เทวดาและพรหมห้อมล้อมกันมากแสดงเทวทูตให้ปรากฏ จนกระทั้งองค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเห็นว่า ความตายมีได้ คุณธรรมที่ทำให้คนไม่ตายก็ต้องมี แต่เวลานั้นพระองค์จะเห็นเทวดาหรือไม่พ่อก็ไม่ทราบ หลังจากนั้นม้ากัณฑกะ ซึ่งเป็นม้าคู่บารมีก็ตาย นายฉันนะก็ร้องไห้เดินกลับวัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสวงหาด้วยทางจิต แสวงหาไปก็ต้องศึกษาก่อนไปศึกษาจากสำนักพราหมณ์ สำนักไหนว่าดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไปที่นั่น สุดท้ายไปสำนักอาฬารดาบส และอุทกดาบส ทั้งสองท่านสอนให้ได้สมาบัติ คือรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ การศึกษานี้พระมหามุนีใช้เวลาเล็กน้อย เพราะว่าปัญญาพระองค์ดีมาก ทรงจำดีมาก มีความขยันหมั่นเพียรดี ศึกษาและทำได้ดีกว่าทุกคนในสำนักนั้น จนกระทั่งอาจารย์ทั้งสอง คืออาฬารดาบส และอุทกดาบส อยากให้เป็นครูสอนแทน แต่พระองค์ก็ไม่เอาจึงออกป่า ตอนนั้นเองมีพราหมณ์ ๕ คน คือ ท่านโกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ ท่านอัสสชิ ทราบว่าพระพุทธเจ้าออกแสวงหาภิเนษกรมณ์ ก็พากันออกบวช โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพราหมณ์องค์ที่ ๕ ในจำนวนพราหทณ์ทั้ง ๕ องค์ และหนุ่มที่สุด ที่เข้าทำนายลักษณะพยากรณ์ว่าสิทธัตถะราชกุมารจะเป็นศาสดาเอกในโลก ทายอย่างเดียว แต่พราหมณ์อีก ๔ องค์ทายว่าถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าได้บวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า คือเป็นศาสนดาเอกในโลก คำว่าศาสดาแปลว่าครู...

-------------------------------------------------------

- ในเมื่อได้ยินข่าวพระพุทธเจ้าทรงออกผนวช ท่านทั้ง ๕ ก็ติดตามออกบวชมาปฏิบัติ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงแสดงภาพให้ปรากฏ ถึงการทรงทรมานพระกายที่พราหมณ์นิยมกันว่า การบรรลุมรรคผลจริงๆ ได้ต้องอยู่ในการทรมานกาย กินแต่น้อยๆ นอนน้อยๆ นั่งน้อยๆ ยืนน้อยๆ เดินน้อยๆ เป็นอันว่าทรมานไม่ค่อยจะนอนก็แล้วกัน มีนั่งมากกว่ายืน กว่าเดิน กินก็น้อย จนกระทั้งเลิกกิน ดูภาพของสมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ ทรงทรมานพระกายตอนนั้น ผอมจริงๆ เวลาจะไปสรงน้ำก็เดินซวนไปซวนมา บางครั้งฤาษีทั้ง ๕ ต้องเข้าประคอง แต่ว่าท่านก็ทรงอดทนมาก ทำอยู่อย่างนั้นใช้เวลานาน ๖ ปี ตั้งแต่วันออกผนวช จนกระทั่งวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงทรงมาดำริว่า การบรรลุมรรคผลคงไม่ใช่การทรมานทน จึงได้ทรงเสวยพระกระยาหารใหม่ ตอนนี้ดูภาพ ตอนที่ทรงเสวยพระกระยาหารใหม่ คือกินเต็มที่ให้ร่างกายอ้วนพี พระองค์ทรงเห็นว่าความดีที่จะพึงได้อาจจะมาจากใจ ไม่ใช่ทางกาย เพราะทางกาย นอกจากทรมานกาย เรียกว่านอนน้อย กินน้อย เดินน้อย มีนั่งมาก แล้วก็ยังกลั้นใจ เอาลิ้นกดเพดานจนถึงกับลมออกหูอู้ เป็นอันว่าร่างกายมันก็จะตาย ก็กลับคิดว่าทางใจคงจะดี เป็นเหตุให้ฤาษีทั้ง ๕ ไม่พอใจ เห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้มักมากในอาหาร การที่จะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นไปไม่ได้ คงไม่เป็นไปตามวิสัยที่พราหมณ์ต้องการ จึงหนีองค์สมเด็จพระพิชิตมารไปสู่ป่าอิติปตนมฤคทายวัน ตอนนี้ดูภาพท่านทั้ง ๕ เวลาก่อนจะไป ท่านชี้หน้าและว่าต่างๆ ปรามาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าสิทธัตถะท่านหมดหวังที่จะได้เป็นศาสดาเอกในโลก เพราะกลับมามักมากในกามคุณ เราไม่เห็นด้วย เราไม่ช่วยประคับประคอง เราไปละ ท่านก็ไปด้วยความโมโหโทโสกันทั้ง ๕ มีท่านอัญญาโกณฑัญญะพราหมณ์เป็นหัวหน้า เรื่องของเรื่องก็ต้องตามใจท่าน ท่านอยากจะโกรธซะอย่าง ใครจะไปห้ามความโกรธ เป็นอันว่าท่านไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ต้องเลี้ยงตัวเอง เวลาจะเดินไปบิณฑบาตก็เดินโซซัดโซเซ แต่แข็งกำลังพระทัย อาศัยที่ได้ฌานสมาบัติมาก่อนองค์สมเด็จพระชินวรใช้ฌานสมาบัติเข้าช่วยเวลาที่จะไปบิณฑบาต เวลาที่จะเดินกลับ จะไปตักน้ำ จะไปอาบน้ำ จะต้องทำทุกอย่างด้วยพระองค์เองหมด

- ดูภาพขององค์สมเด็จพระบรมสุตตอนนั้นลูกรัก  พ่อรู้สึกสงสารสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่ถ้าพระองค์ทำเพื่อพระองค์เองนะ ไม่หวังสงเคราะห์คนอื่นพ่อก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่เนื่องจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทำเพื่อสันติสุขของบุคคลอื่นด้วย ช่วยพระองค์เองด้วยและก็ช่วยคนอื่นด้วย แต่ว่าผลความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้มาด้วยความลำบาก คนนี่ประกาศตนว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พ่อรู้สึกสลดใจที่มาเป็นเถรใบลานเปล่ากันเสียมาก แล้วก็ใช้ผ้ากาสาวพัตร์ขององค์สมเด็จพระบรมสุคตเป็นเครื่องหลอกลวงคน แต่ทั้งนี้ลูกก็อย่านึกว่า  ทุกท่านที่ทรงผ้ากาสาวพัตร์ไดไปทั้งหมด ที่ดีๆ ก็มีมาก ที่หลอกลวงก็มีมาก คนชั่วก็มี คนดีก็มาก คนชั่วหายาก คนดีถมไป ท่านว่าอย่างนี้นะลูก ต่อมาตามภาพนั้นท่านแสดงเร็ว องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็มีพระวรกายดี ร่างกายเริ่มแข็งแรง มีเนื้อมีหนัง คนที่เขาใส่บาตรองค์สมเด็จพระชินสีห์ เขาเรียกว่า สิทธัตถะร่างกายดีแล้วหรือ สิทธัตถะสมบูรณ์ขึ้นแล้ว สิทธัตถะผ่องใสแล้ว เวลาที่ท่านไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาพูดกันอย่างนั้น ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แต่ทุกคนเขาไม่โกรธไม่ว่าท่านจะอดข้าวหรือฉันข้าว เขาไม่ว่าอะไร เขาเลื่อมใสจริยาพระองค์ ก็มีอยู่มากคนด้วยกัน ที่เวลาองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จกลับ บางคนก็ตามมาปฏิบัติให้ความสะดวก เขาช่วยท่าน ท่านก็ไม่ว่า เขาไม่ช่วยท่าน ท่านก็ไม่ตามใคร  เป็นอันว่ากาลต่อมา องค์สมเด็จพระจอมไตรมีร่างกายสมบูรณ์ ตอนนั้นนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ๆ ต้นโพธิ์ มีสาขาใหญ่

- เวลานั้นนางสุชาดาไม่มีลูก อยากจะมีลูก บนรุกขเทวดาไว้ เมื่อมีลูกแล้ว ครั้นเมื่อนางบุญทาสีมาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กลับไปบอกนางสุชาดาว่า รุกขเทวดากำลังต้อนรับเจ้าแม่เจ้าค่ะ ภาพปรากฎว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรมีร่างกายสมบูรณ์บริบูณ์ ผิวพรรณสวยสดงดงามมาก น่ารักสดชื่น สวยกว่าคนธรรมดา เป็นอันว่าหน้าท่านสวย ผิวท่านสวย ปากแดง ส่วนที่ดำก็ดำสนิท ส่วนที่แดงก็แดงสนิท กลมกลืนสวยจริงๆ เมื่อรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ก็ทรงเสวยข้าวมธุปายาส เมื่อหมดแล้ว ตามภาพนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงนำถาดทองคำไปลอยที่แม่น้ำเนรัญชรา เวลานั้นเป็นเวลาน้ำหลากไหลเชี่ยว ทรงอธิษฐานอย่างเดียวว่า ถ้าหากว่าเราจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ก็เป็นอัศจรรย์ผลและต้นหญ้า ท่อนไม้ที่ไหลมาไหลเร็วลิ่วตามน้ำ แต่ถาดทองคำลอยทวนน้ำขึ้นไปได้อย่างอัศจรรย์ ไประยะยาวพอสมควรไกลประมาณ ๗ เมตร ถาดก็จม จมลงไปซ้อนกันที่วิมานของพระยากาลนาคราชอยู่เมืองบาดาล แกนอนหลับสบาย พอถาดขององค์หนึ่งกระทบดังแกร๊ก ก็ลืมตามา นี่นอนยังไม่ทันจะเต็มตื่น พระพุทธเจ้าตรัสอีกองค์อีกแล้วรึ อะไรเดี๋ยว เดี๋ยวองค์ ตรัสบ่อยจริงๆ แล้วก็หลับต่อไป

- หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับจากลอยถาดทองคำแล้ว พอมาถึงก็ปรากฏว่ามีพราหมณ์เอาหญ้าคามาถวาย ๘ กำด้วยกัน องค์สมเด็จพระภควันต์  ก็ทรงเอาหญ้าคาปูลาดไปบนแท่นหิน หินนะไม่ใช่แท่นแก้ว หรือไม่ใช่แท่นเพชร ที่เรียกกันว่าแก้วๆ เขาแปลว่าของดี อย่างพ่อแก้วก็เรียกว่าพ่อดี แม่แก้วก็แปลว่าแม่ดี สำหรับพระแท่นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง และทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่แท่นที่ใครสร้างให้ ไม่มีรูปร่างเป็นแท่น ความจริงก็เป็นหินก้อนหิน เป็นก้อนหินที่มีสันนูนขึ้นมาธรรมดา มีที่เรียบพอเล็กน้อย ตามริมทุกด้านมีรอยลู่ลง เรียกว่าด้านบนนั่งสบายๆ เป็นแท่นหินเรียบ ไม่ใช่เป็นแผ่น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเอาหญ้าคาขึ้นไปวางข้างบนนั้น ทำให้นิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง หญ้าคาตอนนั้นเป็นสีขาวๆ พ่อสงสัยว่าจะเป็นหญ้าคาที่มีความแห้งดีแล้วสีขาวๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับนั่งบนหญ้าคาเหนือแท่นหินขึ้นมา เพราะหญ้าคาคลุมหิน คุยกันไปตามภาพ

