การปฏิวัติเขียว(The Green Revolution)
การปฏิวัติเขียว(The Green Revolution) ผมได้คัดลอกจากคำนิยม ในหนังสือ "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ทางออกของของเกษตรกรรมและอารยมนุษย์" ด้วยความตั้งใจว่าจะให้สมาชิกบ้านสวนพอเพียงได้ทราบที่มาที่ไปของปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาสุขภาพของคนเราที่เป็นอยู่ทุกวัน ผมพิมพ์ไว้หลายวันแล้วแต่ยังไม่เอาขึ้น รอการตอบรับอนุญาตจากสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทองเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่รอหลายวันแล้วก็ไม่มีเสียงตอบรับ เอาเป็นว่าผมเอาขึ้นเลย และเขียนอ้างอิงที่มาที่ไปทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้กับสมาชิก ไม่ได้ทำเพื่อการค้า
##########################
การปฏิวัติเขียว(The Green Revolution) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรศที่ 6 คือประมาณ 30 ปืที่ผ่านมานี้ โดยเริ่มจากเทคโนโลยีการผลิต เช่นการผสมพันธุ์พืชสัตว์ที่ให้ผลผลิตสูง การใช้สารเคมีชนิดต่างๆ เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นๆ เช่นด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ตลอดจนสุขภาพอนามัย และระบบนิเวศวิทยาของโลก
จุดเด่นของการปฏิวัตเขียวอยู่ที่การนำเอาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี มาเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตสินค้าเกษตรอย่างได้ผลชัดเจน อย่างเช่นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของพันธุ์ข้าว "มหัศจรรย์" ต่างๆเป็นต้น แต่จุดอ่อนของมันคือละเลยต่อผลกระทบด้านอื่นๆ เช่นสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาซึ่งมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนเป็นอย่าง ยิ่ง
โดยอาศัยเงื่อนไขต่างๆ เช่นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในที่สุดระบบการเกษตรในแนวทาง "ปฏิวัติเขียว" ก็กลายเป็นนโยบาบหลักของแทบทุกประเทศ และประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเกษตรกรต่างถูกชักจูงให้ยอมรับระบบการเกษตรดัง กล่าวด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งผ่านระบบการศึกษาและสื่อสารมวลชลนานาชนิด จนกระทั่งกลายเป็นกระแสหลักของระบบการเกษตรในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุป ระบบการเกษตรปัจจุบันตั้งอยู่บนหลักการใหญ่ๆ เพียง 2 ประการคือ ความมักง่ายและความรุนแรง
"ความมักง่าย" แสดงออกโดยการมองทุกสิ่งอย่างแยกส่วน เช่นมองดินเป็นเพียงพื้นที่สำหรับพืชอาศัยยืนต้น และเป็นแหล่งธาตุอาหารเท่านั้น เมื่อขาดความอุดมสมบูรณ์ก็เพียงแต่ใส่ธาตุอาหารไปโดยตรงในรูปของปุ๋ยเคมี ซึ่งในที่สุดก็พัฒนามาจนไม่ต้องปลูกพืชบนดินก็ได้ กล่าวคือปลูกบนกรวดทรายที่มีสารละลายที่มีสารละลายของธาตุอาหารหล่อเลี้ยงอยู่แทน(Hydroponic)
ส่วน "ความรุนแรง" จะเห็นได้จากการแก้ปัญหาศัตรูพืช เช่น โรครา แมลง วัชพืชหรือสัตว์อื่นๆ เช่นหนูนา โดยการฆ่าหรือทำลายโดยตรงด้วยสารเคมีมีพิษชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยากำจัดเชื้อรา ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช หรือยาเบื่อหนูก็ตาม
ระบบการเกษตรปัจจุบันพยายามแยกตัวออกจากธรรมชาติโดยใช้วิธีการควบคุมและบังคับธรรมชาติไปในทิศทางที่มนุษย์ต้องการเพียงเพื่อสนอง "ความต้องการเทียม" ของคนกลุ่มน้อยที่มีกำลังซื้อ ตัวอย่างเช่นการปลูกพืชในประเทศเขตหนาว หรือปลูกพืชเมืองหนาวในประเทศเขตร้อน รวมทั้งการบังคับให้ต้นไม้ออกผลนอกฤดูกาล เป็นต้น
