พอเพียง...
"ความพอเพียงคืออะไร แล้วอะไรหละหรือคือ ความพอเพียง" ตอบยากนะครับ....
แต่สำหรับผม หากมองในเชิงปรัชญาแล้ว การไม่เบียดเบียนตนเอง และไม่เบียนเบียนผู้อื่น ก็ถือเป็น”ธรรมแห่งความพอเพียง”นั่นแล้ว
ในประเทศอันเปี่ยมสุข ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมสมบูรณ์ ที่ประชาธิปไตยเดินคู่กับเทวธรรมราชาธิปไตย เยี่ยงนี้..
คงไม่ขัดข้องอันใดหากผมจะนำ คำว่า “มัชฉิมาธรรม” มาสอดรับจับพ้องกินดองกับ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
ความพอเพียงจึงกว้างและถางความหมายไปได้อย่างไม่มีข้อจำกัดใด..สำหรับนักแสวงหา
ความพอเพียงจึงไม่มีจุดเริ่มต้นว่าเมื่อไร ทำได้เลยทันที มิต้องรอวันหลังเกษียณ
ความพอเพียงไม่เป็นอันที่สิ้นสุด ต่อยอดทอดสืบไป แม้สิ้นสุดลมหายใจของตัวเอง
พอเพียงแต่ละคนมีเท่ากันไหม...ตั้งเป้าความพอเพียงของตนเองไว้เท่าใดนั้น.... ไม่ขอตอบแทน ตอบกันเอาเอง
“เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าความพอเพียงนั้นไม่มีเป้า...ที่เป็นดรรชนีตัวชี้กลางวัด หากแต่ท่านเป็นคนวัดตัวท่านเอง”
เราหยุดแล้ว...ท่านต่างหากหละที่มิยอมหยุด...หยุดเมื่อไรย่อมบรรลุแก่มรรคผลเมื่อนั้น
ถ้าผมจะตอบว่าความพอเพียงที่สุดแล้ว มีเท่ากันหละ....อาจจะมีผู้รู้เชิงชั้นปราชญ์แทนโต้ มีเถียง(ฮา) และหมายนำเหนอสอนก็ถือเป็นเรื่องน่าชวนยินดียิ่ง
“ถ้าเราคิดว่าความสุขคือการได้อยู่อย่างพอเพียง ความพอเพียงนั้นก็คือหนทาง อันย่อมนำมาซึ่งความสุข เฉกดั่งนั้น เป้าหมายเราก็เหมือนและเท่ากันครับ” ในความคิดผม
ถึงความสุขของคนเราจะมีมากหรือน้อยต่างกันได้ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครจะปล่อยให้ตัวเองสุขจนหมดแก่นสาระของชีวิตหรอก
“จริงๆแล้วชีวิตเรากำลังมองหา ทำอย่างไรไม่ให้เกิดทุกข์(สมุทัย)กันอยู่ต่างหาก ผมว่า...”
“ความพอเพียงคือสิ่ง คือแนวทางอีกเส้นที่น้อมนำให้เราไปสู่จุดนั้น(แนวทางแห่ง อริยสัจ)”
ผมจึงเชื่อว่าความสุขของเราจะใกล้เคียงกัน หากความสุขนั้น เป็นความสุขที่ย้อนกลับมายังหัวข้อที่ว่า “ความสุขกันแบบพอเพียง”
“สุขอย่างไร.............................”
“สุขที่ได้ยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง สุขที่ยืนอยู่ได้ด้วยการแบ่งปัน กันและกันกับคนอื่น”
“สุขที่ได้อยู่อย่างมีความสัมพันธภาพอันดีกับธรรมชาติ”
“ความสุขที่อยู่บนความพอดี สมดุล และยั่งยืน (โอ้...มโนธรรม)”
“การอยู่อย่างสัมพันธ์กับธรรมชาติแตกต่างกันนะครับกับการอยู่แบบสัมผัสกับธรรมชาติ..”
แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะเป็นนักเกษตรพอเพียงก็ตาม (เดี๋ยวหลงแปลงเป็นอย่างสงครามศักดิ์สิทธิ์)....ดีที่หลายท่านเข้าใจ “เพราะปรัชญาเศรษฐกิจความพอเพียงนั้น..คือกระบวนการ วิธีคิดที่ลึกซึ้ง โอนอ่อน พลิ้วไหว ปรับตัว แต่มั่นคง”
มิใช่แค่การอยู่กับไร่ไถ่นา อยู่เชิงเขาแนบเนาเริงไพร
มิใช่แค่การมีที่ดินงามๆ ข้างๆลำธารใส โอบด้วยเนินเขาเงาไม้
มิใช่แค่การปรับสภาพผืนดิน ปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น ประดับประดาด้วยโคมไฟตั้งแนว เป็นแถวจนถึงลานบ้านไม้สัก บ้านปูน หรือขหำมุงจาก ให้สวยงาม
แน่นอน... มิใช่แค่การกินผักปลอดสารพิษที่ผลิตขึ้นเอง
หากอย่างนั้น ก็คืออาการของคำว่าแค่“พอเกือบใช่...แต่ไม่ได้เป็น ตราบเท่าที่เราน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้แค่เพียงพิธีการ แต่ปราศจากกระบวนการ วิธีคิดซึ่งเป็นวิญาณของหลักแท้ หรือคิด แต่ลวกหลวม มิลึกซึ้ง”
มีข้อมูลมากมายที่ปลิวว่อนอยู่ในตำรับตำรา หรือว่าในโลกออนไลท์ที่สามารถเจียดเวลาหาความซึมซึ้งได้ โดยมิต้องมาเขียนใหม่ หนึ่งย่อยในนั้นก็คือ...คิดพัฒนาแบบองค์รวม คิดในแบบองค์รวม “สภาพที่ดำรงของพื้นที่ สภาพธรรมชาติ(ทุนทรัพยากร) สภาพที่ดำรงของภูมิปัญญา(สภาวะทุนของตัวเอง) สภาพการดำรงของท้องถิ่นวัฒนธรรม นิสัยใจคอ(ทุนทางวัฒนธรรม) นั่นคือทุน ต้นทุนสำคัญสุดของเรา ที่เราต้องคำนึงถึงเป็นอย่างแรก ศึกษาและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกมิติ การวางแผนปัจจุบัน อุปสรรค ปัญหาตลอดจนแนวทางแก้ไข และเตรียมพร้อมรองรับผลต่างๆที่จะตามมาในอนาคต อย่างมั่นคง ถาวร และมีสติ ทุกอย่างที่กล่าวมาต้องอยู่ประสานและรองรับ สอดคล้องกันได้อย่างยอมรับและสมดุลย์
ผมสะท้อนความคิดประหนึ่งว่าตนเองคือนักพอเพียงซะเต็มแก่..เปล่าเลย
“ผมก็คือส่วนหนึ่งของกระพี้แห้งๆปลายขอบนอกเปลือกที่ปนเปื้อนของ ต้นความพอเพียงต้นนั้น” และแค่มิอยากให้ใครใช้ความพอเพียงเป็นเครื่องมือวัด ความมีคุณค่าพอเพียงของตัวเองต่อคนอื่นๆ ทั้งที่ๆมีดีกว่าหรือแค่นแค่กระพี้ลางๆอย่างผม
ดังนั้นหากเป็นเพียงแค่การรังสรรค์ปั้นแต่ง แต่เพียงวิธีการโดยขาดรอยต่อแห่งวิธีคิดเป็นระบบ โดยปราศจากการคำนึงถึงหลักความคุ้มค่า หลักประกันแห่งภูมิคุ้มกันที่ดี ขาดหลักการแห่งความมีเหตุมีผล มีคุณธรรมรองรับ โดยเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ จะนำไปสู่ความหมายแบบอย่างของคำว่าพอเพียง นำไปสู่เกษตรพอเพียงต้นแบบ ก็อาจเป็นได้แค่เพียงแต่ รูปแบบในเชิงสัญลักษณ์ที่ปราศจากวิญญาณ
มากกว่านั้น ถือว่านี่คือการอุปโลคตัวเองประหนึ่งเป็นนักพอเพียงตัวฉกาจ ที่ทำจริง เล่นจริง เอาจริง มุ่งมั่น โดยใช้ทุน(เงิน)แต่เพียงมิติเดียวในการสร้างสูตรสำเร็จออกมา มันก็ไม่ต่างไปจากการแค่ ทำตามความฝันของตัวเองให้เป็นจริง
ไม่ต่างไปจากการเป็นแค่เพียงหนึ่งของเรื่องราวแห่งการละเลงคราบ สนองตัณหา สนองความอยากที่จะเป็นนักแสดงตัวอย่างของความพอเพียง เพื่อต้อนรับลมหนาวที่กำลังมาเยือนจนตัวสั่น ก็เท่านั้น
แน่นอนย่อมไม่ใช่ของจริงแต่ประการใด......