- เวลานั้นจะเห็นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีความเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างมาก ถ้าเราคิดอย่างคนธรรมดานะ เพราะเบญจวัคคีทั้ง ๕ ท่านก็ไปเสียแล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ป่าก็เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เสียงสัตว์ทุกชนิดร้องตามจังหวะ กระแสน้ำไหล ลมพัดคราวไร ใบไกเสียงเกรียวกราว มองดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้าก็เสด็จประทับอยู่องค์เดียว แต่ว่าการนั่งอยู่องค์เดียวเพื่อแสวงหาประโยชน์ปัจจุบัน นั่นก็คือนั่งดูทรัพย์สมบัติก็น่าตำหนิ หรือก็น่าสงสาร แต่นี่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงทรมานพระองค์อดข้าว อดน้ำ แล้วก็มานั่งเปล่าเปลี่ยวอยู่องค์เดียว เคยเป็นกษัตริย์อยู่ในพระราชฐาน กษัตริย์นั้นมีพระราชอำนาจมาก และพระองค์ก็มีความสมบูรณ์พูนสุข อีก ๗ วันหลังจากออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็มีโอกาสได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิ แต่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิไม่ต้องการอย่างนั้น

- มาตอนนี้ภาพจริงๆ ที่ปรากฏกับจิต ภาพนี้สวยจริงๆ ลูกรัก เห็นองค์สมเด็จพระธรรมสามล  ทรงเสด็จประทับนั่งหันหลังเข้าหาต้นโพธิ์ ทรวดทรงของพระองค์ก็ดี ผิวพรรณก็สดสวย ลีลาการเยื้องกรายก็น่าเลื่อมใส พระองค์ทรงพระกายตรง นั่งขัดสมาธิ มือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย มองไปอีกทีปรากฏว่าเวลานั้น เทวดาและพรหมก็มายืนเรียงรายรอบๆ อยู่บนอากาศก็รอบๆ เห็นบรรดาเทพธิดาและเทพบุตรทั้งหลายโปรยปรายดอกไม้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างคนต่างก็พนมมือทั่วจักรวาล จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเทวดาและพรหม เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง จะทรงเห็นเทวดาและพรหมหรือไม่ พ่อไม่ทราบเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าภาพปรากฏขณะนั้น

- ในขณะเดียวกัน องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตั้งพระทัย คิดว่าเรานั่งตรงนี้ และเราก็จะไม่ยอมลุกจากที่นี้ ถึงแม้เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือชีวิตอินทรีย์จะตักษัยก็ตาม คือว่ามันจะผอม หรือมันจะตายก็ช่างมัน ถ้าเราไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากตรงนี้ คือให้มันตายไปเสียเลยดีกว่า เพราะการบำเพ็ญมาสิ้นเวลา ๖ ปี ถ้าไม่ได้ก็จงตายเสียเถิด อันนี้ต้องเรียกว่า เป็นพระราชดำริของพระราชาทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าเมื่อองค์สมด็จพระพิชิตมารทรงตัดสินพระทัยแล้ว เพราะอาศัยที่พระองค์ทรงสมาบัติ ๘ มาก่อน การรวบรวมกำลังใจจึงเป็นของไม่ยาก แต่ดูเหมือนจะมีเสียงบอกมาว่า คำว่าไม่ยากคือ ไม่ยากแก่การตัดสอนใจ แต่มีอารมณ์ใจยากอยู่นิดหนึ่ง ขณะที่นั่งลงไปใหม่ คิดในใจว่า เราจะทรงอารมณ์แบบไหน ถึงจะตรงกับการได้พระโพธิญาณ และขณะนั้นเอง ความโปร่งจิตขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ปรากฏ เมื่อปรากฏตามนั้นแล้ว อารมณ์ก็โปร่งขึ้นมา ปัญญาก็เกิด คิดว่าอันดับแรกเราจะต้องทรงสมาธิก่อนให้จิตเป็นสุข ให้จิตมีการทรงตัว จึงได้เริ่มจับอานาปานสติกรรมฐาน ทรงอารมณ์อยู่เป็นปกติ ใช้เวลาไม่นาน เริ่มตั้งกำลังใจเพียงแค่ครึ่งวินาที อารมณ์ของสมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงสงัดจัดเป็นฌาน ทีแรกขึ้นเป็นฌานต้นทีเดียวถึงฌาน ๘ ทรงอารมณ์สบายอยู่ในสมาบัติ ๘ จิตสงบสงัด มีอารมณ์ป็นสุขมาก ในชั่วขณะเวลาผ่านไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมงเศษ พ่อขอคุยกับลูกตามคำบอก จะเรียกพูดตามพากย์ก็ได้ เวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ความสุขเกิดขึ้นจากสมาธิ อารมณ์เด็ดเดี่ยวเป็นอุเบกขารมณ์เกิดขึ้นจากสมาธิ ใจมีความปลอดจากกิเลส ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐจึงได้ลดกำลังของสมาธิ ค่อยๆ เลื่อนมาจากสมาบัติข้อที่ ๘ มาถึงข้อที่ ๗ ที่เรียกว่า อากิยจัญญายตนะ ลดลงมาถึงข้อที่ ๖ ที่เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ลดลงมาข้อที่ ๕ ที่เรียกว่า อากาสานัญจายนะ ค่อยๆ ลดมาทีละน้อยลดลงมาถึงข้อที่ ๔ ที่เรียกว่าจตุตถฌาน ลดลงมาถึงข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า ตติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๑ ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ลดลงมาถึงอุปจารฌาน การลดลงมา การขึ้นลงเป็นเรื่องคล่องแคล่วขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พยายามลองลด ก็ชื่อว่าจะลองเล่นกำลังฌาน ว่ากำลังจิตจะใช้กำลังได้หรือไม่ เพราะทิ้งมานาน ลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ แล้วขึ้นไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ แล้วก็ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ วิ่งไปวิ่งมา ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ปราฏว่าถอยหลังมาตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า "คำว่าพระโพธิญาณ มีสภาวะเป็นประการใด กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทุกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา...
     
- ตอนนี้ปรากฏว่า อารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน กลับเกิดบุฟเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นจิตในจิต คือมีความสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึกขึ้นมาสว่างออก สภาวะต่างๆ คือเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่แวดล้อมอยู่เวลานั้น ที่ยืนอยู่ใกล้ภาคพื้นดินก็ดี บนอากาศก็ดี ถือดอกชบาทำสักการะ เป็นอันว่าปรากฏแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดทั่วจักรวาล เป็นเหตุให้พระองค์มีจิตเบิกบาน ว่า โอหนอ คำว่าพระโพธิญาณ คงจะสำเร็จแก่เราในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตอนนี้เห็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่นมาก พรหมบางท่านเข้ามาถวายพัดอยู่ใกล้ๆ เทวดาทั้งหลายก็ยืนล้อมรอบ และก็ลอยในอากาศล้อมรอบ ทรงสดชื่นมาก ทรงถอยหลังชาติไม่มีเหตุจำกัด   ก็ทรงทราบว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้เคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไหนที่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระพุทธเจ้าชื่ออะไร พยากรณ์ว่าอย่างไร กิจใดทำไว้ ทราบชัดหมด ตอนนี้เป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า กัปนี้เราเป็นองค์ที่ ๔ ที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้บุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ใช้กำลังจิตที่ได้บุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังเป็นประโยชน์มาก รู้อดีตที่ล่วงมาแล้วว่า มีสภาพเป็นอย่างไร เกิดเป็นอะไรบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง แล้วก็ตายเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปอยู่นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำคุณประโยชน์อะไรบ้าง และก็ได้รับพระพุทธพยาการ์ว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าแต่ละองค์สอนว่าอย่างไร และท่านผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีกำลังใจ เพราะอาศัยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จึงทบทวนไปมา แล้วก็เลือกจัดธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เอามาเป็นเครื่องพิจารณา ตอนนี้องค์สมเด็จผู้มีพระมหากรุณาธิคุณเมื่อพิจารณาในด้านบุเพนิวาสานุสติญาณ กำลังใจก็เต็มขึ้น เป็นเหตุให้ได้ทิพยจักขุญาณ หรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ เป็นอันว่าพระองค์กลับมีความรู้สึกว่า สัตว์ในโลกทั่วจักรวาลนี่เป็นคนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี บางท่านที่มาเกิดก็มาจากพรหมบ้าง มาจากเทวดาบ้าง มาจากมนุษย์บ้าง มาจากสัตว์เดรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง แล้วก็ทรงรู้ถึงว่า ถ้าพวกที่มีอารมณ์ตามนั้นที่ทรงอยู่ ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน รู้ถึงความเป็นอยู่ เป็นอันว่าตอนนี้เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระบรมครู ใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วยกำลังของทิพยจักขุญาณ และบุพเพนิวาสานุสติญาณ ว่าคนและสัตว์นี้มีเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่า ไม่มีใครมีสภาวะทรงตัว และเหตุที่จะพึงตัดจะต้องเอาอะไรมาตัดกรรมที่เป็นกิเลส คือที่เรียกว่า กิเลส ตัญหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่ทำให้คนมัวเมาอยู่ในร่างกายที่ไม่เป็นสาระ ไม่มีประโยชน์ การเกิดแต่ละชาติมีแต่โทษ ไม่มีคุณ จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัด เราจะต้องตัดใจของเราก่อน และจึงจะไปสอนบุคคลอื่น เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ กำลังสมาธิที่ท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญา มันก็เกิด ก็มีความรู้กว่า สิ่งที่จะทำให้ไม่เกิดมีอยู่ ๔ อย่าง ต้องประกอบกัน คือ...

...ทุกข์ เป็นเครื่องดึงให้เกิด คือคนที่หลงในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ และก็ทุกข์เกิดจากความอยาก การทะเยอทะยาน อย่างเมื่อเราเป็นเด็กๆ เราก็อยากจะโต เมื่อโตแล้วเราก็อยากเป็นพระราชา ท่านปรารภถึงพระองค์เอง เมื่อเป็นพระราชาแล้ว ก็อยากเป็นพระราชาที่มีอำนาจ อำนาจที่พระองค์ต้องการก็คืออำนาจโดยธรม หรือมีธรรมเป็นอำนาจ จะใช้ความดีสงเคราะห์คนอื่นให้มีความสุข ใช้ความดีเป็นอำนาจ พระองค์ทรงคิดไกล เมื่ออาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นว่า ก็ทำให้คับใจ ถ้าสิ่งใดที่ทำไม่ได้ตามความปรารถนา หรือว่าความปรารถนาไม่สมหวัง อารมณ์มันก็เป็นทุข์ นี่ตัวอยากเป็นเหตุ ถ้าเราจะตัดก็ต้องตัดตัวอยาก ตัดตัวอยากต้องใช้กำลังความดี ทรงพิจารณาดูว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านตรัสก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือที่เรียกว่ามรรค ๘ ทรงพิจารณาว่า...