รูปธรรมอันเป็นผลจากระบบการเกษตรดังกล่าวที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันก็คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกิจการกลุ่มบรรษัทผลิตสารเคมีและเครื่องจักรกลที่ใช้ในการเกษตร การล่มสลายของเกษตรกรรายย่อย หนี้สินต่างประเทศของประเทศเกษตรกรรม การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมของระบบนิเวศวิทยาตลอดจนปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนทั่วไป ในฐานะผู้บริโภคผลิตผลจากระบบการเกษตรนี้
และเมื่อวิเคราะห์เจาะลึกไปอีกพบว่าแท้จริงแล้ว ระบบการเกษตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้กลับมิได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นดังที่กล่าวอ้างกันมาแต่ต้น หากแต่เป็นระบบที่ด้อยประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการผลิตอาหารให้ได้พลังงาน 1 แคลลอรีนั้น ต้องใช้พลังงานในการผลิตถึง 7 แคลอรี ในขณะที่ระบบการเกษตรดั้งเดิมนั้นใช้พลังงานในการผลิตเพียง 1 แคลอรี แต่ผลิตอาหารได้พลังงานถึง 50 แคลอรี ดังนั้นระบบการเกษตรในปัจจุบันจึงใช้ทรัพยากรของโลกอย่างฟุ่มเพือย โดยเฉพาะทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดและไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหินก๊าชธรรมชาติ และแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้นขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดของเสียซึ่งเป็นพิษต่อดิน น้ำอากาศ ตลอดจนปนเปื้อนกับอาหารที่ผลิตได้ เป็นพิษต่อผู้บริโภคอีกด้วย
ที่มา :
หนังสือ "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ทางออกของของเกษตรกรรมและอารยมนุษย์"
คำนิยมของ เดชา ศิริภัทร หน้า (๙)-(๑๒)
ผู้เขียน มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ
ผู้แปล รสนา โตสิตระกูล
สำนักพิมพ์ มูลนิธิโกมลคีมทอง
ปล. ขอบคุณน้ามืด ที่ส่งหนังสือมาให้อ่าน
- บล็อกของ sothorn
- อ่าน 154116 ครั้ง
ความเห็น
รัตนพงษ์
24 กรกฎาคม, 2010 - 05:32
Permalink
เกษตรอินทรีย์เป็นทางออกของบ้านเรา
ผมเชื่อว่าเป็นทางออกที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตในชนบทบ้านเรา มีทั้งอากาศบริสุทธิ์หายใจ รถก็ไม่จอดทิ้งควันไอเสีย น้ำท่าสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น โชคดีนะที่อยู่ชนบท (บ้านนอกอย่างผมครับ)
มิตรภาพไร้พรมแดน
นนท์
24 กรกฎาคม, 2010 - 19:49
Permalink
สังคม?
เห็นด้วยกับลุงพูนและพี่ตั๊ม
ในสังคมที่มองเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องปกติ
ทำให้กลุ่มคนส่วนน้อยที่คิดอีกอย่างหนึ่งย่อมถูกมองไปอีกอย่างหนึ่ง
ระบบเสียงข้างมาก แต่ลืมมองไปว่า บ้างครั้งเสียงข้างมาก
อาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ..
NONT..
M Browne
26 กรกฎาคม, 2010 - 06:37
Permalink
เป็นสิ่งที่ดีนะ
ขอบคุณสำหรับเวปดีๆ ข้อมูลดีๆ
ก้อเพิ่งค้นเจอเวปนี้ครั้งแรก อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมาก
ได้อ่านเรื่อง เกษตรกรเต็มขั้น แล้วรู้สึกว่าตรงใจมาก
ตัวก้อเอง ทำสวนยางพาราค่ะ ทางอีสานเหนือของไทยเรา
ยางอายุ สี่ปีแล้วค่ะ แต่ตอนนี้ก้อยังกลับไปเป็นเกษตรกรเต็มขั้นไม่ได้
เพราะยังอยู่ที่ต่างประเทศ กะไว้ว่า เมื่อไหร่ที่ยางได้กรีดมีรายได้ที่รองรับแน่นอน
จะกลับเมืองไทย ไปสร้างบ้านหลังเล็ก ปลูกผักไร้สารพิษ ปลูกผลไม้ไว้ทานเอง
ชีวิตแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
มานี มานะ วีระ ชูใจ
27 กรกฎาคม, 2010 - 15:06
Permalink
วงวน
ยุคเขียวเสวย...มันคือจังหวะก้าวของโลกที่ใครเริ่มก่อนเริ่มเร็ว..คนนั้นคือเจ้าของอำนาจ...
สงครามเย็น ความกลัว นั่นคือวิธีที่เราต้องเร่งสร้างความแข็งแก่รงในการพัฒนาประเทศ
ทุกประเทศจึงแย่ง แข่งขัน ในด้านการผลิต ต่อเนื่องยาวนานจนถึงยุคที่เริ่มอิ่มตัว..และเริ่มทบทวน
จนมาถึงยุคพลังงาน...เช่นกัน...ใครมีมากก็มีอำนาจมาก..แล้วพาลมาถึงพลังงานจากพืช
คนในยุคสามสิบปีข้างหน้าจะด่าว่าเรา....ว่าทำไมเหมือนที่เรากำลังว่าอยู่ตอนนี้.....