- บล็อกของ มานี มานะ วีระ ชูใจ
- อ่าน 6864 ครั้ง
ความเห็น
ย่าวรรณ
18 ตุลาคม, 2010 - 07:00
Permalink
ขอบคุณ..มานะ
ที่ช่วยย้ำเตือน เพียงพอ พอเพียง
คนยอง
18 ตุลาคม, 2010 - 08:45
Permalink
พอเพียง
....เข้าใจครับ
ผมพูดไม่เก่ง แต่รักหมดใจ..(เกี่ยวกันป่าวเนี่ย)
doephuket
18 ตุลาคม, 2010 - 08:54
Permalink
เพียงพอ
ใจผมนะชอบพอเพียงครับ แต่การใชชีวิตจริงไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าตอนนี้กี่ %
ว่าออออ นุ่งกางเกงขายาวสาวไม่ชอบพี่น้องเหอ คนถือจอบมาดแมนนั้นแหละแฟนฉาน นะสาวเหอ
นายปืน
18 ตุลาคม, 2010 - 10:05
Permalink
กิเลส...พอเพียง
ความพอเพียง ถ้าเรารู้ถึงความจริงของความพอเพียง เราก็จะเห็นตัวความพอเพียง โดยไม่ติดยึดกับความพอเพียง แต่มีสติที่จะรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เอง....พูดไปพูดมาก็ชักจะงงๆ
เมื่อจิตสงบ...ก็จะเห็นซึ่งปัญญา
แก่
18 ตุลาคม, 2010 - 10:32
Permalink
ถูกต้องคร๊าบบบ
ถูกทุกข้อ หวนคิดถึงตนเอง พอเพียงแค่กระพี้ มันคงยากที่จะเป็นแก่นจริงๆ เอาว่า แค่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน พอเพียงกับตนเอง ให้คนอื่นบ้างในสิ่งที่เรามีเกินก็พอแล้ว เนาะ ในโลกแห่งความเป็นจริง คงทำยากมาก แล้วใครล่ะที่ทำได้ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์จริงๆ
มานี มานะ วีระ ชูใจ
18 ตุลาคม, 2010 - 11:22
Permalink
แค่หนึ่งสวนจากสี
ทำได้แค่ส่วนเดียวจากสี่ส่วนของชีวิต...ก็พอแล้วครับ
ไม่มีใครผืดหรอกครับสำหรับความพอเพียงนี้...
ถ้าจะมีสักคนก้ผมนี่แหละ...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
witlessness
18 ตุลาคม, 2010 - 13:48
Permalink
พอเพียง...
ขอบคุณครับ สำหรับบ้านสวนพอเพียง
ผมอาจเคยสงสัยว่าพี่เป็นใคร เป็นกวี หรือ นักเขียนที่นั่งรังสรรค์ผลงานอยู่ในสวนยาง แต่พี่เป็นใครก็ช่างคงไม่สำคัญเท่ากับ พี่เป็น "มานี มานะ วีระ ชูใจ" แห่งบ้านสวนพอเพียง
เยี่ยมครับ......
มะโหน่ง
18 ตุลาคม, 2010 - 16:34
Permalink
สำหรับบทความนี้พูดได้คำเดียว
"ขอบคุณ" พี่มานี มานะ ฯ มากๆ ค่ะ อ่านแล้วตรงประเด็นสุดๆ... อยู่อย่างพอเพียง และรู้จักคำว่าเพียงพอดีที่สุด หนูเป็นกำลังใจให้พี่โสด้วยคน อย่าเครียดมากนะจ๊ะ เดี๋ยวหัวล้าน อิอิ
สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี
กิ่ง_พม่าคอนศรี
19 ตุลาคม, 2010 - 12:56
Permalink
มานี มานะ
ขอบคุณที่ทำให้ หันกลับมาดูตัวเอง
หน้า