     ๑. เวลานี้ศีลของเราบริสุทธิ์หรือยัง ก็ทรงทราบว่าศีลบริสุทธิ์ทุกอย่าง
     ๒. สมาธิ ของเรามีกำลังพอหรือยัง ก็ทรงทราบว่าสมาธิของเรามีกำลังพอ จึงได้รวบรวมกำลังใจว่า จุดใดที่ยังมีภาวะติดอยู่ ตัดตรงไหนดีหนอ
     พิจารณาตอนนั้น จะตัดอารมณ์ใจอย่างเดียวหรือจะตัดอะไรด้วย
อันดับแรกตัด รูป คือไม่ห่วงใยในรูป นี่เราก็ตัดมาแล้ว ปัญญาบอกว่าต้องตัดรูป แต่ก็ทรงพิจาณาว่าเรานั่งที่นี่ก็ดี เราออกแสวงหาอภิเนษกรมณ์ก็ดี นี่เราตัดรูปมาแล้วนี่นะ
     รูป เรา เราก็ตัด คือเราไม่หวังความสุขในรูปกายของเรา นี่เราตัดแล้ว
     รูป ของพิมพพาราชเทวี มเหสีที่รัก เราก็ตัดแล้ว รูปของลูกรักที่เกิดในวันเดียววันนั้นเราก็ตัดแล้ว
     รูป ของพระราชบิดา พระราชมารดา หรือข้าราชการ เราก็ตัดแล้ว
     รูป ของนางสนมนารี เราก็ตัดแล้ว และรูปของทรัพย์สินทั้งหลาย เราก็ตัดแล้ว...

-------------------------------------------------------

- ยังมีอะไรอีกบ้างไหมที่เราจะต้องตัด ก็เรื่องของนาม คือความปรารถนาของใจ ได้แก่โลกธรรม ๘ ทรัพย์สินที่พึงจะเกิดขึ้น เราตัดแล้วหรือยัง ก็ทรงพิจารณาว่า...
- เวลานี้เราไม่มีอะไร มีแต่ผ้านุ่ง ผ้าหุ่ม กับร่างกาย ทรัพย์ทั้งหลายทั้งหมดที่มันมากกว่านี้ ที่เราเคยครองอยู่ เราตัดแล้ว และการเสื่อมลาภไป ไม่มี ลาภ เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นึกถึงลาภนั้นบ้างหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่าเราไม่นึก นี่เราก็ตัดแล้วเรื่อง ลาภ
- มาเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรามาจากความเป็นพระราชา เราไม่ได้ลาออก เราไม่ได้มีความผิด เราตัดมาเพื่อแสวงหาภิเนษกรมณ์เราตัดแล้ว การหมดยศฐาบรรดาศักดิ์ อำนาจศักดิ์ศรี เป็นเครื่องวังเวงใจให้เรานึกถึงบ้างไหม เราก็ไม่นึกถึง อันนี้เราก็ตัดแล้ว
- เวลานี้เราตัดผม คนสมัยนั้นเขาถือว่าคนไม่มีผม คนโกนหัว เป็นกาลกิณี อารมณ์อย่างนี้ที่เขานินทา เรา หวั่นไหวไหม ก็ทรงทราบในพระทัยว่า เราไม่ได้หวั่นไหว
- และประการต่อไป ถ้าใครเขามา สรรเสริญ เราได้รับการย่องย่องขณะที่เรามาอยู่ป่า เช่น ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ เทอดทูนเราว่าเป็นคนดี และก็มีพราหมณ์ที่นำหญ้าคามาให้เราก็ดี คนหลายคนที่ผ่านมาเห็นเราเข้า รู้ว่าเราเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อน เขาก็พากันสรรเสริญเยินยอ ว่าเราเป็นคนดี คำสรรเสริญอย่างนี้เราผูกพันหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่า ไม่ผูกพันแล้ว
- ต่อไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็มารำพึงว่า ความสุขความทุกข์ ที่เนื่องกับเรื่องกายนี่เราตัดแล้วหรือยัง พระองค์ก็ทรงทราบว่าตัดแล้ว เพราะว่าเราตั้งมโนปณิทานว่า ถ้าไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อมันจะเหือดแห้งไป นี่หมายความว่า ทุกขเวทนามันหนัก มันหิวขึ้นมาทีละน้อยๆ หนักเข้าๆ ร่างกายก็ทรงไม่ไหว มันอาจจะตายซะตรงนี้ แต่อารมณ์เราตัดแล้วด้วยดี มันจะตายตรงนี้ก็เชิญ ถ้าเราไม่ได้บรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เราตัดแล้ว
- เป็นอันว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เวลานั้นลูกรัก ตามภาวะของภาพที่ปรากฎ คืออารมณ์เคลิ้ม เวลานั้นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีกระแสจิตสว่างไสวเป็นประกายพรึก เหมือนกับพระอาทิตย์สักพันดวง และก็มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่ง เพราะความสดชื่นในจิต บรรดาเทวดาและพรหมต่างก็มานมัสการองค์สมเด็จพระธรรมสามิส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านสหัมบดีพรหม กล่าวว่า...
"สิทธัตถะ ท่านเอ๋ย เวลานี้กิจที่ท่านต้องการ คือพระสัมมาสัมโพธิญาณ ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์องค์แรกในโลก บรรลุแก่ท่านแล้ว" เป็นอันว่าท่านสหัมบดีพรหมยืนยัน และก็พรหมทั้งหมดก็ยืนยัน เทวดาทั้งหมดก็ยืนยัน ต่างคนก็ต่างเอาเครื่องสักการวรามิส มีดอกไม้เป็นต้น ของสวรรค์ ของหอมต่างๆ มาบูชาองค์สมเด็จพระภวควันต์ ในฐานะที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และต่างคนต่างก็มายืนรายรอบองค์สมเด็จพระบรมครูพนมมือแสดงสักการะ เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ทรงธรรมปิติขึ้นมาก มีความอิ่มเอิบ มีความสดชื่น ตอนนี้ตามปฐมโภชน์กล่าวว่า พระยามาราธิราช หรือที่เรียกว่าท้าวมาลัย เข้ามาทำลายพิธี ตามที่บอกรู้สึกมาดุดันมาก แต่ความจริงดุไม่ได้หรอก
ประการที่หนึ่ง เพราะว่าพระยามาราธิราชหรือท้าวมาลัย เป็นเทวดาที่อยู่ในอาณัตของพระอินทร์
ประการที่สอง เทวดามีอำนาจไม่เกินพรหม นี่เค้าบอกพระยามาราธิราชแผลงฤทธิ์ เทวดาที่แวดล้อมหนีหมด อันนี้ไม่จริง
- ตามภาพนั้นปรากฏว่าไม่จริง มีเทวดาและพรหมถอยออกไปยืนถวายสักการะในที่อันควร ไม่ได้ยืนติดพระองค์ ก็มีพระยามาราธิราชมาสะกิดว่า "ท่านจะไปหลงใหลใฝ่ฝันอะไรกับพระโพธิญาณ มันเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ท่านจงนึกถึงตำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิที่จะช่วยคนให้เป็นสุขทั้งโลกไม่ดีกว่าหรือ อีกประการหนึ่ง พระพิมพาราชเทวีก็มีพระรูปพระโฉมงดงาม และลูกชายคนเล็กก็เพิ่งเกิดใหม่ นอกจากนั้นสนมนารีก็มากมาย ทำไมไม่คำนึงถึงบ้าง ปล่อยให้เขาทั้งหมดมีความทุกข์ เพราะท่านหาความสุขแต่ผู้เดียว" สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสว่า...
"ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป" เราทราบแล้วว่า เรากับท่านน่ะเป็นเพื่อนกันมาก่อนในอดีต อาศัยบุพนุวาสานุสติญาณ อาศัยที่เราถวายหญ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้เอาของท่านไปถวาย ท่านจึงมีความเข้าใจว่า เราต้องการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแต่ผู้เดียว ท่านก็ปรารถนาเช่นเดียวกัน การทำอย่างนี้มันมีบาป เราตั้งมโนปณิธานมาฉันใด เราก็ปฏิบัติฉันนั้น  แม้แต่ตัวท่านเอง ถ้าทำไปไม่ช้าก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ จะมาทำจิตให้เป็นบาปเพื่อประโยชน์อะไร เพียงเท่านี้ พระยามารก็ถอยไป...

- ตอนนี้ซิลูกรัก ลูกรักทุกคนเห็นไหมว่า องค์สมเด็จพระทศพลมีบุญญาธิการเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ทรงสนพระทัย เรื่องลาภสักการะ เรื่องยศบาบรรดาศักดิ์  เรื่องนินทาและสรรเสริญ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ต้องการอย่างเดียวคือพระโพธิญาณ อารมณ์ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารตอนนี้ ลูกทุกคนต้องจำ เพราะว่าเราเป็นสาวกของท่าน ถ้าเราไม่ใช้กำลังใจอย่างท่าน เราจะมีผลตามที่ท่านสอนไม่ได้ 

- เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณแล้วก็เป็นของไม่ยาก เมื่อได้ทิพยจักขุญาณแล้วก็เป็นของไม่ยาก ถอยหลังเข้าไป แต่ว่าเราเป็นสาวก พ่อเข้าใจว่าลูกทุกคนต้องการอย่างนั้น มันก็ไม่ยาก ใช้อารมณ์ที่ลูกทุกคนศึกษาจากคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เรื่องไม่ยากมันก็เกิดขึ้น แต่พ่อก็ยังคิดว่า ยังยากอยู่ สู้เราตัดตรงตามที่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงสอนไม่ได้ นั่นคือ ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของเรา ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ห่วงทรัพย์สินทั้งหลาย ถ้าตายคราวนี้ขอไปพระนิพพาน อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ เอาง่ายๆ คนจะไปนิพพานเขาทำอย่างไร ก็ไปดูอารมณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรดังที่กล่าวมาแล้ว ตอนนี้ตามภาพที่เคลิ้มๆ ไป ในเวลานั้นตามกระแสเสียงพระท่านพูด ก็ปรากฏภาพกับจิตตามนี้ พ่อมีความรู้สึกเห็นน้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ว่าทรงมีความลำบากลำบนเพียงใด ลูกรักต้องคิดดูเวลา ๖ ปี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแสวงหาภิเนษกรมณ์ มันเป็นความสุขหรือความทุข์ ลูกรัก ต้องนอนกลางดิน ต้องกินกลางทราย ต้องอดทนทุกอย่างด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าพระองค์มีความทุกข์เพราะพวกเรา ฉะนั้น พวกเราทุกคน จงอย่าให้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมามสัมสัมพุทธเจ้าต้องผิดหวัง คำว่าต้องผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระ พระทุกองค์จงอย่าเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และก็จงอย่าเมาในใบลาน หรือเมาในตำรา จงใช้กำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแบบฉบับ แล้วก็ปรับกำลังใจของเราให้เท่าหรือคล้ายคลึงกำลังใจของพระองค์ ที่มีพระพุทธประสงค์มาสอนเรา เมื่อจิตเคลิ้มไปตอนนี้ อารมณ์ก็เป็นสุข ขอให้ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้และปฏิบัติตาม