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ตั้ม
27 กรกฎาคม, 2010 - 15:13
Permalink
เออ..มามะมานี่กลับมาแล้ว
กลับมาแล้วยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องนิ..นึกว่ากลับไปให้แม่บ้านรักษาตัวแล้วจะดีขึ้น..(ย้อเย่นนะ..) ปรัชญาคุณสุดลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
มานี มานะ วีระ ชูใจ
27 กรกฎาคม, 2010 - 15:23
Permalink
อ่าๆ..นะลูกนะ
อ่าๆ..เรี่องนี้..อย่าให้พ่อพูดเลยนะ..
ใครกันนะ..ว่าพ่อพูดไม่รู้เรื่อง...เดี๋ยวค่อยมาคุยกันนะลูก
เดี๋ยวเข้าประชุมคร..ก่อน อ้าวชุมแล้วหรือ..
อ้าวถามมา...โฮ็ๆพ่อลีม
ชวโลด...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
น้ามืด
28 กรกฎาคม, 2010 - 10:06
Permalink
สนใจ.ลองไปติดตามแบบเต็มรูปแบบ
น้ามืดขออนุญาติแปะลิงค์ นะครับ เพราะก่อนที่จะได้หนังสือมาครอบครองก็ได้ลองอ่านที่เว็บ
http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/onestraw.html
พอเห็นว่าของเค้าดีจริง ก็ไปติดต่อสั่งซื้อที่ร้านหนังสือครับ เท่าที่ผมรู้คือ หาได้ก็ที่ร้านซีเอ็ดทุกสาขา แต่บางสาขาอาจต้องสั่งนะครับ เพราะพนักงานเค้าบอกว่าหนังสือเนี่ยพิมพ์มานานแล้วไม่มีลูกค้าถามก็เลยไม่มีอยู่ที่ร้าน วันเดียวเองสำัหรับการสั่งซื้อ (ไม่ได้มาขายหนังสือ อย่าเข้าใจผิดนะจ๊ะ) พี่ๆท่านใดว่างๆ ก็ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ สำหรับเล่มที่เค้าจัดจำหน่ายในตอนนี้ มีการปรับแก้เรื่องของภาษาให้เราอ้างอิงกับพวกมาตราวัดหรือคำศัพย์ต่างๆแล้ว
สำหรับการทำการเกษตรในปัจจุบันนั้น มีหลากหลายเหตุผล หากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว อาจมีมุมมองที่เกี่ยวกับเรื่องทางด้านเกษตรเพิ่มเติมเข้ามาอีกก็ได้นะครับ
ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม
แผน รณรงค์
25 กันยายน, 2010 - 21:20
Permalink
น้ามืด
น้ามืด วันก่อนพาลูกๆไปเยี่ยมศูนย์ (วันเข้าพรรษา) ถามหาน้ามืด เขาบอกช่วงนี้ไม่อยู่ ......ผมคนหนึ่งที่อ่านจบแล้วครับ น่าสนใจมาก อ่านแล้ววางไม่ลงเลย จบภายในไม่กี่วัน ...ต้องอ่านซ้ำอีกสักรอบ สองรอบ
ตามรอยพ่อคิด ด้วยวิถีชีวิต ที่เพียงพอ
น้ามืด
28 กันยายน, 2010 - 23:04
Permalink
ก้าวข้ามเวลาผ่านตัวหนังสือ
พี่แผน มีโอกาสคงได้เจอกันแน่นอนครับ ตัวหนังสือในเล่มนี้ดีมากที่สุด และทำให้ผมอยากเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ แน่นอนครับทุกท่านที่มีโอกาสอ่าน ผมว่าแทบวางไม่ลงและอาจมีคำถามกับตัวเอง มากกว่าที่จะถามคนอื่นๆ ใครยังไม่เคยอ่านต้องไปหามาอ่านให้ได้นะครับ
ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม
ยายอิ๊ด
9 พฤศจิกายน, 2010 - 19:25
Permalink
ค่ะ เข้าใจ
เชื่อว่า มาจากไหนก็กลับไปสู่จุดนั้นค่ะ
อยู่ที่เราจะปฏิบัติตนต่างหาก ก่อนที่เราเกิดมา วังวน ก็หมุนหลายรอบค่ะ รอบแล้ว รอบเล่าค่ะ
#แตกต่าง.แต่.ไม่แตกแยก#
หน้า