น้ำตกหน้าบ้าน.....อาหารอารมณ์
“อดีต” .... เขาว่ากันว่า เหมือนกาลเวลา และสายน้ำ ....ผ่านแล้วผ่านไปไม่ย้อนกลับ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว วลีนี้ จริงเพียงครึ่งเดียว กล่าวคือ โดยรูปธรรม วลีนี้จริงแท้แน่นอน แต่โดยนามธรรมแล้ว วลีนี้ยังห่างไกลมาก เพราะภาพแห่งอดีตมากมายยังคงฝังใจอยู่ไม่เลือน เหมือนกำลังเกิดอยู่ ณ บัดเดี๋ยวนี้ มันยังดำผุด ดำว่าย อยู่ในธารแห่งความทรงจำเสมอ โดยเฉพาะอดีตวิถีชีวิตชนบทสมัยเด็ก เมื่อข้าพเจ้ากลับบ้านเกิด(แต่ไม่ใช่เมืองนอน) ทอดสายตาเห็นภาพจริงแห่งปัจจุบันกาล ภาพแห่งอดีตก็ผุดมาซ้อนทับ ดึงอารมณ์ข้าพเจ้าให้กลับไปอยู่ในยุคนั้นแล้วริ้วความสุขมาเยือนโดยไม่ตั้งใจ เผลอยิ้มคนเดียวเสมอๆ จนต้องถามตัวเองว่า “บ้าเปล่า”
หนึ่งในความทรงจำเหล่านั้น คือภาพยามสายใกล้เที่ยง ข้าพเจ้าเดินเข้าครัวคว้าจานตักข้าวจนพูน ราดแกงตามมี แต่ที่ขาดไม่ได้ คือ น้ำพริกแห้ง(น้ำพริกที่ยังไม่บีบน้ำส้ม) แค่นี้ก็ถมถืด
เดินออกมาหน้าบ้าน ส่งสัญญาณอันเป็นที่รู้กันในหมู่ลิงทโมน (ที่จริงไม่ส่งสัญญาณ ก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว) ลงกระได มุ่งไปคลองด้วยใจจดจ่อ ฮึกเหิม สนุกล่วงหน้า ถึงริมคลองเกือบพร้อมกัน วางจานข้าวไว้ก่อน ต่างรู้หน้าที่ ปรี่ไปหาเก็บผัก ยอดจิก ลูกโผละ(มะเดื่อชนิดหนึ่ง) หยวกปุด หยวกกล้วยป่า ดอกกาย ฯลฯ อ้อ.... อีกอย่าง หมานเหรียงที่เพาะไว้บนฝั่งทรายชายคลอง(ของใคร...ไม่รู้...ถอนเพียง 2-3 กำมือ) กินไปเล่นไป อร่อย ออกรส เสร็จแล้วจานจุ่มน้ำปาดล้าง 2-3 ที ร่อนแฉลบไปบนผิดน้ำ(จานสังกะสีเคลือบ) แข่งกันโดยนับจำนวนกระดอนกระทบน้ำ ใครจำนวนมากกว่า ชนะ
หลังปีมหาอุทกภัย 2531 คลองเก่าหายไป คลองใหม่ที่ไร้วังวน ตื้นเขินแทบแห้งขอด แมกไม้ร่มรื่นริมฝั่งหายไป ไม่มีจิกให้เก็บยอดอีกแล้ว ของหวานหลังอาหารอันโอชะ คือมะเดื่อหวานเก็ไม่เหลือ
อดีตเหล่านั้น ผลักดันให้เกิด “น้ำตกหน้าบ้าน“ ไว้สนองอารมณ์ที่ถวิลหา ว่าแล้วไม่รอช้า เข้าครัว คว้าจาน(ครานี้เป็นจานเซรามิค แทนจานสังกะสี) ตักข้าว ตามด้วยน้ำพริกมะขามเปียก ผักจากกล่อง แทนผักริมฝั่งคลอง(พอกล้อมแกล้ม)
เพื่อให้ได้ บรรยากาศ ใกล้เคียง เลยเลือก เดินออกทางประตูครัว ข้างบ้าน ...เออ เข้าท่า.... เหมือนกำลัง เข้าป่า ชมแมก ไม้ ... แท้ที่จริง ก็ มะรุม มะกรูด ส้มจี๊ด ชะมวง พริก ชะพลู ขมิ้น กระชาย และ ไม้ประดับ ที่เด็กๆ นำมา แขวน ให้ดูรกๆ เข้าไว้ แต่ ก็... รก คล้ายป่า แหละ เห็นไหม
เลี้ยวขวาอ้อมไปหน้าบ้าน วางจานข้าวไว้บน Terrace เดินเลยไป เสียบปลั๊ก ให้น้ำไหลด้วยแรงขับของมอเตอร์ ตัวเล็ก เดินอ้อมไปดู จากด้านทางหน้าบ้าน(ทางเข้าที่จอดรถ)
เดินกลับมาแหมะก้น ลงบน Terrace คว้าจานข้าว มาเริ่ม กระบวนการเติมเต็มกระเพาะ บดอาหารไปพลางปล่อยสายตา ไปยังน้ำตกจิ๋ว ที่อยู่เบื้องหน้า ดูน้ำตก และป่า รอบๆ ที่ประกอบด้วย กระพ้อ (กระพ้อจริง ห่อต้มหลายหนแล้ว แต่ปลูกในกระถาง) บุษบาฮาวาย(ไว้เก็บยอดผัด หรือแกงเลียง) ย่านนาง กรรณิการ์(ดอกผึงลมให้แห้ง ชงเป็นชาบำรุงหัวใจ ก้านดอกขยำน้ำทำสีผสมอาหาร) แปะกำปึง.....
ทานเสร็จวางจานลงบน Terrace เลื่อนตัวไปหยิบท่อน้ำ... เปิดก๊อกล้างมือ ตายังไม่ละจากน้ำตก.....
ล้างมือเสร็จ ไม่สนใจจาน(ก็ใช้สมประโยชน์แล้วนี่).......... ยันตัวลุกขึ้น.... เคลื่อนมวลกายเข้าไปใกล้อีกหน่อย.....
อ้าว ..... นั่น.... บ้านใคร?
คงเป็นคนที่รักธรรมชาตินะ ไม่งั้นไม่ขึ้นมาซะไกลขนาดนี้
ขยับเข้าใกล้ เผื่อเจอเจ้าของบ้าน เอ๊ะ......ไม่อยู่.... ไปไหน...หว่า...
กวาดสายตาหาไปทั่วๆ .............
อ๊ะๆ...อยู่นั่นเอง ใครกันหนอ... ขอดูหน้าหน่อย.......
อ้อออ......
ฮาาาาาาาา ...... หะๆๆๆๆ
หลงฟัง...เฒ่าทารกเพ้อเจ้ออยู่ซะนาน
ไปละนะ จะไปเที่ยวน้ำตกจริงๆ ที่สุราษฎร์ฯ
- บล็อกของ paloo
- อ่าน 7173 ครั้ง
ความเห็น
paloo
22 พฤศจิกายน, 2010 - 11:37
Permalink
เป็นกำลังใจ
ขอบคุณที่ให้ สว. ได้เล่าความหลัง แถมให้กำลังใจ
หน้า