- วันที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนนั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์ตอนที่พระพุทธเจ้าประทับตัดสินพระทัย ว่าจะต้องการบรรลุอภิเกสัมมาสัมโพธิญาณที่นี่ เป็นวันกลางเดือนหก เป็นฤดูฝน มาวันหนึ่งมีคนบอกว่ามีฝนตกลงมา พระยานาคขดตัวให้เป็นแท่น แล้วก็แผ่พังพานป้องกันฝนไม่ให้ถูกองค์สมเด็จพระทศพล คนเกิดวันเสาร์จึงทำพระนาคปรก แต่รู้สึกนาคจะมีหัวมากไปหน่อย เนื้อแท้จริงๆ นาคมีหัวเดียวแผ่พังพานออก ไม่ใช่แผ่ให้หัวงอกออกมาต้องหลายหัว แบบนี้มันไม่ถูก ลูกที่นั่งฟังทั้งหมดสงสัยไหมว่า ถ้าสมมุติว่าพระยานาคท่านนั้นไม่แผ่พังพานให้พระพุทธเจ้า ฝนตกลงมาพระพุทธเจ้าจะเปียกไหม อันนี้เราต้องคิดไปว่า พระโมคคคัลลาน์ เวลาไม่ต้องการให้เปียก ท่านจะเปียกไหม มันก็ไม่เปียก ไม่ต้องการให้แดดถูกตัวท่าน แดดก็ไม่ถูก ตอนนี้เราก็ดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นครูของพระโมคคัลลาน์ เมื่อลูกศิษย์ทำได้อาจารย์จะทำได้ไหม เพราะวิชาทั้งหลายเหล่านั้นไปจากอาจารย์ เป็นอันว่าเป็นความดีของพระยานาคที่ท่านสงเคราะห์ แต่ถ้าบังเอิญพระยานาคท่านไม่สงเคราะห์ พระพุทธเจ้าท่านคงไม่เปียก เพราะท่านจะมานั่งยอมเปียกอยู่ได้อย่างไร ท่านเป็นผู้ทรงอภิญญาใหญ่ ซึ่งเป็นยอดอภิญญา เรียกว่า บรรดาสาวกทั้งหมดจะมีฤทธิ์มีเดชเกินพระพุทธเจ้าไม่มี เท่าก็ยังไม่มีเลย นี่เราพูดตามความเป็นจริง จะทำอะไรก็นึกถึงเหตุถึงผลสักนิดหนึ่ง

- เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ก็ทรงนั่งนึกต่อไปว่า คำว่าศาสดาแปลว่าครู การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมา ก็ไม่ใช่เพื่อต้องการความสุขส่วนตัว เป็นความต้องการที่ให้คนอื่นเขาสุขด้วย จึงเรียกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านก็นั่งนึกว่า ใครหนอที่จะรับธรรมเทศนาที่เราบรรลุแล้วได้ เพราะธรรมที่ได้มาแล้วนี้ ลึกซึ้งคำภีรภาพมาก ยากเหลือเกินที่คนจะปฏิบัติตามได้ นึกมานึกไปก็หวลนึกขึ้นมาได้ว่า โอหนอ ท่านอาจารย์ทั้งสอง คือ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุกดาบส สองท่านเป็นเป็นอาจารณ์ที่สอนให้องค์สมเด็จพระจอมไตรได้สมาบัติ ๘ ฉะนั้นในเมื่อท่านสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบัติ ๘ คือรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมาก ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แผล็บเดียว ก็เป็น อรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณ คำว่า "ปฏิสัมภิทาญาณ" หมายความว่า...

     ๑. ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้
     ๒. ถ้าพูดมายาวๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้
     ๓. และก็มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์รอบด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน...
       
- องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเทศน์ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองฟังเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไร พระพุทธเจ้าไม่ใช่พ่อ และพ่อก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทำอะไร ท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ สมเด็จพระบรมครูจึงใช้ทิพยจักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสองเวลานี้อยู่ที่ไหนก็ทราบได้ว่า  เวลานี้อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะ คือไม่มีเครื่องรับ เครื่องส่งของพระพุทธเจ้ามี เครื่องรับไม่มี ไม่มีตาจะรับ ไม่มีหูจะรับ มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิบหายจากความดีแล้ว เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีโอกาสจะสนองคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง เพราะไม่มีอายตนะจะรับ ความจริงพราหมณ์เขาก็เก่งนะ เขามีการสอนถึงสมาบัติ ๘

 - ต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงระลึกถึงท่านปัญจวัคคี ฤาษีทั้ง ๕ ที่เกลียดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามักมากในอาหาร และมักมากในกามคุณ กลับมาฉันข้าวใหม่ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่นึกอะไร นั่นเป็นความเข้าใจของลัทธิพราหมณ์ ว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ จะไปนั่งห้ามปรามความรู้สึกกันไม่ได้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ทรงคิดว่า เวลานี้ปัญจวัคคีย์ คือฤาษีทั้ง ๕ ได้แก่ ท่านโกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านมหานามะ ท่านภัททิยะ และท่าอัสสชิ ท่านทั้งหมดเวลานี้อยู่ที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงทราบว่าอยู่ในเขตป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แคว้นเมืองพาราณสี สถานที่นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปมากกว่าทุกเมือง  แต่ทว่าการเดินทางไปของพระพุทธเจ้าไม่ถึงวัน เราต้องคิดว่าองค์สมเด็จพระภวควันต์ท่านทรงเดินไปแบบไหน   ตอนนั้นพ่อก็มานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  การเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่แขกเขาสร้างสถูปไว้ตรงนั้นไม่ไช่ พ่อไม่ได้ทำลายประโยชน์ของเขา มันไม่จำเป็นหรอกถ้าเราจะไหว้กัน ที่จริงๆ จะต้องห่างจากที่ตรงนั้นไป ๓ กิโลเมตร เอาเชือกผูกจากที่เขาทำสัญญลักษณ์ไว้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กางแขนเข้า แล้วก็ตัดมุมเฉียงเป็นตะวันออกเฉียงเหนือ เอาเชือกขึงไป ๓ กิโลเมตร ก็จะเข้าถึงเขตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพบปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ ตอนนั้น ท่านทั้งหลายอยู่ในป่าทึบ แต่ไกลบ้านไม่มากนัก มีหมู่บ้านหนาๆ แต่ว่าเสียงไม่เกลี่อนกล่น หมายความว่าท่านหนีบ้านท่านท่านไม่อยู่ในบ้าน ท่านอยู่ในป่า ท่านเป็นพราหมณ์ ท่าต้องการความดี ที่ตรงนั้นเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร  ตอนนั้นจิตพ่อก็คำนึงไปถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ การลีลาของพระพุทธเจ้ามีรองเท้าหรือเปล่า...

...ดูแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีรองเท้า ทรงพระบาทเฉยๆ ดูรูปร่างขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่า จะเศร้าหมองหรือผ่องใส ดูแล้วผ้าที่พระองค์ห่มก็สวย ทั้งนี้เพราะเป็นผ้าที่เทวดานำมาถวาย พระฉวีวรรณขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงขาวและเหลืองจัด เหลืองน้อยกว่าผ้าไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกว่าลักษณะของพระองค์สวยจริงๆ ดูทุกส่วนสวยกลมกลืนไปหมด

- ดูภาพตามความเคลิ้มของจิต พ่อคิดไปถึงท่าน มันเหมือนลืมตาฝันนั่นแหละ ดูลีลาการเยื้องกรายขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสนาดาเสด็จเยื้องกรายไปช้าๆ แบบสบายๆ ไม่ใช่เดินแบบตามควายหรือหนีตำรวจ  เป็นอันว่าท่านไปเรียบร้อยจริงๆ เดินไปได้สักครู่หนึ่งแต่ผลแห่งการเดิน ลูกรัก รถเราไปตั้ง ๘ ชั่วโมง ท่านเดินไม่ถึงวัน เวลาตอนเช้าฉันภัตตราหารที่เขานำมาถวายแล้ว อย่าลืมนะว่าอยู่ใกล้บ้านนางสุชาดา นางสุชดาถวายข้าวมธุปายาสอยู่แถวนั้น และเมื่อองค์สมเด็จพระภวควันต์ทรงบรรลุอภิเกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จงอย่าคิดว่า นางสุชาดาจะยังไม่นึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เพราะเดินอยู่แถวนั้น เดินไป เดินมา เด็กเลี้ยงควายก็เห็นหน้าท่าน ฉะนั้นนางสุชาดก็ยังไม่ทิ้งองค์สมเด็จองค์สมเด็จพระภควันต์ นอกจากถวายภัตตราหารตรงนั้นแล้ว ก็ยังถวายต่อไป เพราะว่าเวลาที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช้เวลาเป็นเดือน ท่านใช้เวลาคืนเดียว พูดกันอย่างภาษาไทยรวบรัดกัน  เริ่มตั้งแต่ตอนเย็นก็จบเอาเวลาใกล้รุ่ง คืนเดียวเท่านั้น  ถ้าใครเห็นพระองค์เมื่อไรก็พบแต่ความชื่นใจ ฉะนั้น นางสุชาดาก็คงไม่โง่จนกระทั่งจะไม่ถวายอาหารใหม่

- เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรเสวยพระกระยาหารแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเยื้องกรายมุ่งไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน  แต่ว่าเดินไปได้ไม่เท่าไร ก็ทรงพบ อุปกาชีวก ท่านอุปาชีวกนี่ลูกรัก ชีวกไม่ได้แปลว่านักบวช อาจเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ เขาเรียกกัน จะถือเป็นนักบวชทีเดียวก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นที่นิยมทางศาสนาเหมือนกัน  เพราะในเมืองแขกนิยมศาสนา ท่านอุปกาชีวกเห็นองค์สมเด็จพระภควันต์มีฉวีวรรณผ่องใส เยื้องกรายก็น่ารัก น่าเลื่อมใส จึงได้ถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "ท่านบวชในสำนักของใคร ใครเป็นครูบาอาจารย์สอนท่าน ฉวีวรรณจึงสวยสดงดงามมาก" สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ตถาคตนี่เป็นสยมภูนะ" หมายความว่า ตถาคตเป็นผู้รู้เอง ไม่มีใครสอน ท่านอุปกาชีวกฉุนนิดๆ คิดว่าหมอนี่อวดวิเศษมากไปแล้ว ไอ้คนไม่มีครูสอนน่ะ มันจะรู้เองได้ยังไง ความจริงแกก็คิดตามเหตุตามผลธรรมดา แกก็เลยส่ายหน้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วหลีกไป องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่คิดอะไร เป็นเรื่องธรรมดาๆ เพราะว่าพระองค์มีเหตุผล ต่อมาภายหลังได้กลับมาหาพระพุทธเจ้า และได้เป็นพระอรหันต์ไปในที่สุด หลังจากนั้นแล้วองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้เดินทางต่อไปยังเขตของเมืองพาราณสีที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เวลาที่ทรงดำเนินไปนั้นก็เห็นจะด้วยกำลังของอภิญญาน้อยๆ คำว่าอภิญญาน้อยๆ ก็หมายความว่าค่อยเยื้องกรายไปให้เร็วกว่าธรรมดาหน่อย เพราะว่าถ้าเดินไปแบบธรรมดาๆ ก็ใช้เวลาหลายวัน สมเด็จพระพิชิตมารก็คงจะกำหนดเวลาว่าเราจะไปถึงเวลาตะวันคล้อย เงาคล้อยประมาณ ๒ นิ้วเสาคงจะดี หากว่าไปด้วยอภิญญาจริงๆ หรืออำนาจวาโยกสิณ ปุ๊บเดียวมันถึงเลย...  

- ฉะนั้นพระพุทธเจ้าคงจะใช้กำลังน้อยๆ ไม่ใช้กำลังมากๆ ไปให้พอดีๆ เป็นอันว่าประมาณบ่ายสองโมง องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เสด็จเข้าเขตป่าอิสิปตนมฤคทายวัน   เข้าไปใกล้กับที่ท่านทั้ง ๕ อยู่ ท่านทั้ง ๕ เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จเข้าไปเห็นหน้าตาแช่มชื่น มีผิวกายผ่องใส ผ้าที่ห่มก็สีสดใส ดูกายก็ไม่ซูบผอม เห็นร่างการสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง สมลักษณะสมส่วน ท่านทั้ง ๕ ก็เกิดความไม่ชอบใจอีก เพราะถือว่าการอดเป็นของดี พราหมณ์ถือว่าอดจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงคุณธรรมพิเศษ คราวนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีเนื้อเต็มซะแบบนี้ ไม่ชอบใจ เมื่อมองเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรก็จำได้ ท่านโกณฑัญญะซึ่งเป็นหัวหน้า เวลานั้นมีอายุแก่กว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณเกือบ ๓๐ ปี เพราะว่าตอนที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เมื่อท่านประสูติ โกณฑัญญะพราหณ์ ท่านบวชเป็นพราหมณ์แล้ว และเก่งไตรเภท ถึงกับดูลักษณะทายได้ถูกต้อง อายุก็เกือบ ๓๐ ปี ประมาณ ๒๗-๒๘ ปี อย่าคิดว่าท่านเป็นแขกดำมะเมื่อมนะ

- เป็นอันว่าทั้ง ๕ ท่านนี้มีผิวไม่ดำ ท่านเป็นแขกขาวไม่ใช่แขกดำ อย่าลืมว่าแขกมี ๒ พวก คือแขกขาวกับแขกดำ แต่จะถือว่าแขกขาวเก่งทุกคนก็ไม่ได้ แขกดำที่เขาเก่งก็มี ท่านโกณฑัญญะพราหมณ์มีรูปร่างลักษณะสูงโปร่ง คล้ายคลึงพระพุทธเจ้า คำว่าคล้ายคลึงนี่หมายความว่า สูงไล่ๆ กันแต่ต่ำกว่าหน่อย ดูเนื้อจะเห็นเป็นรอยผอมไปนิด เห็นจะเป็นเพราะทรมานกาย ส่วนอีก ๔ ท่าน เป็นพราหมณ์หนุ่ม รู้สึกหน้าตาดีคล้ายกันหมด เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระบรมสุคตเสด็จเข้าไปใกล้ จึงแนะนำการว่า เวลานี้ท่านสิทธัตถะหมดกำลังใจที่จะประพฤติความดี และพวกเราก็หนีมาอยู่ที่นี่เห็นจะลำบากต้องช่วยตัวเอง การมาคราวนี้คงจะหวังความช่วยเหลือจากเรา ฉะนั้นพวกเราอย่าต้อนรับเธอ อย่าปูอาสนะให้นั่ง อย่ารับบาตร อย่ารับสังฆาฏิ อย่าล้างเท้าให้ อย่าทำทุกอย่างที่เคยปฏิบัติ เพราะยังเจ็บใจที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถคลายความเพียร เวียนมาเพื่อความมักมากในอาหาร แต่ทว่าคนที่เคยเคารพกัน จะว่ากันไปอีกทีก็อาศัยบารมีขององค์สมเด็จภวควันต์ก็อาจจะเป็นได้  เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเข้าไปใกล้ ทั้ง ๕ พราหมณ์ก็ลืมอาณัติสัญญาต่างคนต่างปูอาสนะ จัดน้ำใช้น้ำฉัน รับบาตร รับสังฆาฏิ ล้างเท้าให้เป็นอย่างดี...
 
...แต่ทว่าจุดแรกที่องค์สมเด็จองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ประทับนั่งบนท่อนไม้เอาขาห้อย นั่งแบบสบายๆ แบบกันเองไม่ต้องมีลีลาอะไรมาก เพราะมีท่อนไม้ท่อนหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ล้มลงก่อน ไม่ใช่ล้มขณะนั้น แต่ท่านพวกนั้นถึงแม้จะต้อนรับ แต่ก็แสดงความไม่เคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ในตอนนี้บรรดาลูกรักจะต้องคิดนะ ว่าความลำบากของพระพุทธเจ้าที่จะแสดงธรรมเทศนนาว่าลำบากขนาดไหน ขนาดที่คนเขาไม่ชื่อ เขาเกลียด หาว่ามักมากในลาภสักการะ ละโมบโลภมากในอาหาร แต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็จะสร้างศรัทธาให้เกิดกับเขา ลูกลองคิดดูซิ มันสร้างความลำบากสักเพียงใด นี่เป็นความรู้สึกของพ่อ และก็อาจจะมีความรู้สึกของลูกด้วย เพราะเราไม่มีความสามารถเท่าพระพุทธเจ้า แต่ทว่าถ้าดูสภาพของอารมณ์เคลิ้มของพ่อ ที่พ่อนึกถึงลูกว่า ลูกไปเมืองพาราณสี และเป็นเขตที่องค์สมเด็จพระมหามุนีแสดงธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก คือธรรมจักกัปปวัตตนสูตร จิตมันก็เคลิ้มไปถึงพระพุทธเจ้าตอนที่แสดงปฐมเทศนา ตอนนี้ภาพปรากฏกับจิตพ่อ ที่เรียกกันว่ามโนภาพ ก็เกิดขึ้นเป็นระยะตามที่กล่าวมา และในความรู้สึกว่าเวลานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงปริวิตกเหมือนกับที่พ่อคิด พ่อคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงลำบากมาก พราหมณ์เขาไม่เชื่อ ก็พยายามตามไปสอน ค่าจ้างรางวัลก็ไม่มี เมื่อเข้าไปถึงเขาก็ประณามพระองค์ด้วยถ้อยคำที่ไม่เคารพ แต่ในเมื่อเขาพูดจบ...

...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "เวลานี้เราได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว" พอสมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวจบ เขาก็ค้านว่า  "ท่านจะมาพูดอะไร เราไม่เชื่อหรอก ไม่มีใครเขาปฏิบัติ ไม่มีใครเขาอุปถัมภ์ ต้องอยู่คนเดียวทนไม่ไหวในป่าที่เปลี่ยว ต้องออกมาหาที่พึง การที่ท่านเลิกจากการทรมานตน แล้วกลับมากินข้าวจนร่างกายอ้วนพีแบบนี้ จะมาบอกว่ามีส่วนแห่งความดี ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณนี่ ฉันไม่เชื่อ เชื่อไม่ได้ เพราะทำแบบนี้ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล เป็นคนที่มักมากไปด้วยลาภสักการะ"  แทนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรจะทรงท้อถอย เบื่อหน่าย หรือจะโกรธ กลับมีพระมหากรุณาธิคุณ ตรัสง่ายๆ ว่า  "พวกเธอทั้งหลายก่อนที่เราอยู่ด้วยกันมาถึงหลายปี ถ้อยคำอย่างนี้ คือคำว่า บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเธอเคยได้ยินไหม ว่าตถาคตเคยพูดกับเธอเมื่อไรบ้าง" บรรดาท่านพวกนั้นฟังก็ตกใจ นิ่งอึ้งว่าจริงนะ ลักษณะในตอนนั้น  องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ประทับนั่งอยู่บนตอไม้ ห้อยพระบาททั้งสองเอามือวางไว้บนหน้าขาทั้งสอง ดูลักษณะอาการสง่าผ่าเผย การเดินไปตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนบ่าย ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ดูลัการะขององค์สมด็จพระทรงธรรมแล้ว ไม่เห็นมีความรู้สึกว่าเหนื่อยสักนิดเดียว

-------------------------------------------------------

 

- ฉะนั้นการเดินทางไปคราวนั้นต้องใช้อภิญญาช่วยแน่ พระองค์จึงมีพระพักตร์สดใส สดชื่นเป็นปกติ พราหมณ์พวกนั้นก็นั่งคิดกัน และหันไปถามองค์สมเด็จพระภควันต์ว่า วันนี้เดินทางมาจากไหน สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าประมาณ ๑ ใน ๔ ของเวลาเที่ยง จึงได้ออกเดินทาง ถามว่าเดินวันเดียวหรือ ท่านก็บอกว่าไม่เต็มวันหรอก เดินมาสักครู่เดียวมันก็ถึง ถามว่าเหนื่อยไหม ท่านก็ตอบว่า ถ้ายังไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าจะเดินให้ถึงกับเหนื่อย คือเดินใกล้วิ่ง วันเดียวมันก็ไม่ถึง ท่านก็ถามว่า พวกเธอเดินมาจากตถาคตเดินมาใช้เวลาเท่าไรจึงถึง ท่านพวกนั้นก็บอกว่า การมา มาแบบสบายกว่าจะมาถึงที่พักนี่ได้ก็ประมาณ ๗ ราตรี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า นั่นถูกแล้ว ถ้ามากันแบบสบายแบบนั้น แต่ว่านี่ตถาคตมาไม่ถึงวัน เพราะในฐานะที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ บรรดาท่านพวกนั้นแปลกใจ ก็คิดว่าถ้าจะจริงนะ เคยอยู่ด้วยกันตั้งนาน คำนี้ไม่เคยได้ยินเลย ถ้ากระไรก็ดี ในเมื่อองค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสอย่างนั้น ความรักความเคารพเก่าก็คืนตัว ใช้เวลาสนทนากัน เวลาที่พวกนั้นพูดแสดงความไม่เคารพ แต่ว่าสมเด็จพระบรมสุคตก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาว่าไม่พอใจ ปรากฏว่าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรยังสดชื่น ไม่มีอาการสะดุด คือคนที่ไม่ชอบใจนี่ ต้องมีอาการสะดุด ทั้งสิบลูกตามองหน้าพระพุทธเจ้า ไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีอาการสะดุดตรงไหนเลย

- ฉะนั้น ในเมื่อเห็นองค์สมเด็จทรงเฉยๆ มีหน้าตาแช่มชื่น มีอารมณ์สบาย จึงมีความสงสัยว่าเวลานี้ สิทธัตถะราชกุมารคงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ฉะนั้นจึงได้พร้อมยอมรับ ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าเชื่อ ถ้าหากท่านได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณจริงๆ ละก็ ขอได้โปรดช่วยเทศน์สงเคราะห์สักหน่อยเถิด จะได้รับความรู้ในการเป็นพระโพธิญาณของท่าน บรรดาลูกรักทั้งหลายอย่าลืมนะ ว่าการพูดของท่านโกณฑัญญะพราหมณ์จอมฉลาด ที่ให้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถแสดงพระธรรมดทศนาโปรด เราจะถือว่าเชื่อเต็มอัตราน่ะไม่ได้แน่ นี่เป็นการพิสูจน์กันจริงๆ หมายความว่าถ้าไม่เคยพูดก็ใช่ละ แต่เวลานี้มาพูดจะตรงตามความจริงหรือไม่ ก็ต้องรู้กันตอนแสดงพระธรรมเทศนา ถ้าการแสดงพระธรรมเทศนาเป็นไปโดยไร้ประโยชน์ นั่นหมายความว่าท่านทั้ง ๕ จะไม่คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อไป เป็นอันว่าเราก็ต้องมองดูภาพกัน คำว่าภาพอย่านึกว่าพ่อมีอำนาจทิพยจักขุญาณ มันเป็นภาพเลือนตามกำลังใจที่นึกไป รวมความว่าท่านทั้ง ๕ ถ้าตามกำลังใจนี่รู้สึกว่า ตัดสินใจว่าเชื่อไม่เคยได้ยิน สำหรับเรื่องที่จะเทศน์ให้ฟัง ความมั่นใจมันก็ยังมีไม่มากนัก ยังไม่มั่นใจมาก ฉะนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเทศน์ก็ค้านกับความรู้สึกแห่งความเป็นจริง เดี๋ยวก่อนลูกรัก ทั้งชายและหญิง..   

 ..พระพุทธเจ้าเวลาที่จะเทศน์ ท่านไม่ได้นั่งอยู่บนตอไม้หรือขอนไม้หรอกนะ เมื่อตกลงกันแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเทศน์ ท่านอัญญาโกฑัญญะ กับท่านวัปปะก็จัดสถานที่ให้ใหม่ ขอให้นั่งที่โคนไม้ ไม้มีรากอยู่ข้างล่าง รากวนมาวนไป มีสภาพเหมือนแท่น ท่านก็จัดที่ให้เรียบ เอาอาสนะไปปู คือผ้าเท่าที่จะหาได้นั้นเอง ในป่าอะไรจะว่าแก้วๆ ไปซะหมด ประเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหาว่าในป่านี้รวยแก้ว พระแท่นแก้ว รัตนบัลลังก์ รัตนแปลว่าแก้ว รัตนบัลลังก์ หมายถึงบัลลังก์แก้ว ในป่าจะไปหาที่ไหน ถ้าแก้วแปลว่าดีใช้ได้ จะเอาเนื้อแก้วแท้ๆ ใช้ไม่ได้ ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าประทับนั่ง เวลานั้นทรงนั่งพับเพียบหรือว่านั่งสมาธิ เอ้าใครตอบ พ่อพูดไปก็เอาใจนึกตามไปด้วย ....

...พระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งพับเพียบ เสด็จประทับนั่งขัดสมาธิ ขัดแบบสบายๆ เราเรียกว่าขัดสมาธิสองชั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงกายตรง นั่งหลังตรง เห็นหรือเปล่า สวยสง่างามมาก ท่าทางผึ่งผาย ว่าท่านทั้ง ๕ นั้น เวลานั่ง นั่งพับเพียบหรือกระโหย่ง ไม่ใช่พับเพียบ นั่งแบบกระโหย่ง จะถือว่านั่งแบบยองๆ ก็ไม่ชัด จะว่านั่งคุกเข่าทีเดียวก็ไม่ใช่ นั่งกระโหย่งพนมมืออยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ในที่สุดลงนั่งพับเพียบตามระเบียบปฏิบัติแห่งการฟังของพราหมณ์ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ก็คือเทศน์กัณฑ์แรกที่เราเรียกกันว่า ธรรมจักร ธรรมจักรเป็นเทศน์หักล้างความรู้สึกของพราหมณ์เดิม โดยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถือเอาใจความว่า...

...อันดับแรก พระองค์ก็ทรงยกเรื่องการปฏิบัติของพราหมณ์ขึ้นมาพูดก่อนว่า การปฏิบัติของพราหมณ์ตามรูปเดิม ปฏิบัติมาไม่ถูกไม่ต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล ทั้งนี้เพราะตถาคตได้ทดลองมาแล้ว อย่างที่พวกเธอเห็นการทรมานตน ตถาคตทำมาแล้ว และทำยิ่งกว่าคนอื่นที่จะพึงทำ เธอทั้ง ๕ ก็เห็นแล้ว แม้ตถาคตจะลุกขึ้นก็เซร่างกายเกือบทรงไม่ไหว เอามือลูบไปตามร่างกายทีอาหารไม่พอจะเลี้ยง ประสาทต่างๆ ไม่มีโอกาสจะเลี้ยง ขนก็หลุดตามมือ แต่ว่าการปฏิบัติอย่างนี้เป็นการเคร่งเครียดไป เป็นการทรมานตนไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล...

...และอีกอันหนึ่งสำหรับการปฏิบัติที่จะได้บรรลุมรรคผลก็คือความอยากที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ปฏิบัติไปด้วยมีความสนใจในกามคุณ ๕ ก็ดี หรือว่ามีการอยากได้มรรคผลต่าง ในขณะปฏิบัติก็ดี อย่างนี้ถือว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตไม่มีกำลัง ถ้าจะให้จิตมีกำลังจริงๆ ต้องเว้นเหตุ ๒ ประการนี้เสีย เวลาปฏิบัติอย่าทำให้ถึงขั้นทรมานตน คำว่าทรมานตนคือ ตัวลำบากเกินไป เครียดเกินไป นั่งนานเกินไป ที่นั่งว่า อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติอยู่ในเขต ๔ ประการได้ คือนั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้...

(ลุง.ศ ว่าเหมือนฟังการถ่ายทอดสด การแสดงพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร จากป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ณ กรุงพาราณสี ในสมัยพุทธกาลเลยครับ ลุง.ศ ว่าท่านเทศน์ง่ายๆ เหมือนจะเราบรรลุธรรมตามท่านเลย ไม่เชื่อลองตั้งใจฟัง-ดู สิครับ)

- "จงอย่าลืมว่าเราฝึกฝนกันที่ใจ เรื่องร่างกายนี้ไม่มีความหมาย กายมันเป็นที่อาศัยของใจ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีขึ้นมาได้ หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ปากก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าใจเลว ปาก็พูดเลว กายก็ทำเลว ฉะนั้นเวลาที่ฝึกจะต้องใช้มัชฌิมาปฏิปทา คือทำปานกลาง หมายถึงทำแบบสบายๆ อารมณ์ฝืนทางกายอย่าให้มี ปล่อยกายมันตามปกติ มันอยากจะนอนก็ให้มันนอน มันอยากจะนั่งก็ให้มันนั่ง มันอยากจะเดินก็ให้มันเดิน มันอยากจะยืนก็ให้มันยืน การเดินเป็นการบริหารร่างกายทำให้ท้องไม่ผูก ใจทรงอารมณ์เข้าไว้ เวลาที่ใจทรงอารมณ์ของความดีก็ต้องดูกำลังใจด้วย เพราะว่าใจของเราคบหาสมาคมกับนิวรณ์ ๕ ประการมานาน นับเป็นแสนกัป หรือนับเป็นอสงไขยๆ กัป มาอยู่เดี๋ยวเดียวเราจะให้มันทรงตัวก็แสนยาก เราจะต้องฝึกฝนด้วยความลำบาก เพราะอารมณ์เคยชินของจิตเป็นอย่างนั้น จิตมันคิดเหนือขอบเขตต่างๆ มันก็คิดไปรอบๆ มีเหตุผลไม่มีเหตุผลมันก็คิด อยู่เฉยๆ มันก็คิด สถานที่อยู่สบายมันก็คิด คิดกันคนละแบบ มันเป็นอารมณ์คิด แต่อารมณ์คิดของพวกเธอนี่ โดยปกติก็มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า เราต้องการจะทรมานทั้งกายก็ดีทั้งใจก็ดีให้เพลีย เมื่อมันเพลียแล้วมันก็ไม่รับอารมณ์ของความชั่ว คืออารมณ์ของอกุศล คิดว่าอารมณ์ที่เป็นกุศลจะมาจากการเพลียของกายและใจ อันนั้นไม่ถูก กายก็ดีใจก็ดีที่มีอาการเพลียมาก กำลังต้านทานของอารมณ์อกุศลก็จะไม่มีเหมือนกัน สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คืออกุศล นั่นหมายความว่า ถ้ามันปวด มันเมื่อยขึ้นมา ความเบื่อหน่ายมันจะเกิด อารมณ์ฟุ้งซ่านมันจะมี มันก็จะมานั่งคิดว่า ถ้าเรากินข้าวมากๆ ก็จะดี จะไม่หิวอย่างนี้ และแรงจะไม่หมดแบบนี้ เราอยู่กับสามีภรรยาก็ดี จะมีคนปฏิบัติ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ตรัสว่า นั่นมันเป็นความเข้าใจผิดของพราหมณ์ และก็ถือกันมานานดึกดำบรรพ์ เข้าใจว่าเป็นของดี แต่ความจริงมันก็ดีหน่อยหนึ่ง แต่ก็ดีไม่มาก ดีที่ยกตนออกจากกามเข้ามาอยู่ในป่า แต่ทว่าก็เหมือนกับไม้ในป่านั่นแหละ เหมือนกับท่อนไม้ที่มียาง ซุ่มไปด้วยยางและแช่น้ำ นั้นมีอุปมาเหมือนกับคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านไม่ใช่นักบวชและก็ยังอยู่ในกามคุณ มีผัวเมียกัน มีความต้องการในด้านของความรักระหว่างเพศ ด้านของความโลภ ด้านของความโกรธ ด้านของความหลง อันนี้เหมือนท่อนไม้ที่ชุมไปด้วยยางและก็แช่น้ำ สำหรับพวกท่านมีสภาพเหมือนกับไม้ที่ชุ่มไปด้วยยาง แต่แยกออกจากน้ำแล้วคือบวช ยกมาให้พ้นจากสภาพของการแช่น้ำ แต่ทว่าจิตใจยังอยู่ในขั้นอัตตกิลมถานุโยค คือทรมานตก็ดี และกามสุขัลลิกานุโยคก็ดี ถือว่าไม้นั้นยังชุ่มไปด้วยยาง ยางไม่ได้แห้งไป  เพราะว่ากำลังใจตก เพราะการทรมานตน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้แน่นำว่า เธอต้องปฏิบัติตามสายกลางๆ แบบสบายๆๆให้อารมณ์เป็นสุข แต่ต้องมีอารมณ์ฝืนจากอารมณ์เดิมที่เราต้องการ คือการทรมานต้องฝืน ต้องการให้ชุ่มไปด้วยยางนี่ต้องฝืน แต่ความจริงพวกกามนี่เธอไม่มีแล้ว การที่จะไปนึกถึงอยากมีลูก มีเมีย เขาไม่มี เขาเคร่งครัด แต่ว่าอยากอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างนี้ให้ได้มรรคได้ผล เป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่น อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของกาม จงทิ้งไป

- เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเทศน์ไป ท่านพวกนั้นก็นั่งฟัง ฟังไปอารมณ์มันก็ตีกันกับการรับคำสอนจากของเดิมว่า มีการทรมานเป็นสำคัญ แต่สมเด็จพระภควันต์กลับมาบอกให้เลิกเสีย ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า อันไหนมันแน่กันหหนอ อารมณ์มันก็ตีกัน ตอนนี้อารมณ์ฟุ้งก็เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ต่อไปว่า "ผลการปฏิบัติของความดีต้องใช้มรรค ๘ ประการเข้าช่วย มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ และสัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ เป็นปริโยสาร ก็หมายความว่า ทรงศีลให้ดี ทำใจให้มั่นคง รู้จักผลแห่งการตัดขันธ์ ๕ เพราะขันธ์ ๕ เป็นปัจจัยของความทุกข์"  หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยก อริยสัจ ว่า  "ความทุกข์ทั้งหมดที่มีเพราะอาศัยกายเป็นเหตุ ถ้าไม่มีร่างกายแล้ว อะไรมันปวด อะไรมันเมื่อย ที่เราปวด เราเมื่อยเพราะร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดกับกายไม่ได้เกิดกับใจ ความหิวกระหายมันเกิดจากกาย ความแก่มันเกิดจากกาย ความหนาวความร้อนมันเกิดจากกาย เป็นอันว่ากายเป็นปัจจัยของความทุกข์ ทุกข์ในที่นี้มีอะไรเป็นเหตุ กายมันมีมาได้ก็เพราะอาศัยเหตุ ไม่มีเหตุให้เกิดกาย กายมันก็เกิดไม่ได้"   สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า  "กายนี้มันจะมีขึ้นมาได้เพราะอาศัยตัณหา กายที่เป็นเหตุของความทุกข์ เป็นเครื่องรับทุกข์ กายก็เหมือนเครื่องรับวิทยุ เขาส่งคลื่นมาทางไหนมันก็เข้า ทุกข์ก็มาจากที่อื่น แต่มาชนกายเข้า คนอื่นเด่าเขาว่ามา หูของกายมันก็รับ กลิ่นเหม็นเข้ามา จมูกของกายมันก็รับ รูปร่างลักษณะท่าทางที่ไม่พอใจเกิดขึ้น ตาของกายมันก็รับ ความหนาวความร้อนเข้ามา ผิวของกายมันก็รับ รสอาหารอร่อยหรือไม่อร่อย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ลิ้นของกายมันก็รับรส รวมความว่า กายเป็นเป็นหน้าที่รับทุกข์ ฉะนั้นเราจะทำลายทุกข์ให้พ้นไป และก็ไม่มีกายขึ้นมาได้ก็ต้องทำลายตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ ตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ นั่นคือสมุทัย คำว่าสมุทัย ตัวเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้แก่ตัณหา ๓ ประการ คือ
๑. อารมณ์อยากได้ในสิ่งที่ไม่มี อยากให้มีขึ้น
๒. สิ่งที่มันมีขึ้นแล้ว ก็ตะเกียกตะกายป้องกันไม่ให้มันทรุดโทรม
๓. พอทรุดโทรม จะพัง ก็ป้องกันไม่ให้ฟัง ในที่สุดป้องกันไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์ ...

...ฉะนั้นเราต้องตัดจุดนี้ การตัดด้วยอริยมรรค คือสัมมาทิฏฐิ ตัวปัญญาความเห็นชอบ และก็สัมมาสมาธิเป็นตัวสุดท้าย ตั้งใจไว้ชอบ การตั้งอารมณ์เป็นของสำคัญ ถ้าอารมณ์มีความมั่นของจิต การทรงอารมณ์จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ร่างกายสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ถ้ากำลังกายดี ประสาทดี จิตก็มีกำลังดี กำลังกายไม่ดี จิตก็มีกำลังไม่ดี ฉะนั้นก็ควรใช้ทั้งสองอย่าง คือกำลังจิต ในเมื่อร่างกายสมบูรณ์ ได้แก่สมาธิเป็นตัวสนับสนุน สร้างกำลังใจให้มีอำนาจเหนือกว่าความต้องการที่เรียกกันว่าฌานโลกีย์ นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงตรัสว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าร่างกายทั้งชายและหญิงมันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา พังไปในที่สุด เมื่อร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง เน่าเปื่อยไปในที่สุด ขณะทรงตัวอยู่ ร่างกายมีแต่ความสกปรกโสมม หาอะไรดีไม่ได้"   

เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ ทรงชี้เหตุว่า "เหตุอันนี้แหละบรรดาเธอทั้งหลาย ถ้าเธอสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ กิจที่ต้องทำของเธอไม่มีอีกแล้ว" อาศัยที่ท่านทั้ง ๕ ตั้งใจฟังบ้าง และก็คิดไปบ้าง อารมณ์ค้านกันบ้าง เรียกว่าตีกันยุ่ง ของเก่าไปอย่างหนึ่ง ของใหม่ก็มาอีกอย่างหนึ่ง เราเคยใช้หม้อดินจะมาให้ใช้หม้อโลหะ เคยใช้เตาถ่านจะมาให้ใช้เตาแก๊สยุ่งกันไปหมด ทั้งนี้อารมณ์มันก็ตีกัน การรับพระธรรมเทศนาจึงไม่สมบูรณ์แบบ เป็นอันว่าเมื่อเทศน์จบ รู้สึกว่า ๕ ท่านมีอารมณ์ต่างกัน ท่านแรกคือท่านโกณฑัญญะพราหมณ์มีความแช่มชื่นในจิตทั้งที่อารมณ์เดิมก็คิดต่อต้าน พอพระพุทธเจ้าเทศน์วาระแรกให้เลิกอัตตกิลมถานุโยค เมื่อเห็นเหตุผลที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเทศน์ แต่ว่ามาเห็นเอาตอนปลาย ใจเริ่มเป็นสุขในตอนปลาย เห็นว่า "จริงหนอการทรมานกายไม่มีประโยชน์ และเทศน์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดเทศน์แบบนี้ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน " ฉะนั้นอาศัยความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระชินวรและความเชื่อมั่นในตอนต้น ตั้งแต่เข้าไปพยากรณ์ลักษณะ แต่ว่าเวลาก็ช้าไปนิดกว่าจะเชื่อเป็นว่าพอเทศน์จบ ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้พระโสดาปัตติผล ส่วนพราหมณ์ทั้ง ๔ ยังไม่ได้อะไรเลย ได้แต่ไตรสรณาคมน์ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพุทธญาณของพระองค์ว่า เวลานี้โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว คำว่าดวงตาในที่นี้หมายถึงปัญญาทราบเหตุทราบผล เป็นอริยชนเบื้องต้นคือพระโสดาบัน เพียงเท่านี้เพราะผลงานนี้เป็นเรื่องสำคัญ

     องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงดีพระทัย ว่าการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์นี้ไซ้รไม่ไร้ผล แม้การเทศน์ครั้งแรกจะได้ผลเพียงหนึ่งคน และก็ได้ผลไม่เต็มที่ ไม่เป็นไร เพราะต้องการผลอย่างเดียว เหมือนกับเราปลูกดอกไม้ต้นไม้นั่นแหละ ปลูกตั้งร้อยต้น พันต้น มันมีผลสักต้นเราก็ชื่นใจฉันใด พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็เหมือนกัน เทศน์กัณฑ์แรกก่อนจะเทศน์ก็เกี่ยงกันซะย่ำแย่ แต่พอเทศน์จบ ในเมื่อมีผล ก็เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระทสพลดีพระทัยมาก ถึงกับเปล่งอุทานวาจาว่า "อัญญาสิ วัฑโพโกณฑัญโญ อัญญาสิ วัฑโพ โกณฑัญโญ" แปลเป็นใจความว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ความจริงท่านโกณฑัญญะเดิมทีท่านชื่อโกณฑัญญะเฉยๆ ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทานวาจาอย่างนั้น ฉะนั้น อัญญาสิ   จึงต่อหน้าชื่อของท่าน ภายหลังท่านทั้งหลายจึงเรียกท่านอัญญาโกณฑญญะ อันนี้เป็นพระนามที่ได้จากการเปล่งอุทานวาจาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...

    ...และต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม อีกไม่กี่วันก็ปรากฎว่าทั้งหมดได้บรรลุมรรคผล คือ พระอรหันต์ทั้งหมด ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตเมื่อทราบว่าทุกท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทราบว่า อารมณ์พระอรหันต์มีความต้องการอย่างเดียว ต้องการให้คนทั้งโลกมีความสบาย สบายแบบไหน ท่านจะไปแจกเงินแจกทอง ท่านไม่มีเงิน ไม่มีทองจะแจก แต่ว่ากันจริงๆ แจกเงินแจกทองมันก็สบายไม่จริง แต่มันเป็นความสุขเฉพาะหน้า ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงมีพระพุทธดำรัสว่า  "เวลานี้ เธอทั้ง ๕ กิจที่จะพึงทำไม่มีอีกแล้ว กิจที่พึงจะทำ เธอทำได้แล้ว และก็จบแล้ว กิจอื่นจากนี้ไม่มี" หมายความว่า  กิจที่จะทำให้เกิดมรรคเกิดผล นอกจากความเป็นอรหันต์แล้วไม่มีอีกแล้ว เป็นพระอรหันต์ก็จบกันที แล้วสมเด็จพระมหามุนีจึงได้มีพุทธฏีกาตรัสว่า "พวกเธอทั้งหลายจงช่วยกันไปประกาศพระศาสนา สอนให้คนมีความเข้าใจ" บรรดาลูกรักทั้งหลายอาจจะคิดว่า ไม่ได้เรียนอะไรกันมาเลย แล้วจะไปสอนกันยังไง ทั้งนี้ พ่อก็ขอให้ลูกทุกคนดูตัวของตัวเอง ว่าพอลูกทุกคนฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่เคยศึกษาเรื่องราวของพระสงฆ์มาก่อน ไปดูใจลูกเองว่ามีความรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง นี่แหละธรรมะขององค์สมเด็จพระชินวร เมื่อได้แล้วก็เกิดปัญญา เหมือนเราไม่เคยไปอินเดีย พอไปอินเดียก็รู้ว่า กรุงราชคฤห์อยู่ที่ไหน พาราณสีอยู่ที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น ข้อนี้ฉันใด ธรรมะขององค์สมเด็จพระจอมไตรถ้าบรรลุมรรคผล ทุกคนมีความเข้าใจ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ส่งไปประกาศศาสนา และทรงบอกว่า  "ทางหนึ่ง หรือสายหนึ่งไปองค์เดียวนะ อย่าซ้ำกันสององค์ ช่วยแยกกันไปสอน" นับเป็นพระอรหันต์ชุดแรกในพระพุทธทศาสนา..        

    ตอนนี้ขอให้ลูกสังเกตุให้ดีนะ ว่าทำไมท่านปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ติดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้น และเวลาที่องค์สมเด็จพระทศพลแสดงธรรมเทศนาโปรด ทุกท่านน่าจะเป็นอรหันต์ทันที เหมือนกับคนอื่นทั้งหลายที่ไม่ได้ติดตามพระพุทธเจ้ามาก่อน แต่พอองค์สมเด็จพระชินวรณ์เทศน์จบ อย่างเลวชาวบ้านก็ได้พระโสดาบันบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณกันไปหมด และสำหรับทั้ง ๕ องค์ที่ติดตามองค์สมเด็จพระบรมสุคตมานาน แต่ว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารเทศน์ในตอนแรก พอจบท่านโกณฑัญญะได้พระโสดาบัน อีก ๔ องค์ไม่ได้อะไรเลย ได้แต่เพียงไตรสรณาคมน์ หรือว่าได้แต่เพียงสรณาคมน์เท่านั้น สรณาคมน์ แปลว่า การเข้าถึง ได้ที่พึ่งคือยอมรับนับถือ ขอบรรดาลูกรักอย่าลืมว่า พราหมณ์ทั้ง ๕ มีความไม่พอใจในองค์สมเด็จพระจอมไตรมาก่อน ว่าสมเด็จพระชินวรละจากการทรมานกาย เขาถือว่าไม่เป็นเหตุบรรลุมรรคผล เมื่อองค์สมเด็พระทศพลมายืนยันก็ยอมรับ แต่ว่าการยอมรับ ก็ยังรับไม่ได้เต็มตัว คือรับไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์ เอาแต่เพียงว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนในลักษณะการพูดอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระมหามุนีทรงยืนยัน ก็จะฟังเทศน์ การฟังเทศน์ครั้งนี้พ่อถือว่าเป็นการทดลอง ทดสอบความจริงกัน เชื่อก็มีส่วนเชื่ออยู่บ้างว่าไม่เคยพูดและตอนนี้มาพูด พูดตอนมีแรงก็ไม่แน่นักสำหรับคนจะหลอกลวงกัน จัดว่าเป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อเบญจวัคคีย์ ฤาษีทั้ง ๕

-------------------------------------------------------

    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วยังไม่เสด็จไปเทศน์โปรด บรรดาพระยูรญาติมีสมเด็จพระราชบิดา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบอุปนิสัยของหมู่ญาติทั้งหลายว่า มีทิฎฐิมานะแรงมาก เพราะว่าการที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเทศน์โปรดจะมีมรรคมีผลก็ต้องอาศัยคนที่รับฟังมีศรัทธา ความเชื่อ และมีก็ปสาทะ คือความเลื่อมใสเสียก่อน ถ้าขาดศรัทธา ความเชื่อ ปสาทะ ความเลื่อมใส ถึงแม้องค์สมเด็จพระจอมไตรจะเทศน์โปรดเท่าไรก็ไม่มีมรรคไม่มีผล

     ฉนั้น การที่องค์สมเด็จพระทศพลจะเทศน์โปรดใครจึงได้ทรงอาศัยตรวจดูด้วยพุทธญาณเสียก่อน ถ้าบุคคลใดตกอยู่ในข่ายพระญาณขององค์สมเด็จพระชินวรเมื่อใด ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงจะไปเทศน์โปรด   ฉะนั้น การเทศน์ของพระพุทธเจ้าจึงไม่เหมือนการเทศน์ของพระสมัยปัจจุบัน ซึ่งการเทศน์ของพระในปัจจุบันนี่ไม่ได้พิจารณาคนอย่างหนึ่ง หรือถ้าเปรียบก็เหมือนหมอใช้ยาหม้อใหญ่ ใครเป็นโรคอะไรก็กินยาหม้อนั้น ถ้าบังเอิญโรคไปตรงกับยาเข้ามันก็หาย แต่ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคมักจะไม่ตรงกับยาที่ต้มให้  ฉะนั้นโรคจึงไม่หาย  ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การเทศน์ของพระสงฆ์ในสมัยปัจจุบันส่วญใหญ่มักจะเป็นการเทศน์ตามประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีงานศพ งานบวชนาค งานทอดกฐิน ก็นิมนต์พระไปเทศน์ เรื่องเทศน์ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือเทศน์งานศพ ซึ่งรู้สึกว่าจะเป็นประเพณีมากเกินไป ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะสิ่งที่น่ารำคาญใจก็คือว่า "ถ้าพระยังไม่ไปเทศน์ แกก็ยังไม่ทุบน้ำแข็ง ถ้าพระเริ่มเทศน์เมื่อไร เจ้าหน้าที่ฝ่ายน้ำแข็งก็เริ่มทุบน้ำแข็งบนศาลาเมื่อนั้น เป็นอันว่าเสียงพระเทศน์ กับเสียงทุบน้ำแข็งมันดังไม่เท่ากัน คนผู้รับฟังก็ฟังเสียงทุบน้ำแข็งไปก่อน"
...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเวลาจะไปเทศน์โปรดใคร นอกจากจะทรงทราบอุปนิสัยของคนแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพิจารณาด้วยว่า การเทศน์คราวนี้เราจะเทศน์เรื่องอะไร จึงจะมีมรรคมีผลแก่บุคคลผู้ฟัง...
...เป็นอันว่าในตอนต้นที่องค์สมเด็จพระทศพลยังไม่ไปโปรดหมู่พระยูรญาติ เพราะหมู่พระประยูรญาติเป็นคนมี ทิฏฐิมาก ฉะนั้นพระองค์จึงวนเวียนอยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์ กับ เมืองพาราณสี...
     ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณได้ ๕ ปี พระราชบิดาและหมู่พระประยูรญาติที่มีความเลื่อมใสได้ทรงทราบข่าวว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และสอนบุคคลทั้งหลายที่รับฟังพระธรรมเทศนาของท่าน ต่างคนต่างก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก ก็ตั้งใจคอยอยู่ว่า เมื่อไรหนอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ครั้นเมื่อจอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช คอยมาสื้น ๕ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่เสด็จไป ก็ร้อนพระทัย ว่าจะต้องอาราธนาองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร

    ดังนั้นจอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช จึงส่งอำมาตย์คนหนึ่งพร้อมบริวาร ๑ พันคน ให้มากราบทูลอาราธนาสมเด็จพระทศพลไปเทศน์โปรดที่กรุงกบิลพัสด์  เวลานั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหารในกรุงราชคฤห์มหานคร  เมื่ออำมาตย์กับบริวารมาฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วแสดงพระธรมเทศนาโปรด เมื่อจบแล้ว มหาอำมาตย์พร้อมด้วยบริวาร ๑ พันคน ก็บรรลุอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธสาสนา ขอบวช แล้วก็ลืมคำสั่งของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ตอนนี้ก็สงสัยเหมือนกันว่า ท่านลืมเอง หรือ พระพุทธเจ้าใช้พุทธปาฏิหารย์ให้ลืม
     เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชเห็นอำมาตย์และบริวารหายไปประมาณ ๑ เดือนไม่กลับ จึงได้จัดส่งอำมาตย์ประเภทนั้นพร้อมบริวาร ๑ พันคน มา ๒-๓ คราวด้วยกัน ทุกคราวท่านทั้งหมดก็บรรลุอรหันต์หมด แต่ก็ไม่มีพพระองค์ใดทูลอาราธนาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร
     พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ร้อนพระทัยว่า ส่งไปทีไรก็ไม่กลับมาสักที จึงได้เรียกอุทายีซึ่งเป็นสหชาติ (เกิดวันเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทั้งหมดมี ๑ พันคน พระเจ้าสุทโธนะสืบทราบนำมาเลี้ยง ให้เป็นเพื่อนกับพระสิทธัตถะกุมาร) ท่านอุทายี เวลานั้นเป็นอำมาตย์ใหญ่ เข้ามาเฝ้า พระเจ้าสุทโธทนะก็สั่งว่า "อุทายี ฉันส่งคนไปอาราธนาองค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้งละพันหลายครั้งแล้ว หายไปหมด แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคต และใครๆ ที่ส่งไปก็ไม่กลับมา ถ้าเช่นนั้นแล้วละก็ ไหนๆ เธอเป็นสหชาติเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอจงพาบริวารไปพันคนไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพล แล้วกราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดามากรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ท่านอุทายีก็ไป
     เมื่อท่านอุทายีเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวรในพระเวฬุวันมหาวิหาร  ตอนนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรด ปรากฏว่าท่านอุทายีและบริวารพันคนต่างคนต่างก็เป็นพระอรหันต์ จึงพากันขอบวชในสำนักขอองคืสมเด็จพระภควันต์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตโดยเปล่งพุทธวาจาว่า "เอหิภิขุ" แปลว่าเจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด....     
     เมื่อพระอุทายีบวชแล้วก็คอยหาโอกาสที่จะกราบทูลอาราธนา อยู่มาวันหนึ่งโอกาสมีแล้วแทนที่ท่านจะกราบทูลอาราธนาโดยตรงว่า เวลานี้พระราชบิดามีพระประสงค์จะอาราธนาพระพุทธองค์ไปกรุงกบิลพัสดุ์ แทนที่จะกล่าวอย่างนี้ท่านกลับใช้ลีลาอย่างหนึ่ง ก็กราบทูลพรรณาภูมิประเทศระหว่างทางจากกรุงราชคฤห์กับกรุงกบิลพัสดุ์ว่า ระยะทางที่ผ่านมาประมาณ ๖๐ โยชน์ ( ๑๖ กิโลเมตร = ๑ โยชน์) เป็นหนทางที่น่ารื่นรมย์ น่าชมอย่างยิ่ง เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับทราบว่า พระอุทายีต้องการกราบทูลอาราธนาพระองค์ไปกรุงกบิลพัสดุ์
     ฉะนั้น พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า "อุทายี ดูก่อน อุทายี การพรรณาระหว่างทางของกรุงราชคฤห์มหานคร กับ กบิลพัสดุ์ ว่าเป็นสถานที่ร่มรื่น น่าชื่นชมในการทัศนาจร อันนี้เราทราบว่าเธอต้องการนิมนต์ตถาคตไปกรุงกบิลพัสดุ์ ถ้าอย่างนั้นละก็ตถาคตจะไปพร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก แต่ก่อนที่ตถาคตจะไปเธอจงพาบริวารของเธอพันกว่าองค์ล่วงหน้าไปก่อน ไปทำให้จอมบพิตรอดิศรและพระประยูรญาติให้เกิดศรัทธา"  พระอุทายีก็ปฏิบัติตาม
    ต่อมา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๒ หมื่นองค์เศษ ติดตามไปด้วย ระยะทาง ๖๐ โยชน์ พระพุทธองค์เสด็จไปวันละ ๑ โยชน์ ก็ทรงค้างแรม จึงใช้เวลาถึง ๖๐ วัน ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้พระอุทายีไปสร้างศรัทธาก่อน เพราะหมู่พระประยูรญาติมีทิฏฐิมานะมาก ถ้าใครเป็นเด็กกว่าละก็ไม่ยอมไหว้

ความเห็น

ลงพุทธประวัติ เพื่อให้เพื่อนสมาชิกอ่านเล่นในช่วงวันวิสาขบูชา จะมีเฉพาะช่วงตรัสรู้ จนถึงปรินิพพาน เป็นพุทธประวัติที่เล่าโดยพระอรหันต์ระดับปฏิสัมภิทาญาณ บางตอนอาจจะไม่เหมือนหนังสือที่เคยเรียนมาบ้าง พระอรหันต์ไม่โกหก แต่ผู้พิมพ์อาจจะพิมพ์ผิด ๕๕๕

ก็อ่านไปเยอะค่ะ   เจอข้อมูลยาวๆ  ตาลาย  ปกติก็เป็นคนชอบธรรมะค่ะ   ทำสมาธิ   ทำที่วัด  หรือที่บ้านก็ได้  

ข้อมูลยาวๆ ส่วนมากผมก็จะไม่อ่านเมื่อเปิดเน็ต ผมก็จะ copy ลงเครื่องไว้อ่านภายหลังครับ

อนุโมทนา กับการนำธรรมะ มาให้อ่านเป็นธรรมทานครับคุณ dang 6652

เข้าใจว่าเล่าโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

เมื่อก่อนผมเคยฟังเทศน์ท่านบ่อยๆ และหลายกัณฑ์ครับ

เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น

อ่านในพระไตรปิฎกแน่นอนที่สุด ไม่เป็นความคิดเห็นของใคร และผิดพลาดน้อยที่สุด