ความเจริญและความดิ้นรนของชาวนาไทย
ความจริงของชาวนาไทยในยุคปัจจุบัน ตลาดผูกขาดของผู้เอาเปรียบ เกรินมาไม่ได้น้อยใจนะครับแต่ความเป็นจริงเป็นแบบที่ผมบอกเพราะเนื่องจากพ่อ แม่ ปัจจุบันก็ยังคงดำเนินรอยตามต้นตระกูลคือ ทำนา ปัจจุบันคงมีน้อยคนที่จะใช้ วัว ควายไถนา จะมีก็แต่เครื่องจักร ที่นำเข้ามาช่วย ค่าจ้างไร่ละ 200 - 300 บาท ไม่พอเมล็ดพันธ์ก็ต้องซึ้อมาประมาณกระสอบละ 800 บาทมีอยู่ 4 ถัง ก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรกับเมล็ดพันธ์เพราะนอกจากจะไม่สามารถนำผลิตผลที่ได้จากการเก็บเกี่ยวแล้วมาใช้ในครั้งถัดไปเพราะจะทำให้ผลผลิตไม่ดี (อาจจะเนื่องมาจากผู้ผลิตเมล็ดพันธ์ได้ทำการดัดแปลงเพื่อไม่ต้องการให้นำมาไช้หลังจากได้ผลผลิต) ดังนั้นทุกครั้งก็จะต้องซื้อเมล็ดพันธ์ เมื่อปลูกแล้วยังต้องกังวลเรื่องน้ำ ที่บางครั้งโชคไม่ดีน้ำท่วม ยังไม่พออาจจะเกิดการแล้ง ทำให้เสียหายไม่พอ ยังต้องมีการนำสารเคมีมาช่วยในเรื่องของการควบคุมแมลง ขวดละประมาณ 300-500บาท ใช้ระยะเวลาปลูกประมาณ 3 เดือนกว่าๆ ยังมีปุ๋ยเคมี ซึ่งไม่รู้ว่าแพงตามราคาน้ำมันหรือเปล่า ทำไมไม่ผันแปรตามราคาข้าวก็ไม่รู้ กระสอบเป็น พัน อีกทั้งเมื่อได้ผลยังต้องมีการเก็บเกี่ยวซึ่งที่ไหนยังมีการร้องเพลงเกี่ยวข้าวกันในการทำนาจริงๆผมยังมองไม่ออกว่าจะมีที่ไหนจะเห็นก็แต่เครื่องเกี่ยวและนวดออกมาขายกันให้เยอะแยะไปหมดก็คงเป็นเครือเดียวกับผู้ผลิตเมล็ด ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช และผู้รับซื้อข้าว ซึ่งไร่หนึ่งคำนวณโดยการขีดเขียนบนลานข้าวก็ประมาณ 2600 - 3000 บาท วันนี้พ่อโทรมาบอกว่าขายไปเกวียนกว่า ได้ราคาเกวียนละประมาณ 6500 บาท หักแล้วเหลือ 3500 ใช้เวลา 3 เดือนกว่าๆ ถ้าหักค่าแรงแล้วก็คงไม่น่าจะเหลืออะไรคงเหลือแต่กระดูกสันหลังของชาวนาไทยที่ต้องพ่ายแพ้ต่ออาชีพ และคงมีคนหันหลังให้กับความยากลำบากอีกมากมาย และก็คงจะยากที่จะทำให้กลับมาเหมือนสมัยก่อน นี่แหละสิ่งทีผมคิดว่าสักวันเราคงจะทำอะไรให้กับบ้านเกิด
ทายาทชาวนาไทย
- อ่าน 5526 ครั้ง
เจ้โส
2 ตุลาคม, 2010 - 21:08
Permalink
ชาวนาไทย
ประเทศไทยส่งข้าวออกเป็นอันดับ 1 ของโลก แถมข้าวยังมีคุณภาพดีและอร่อยที่สุด แต่ทำไมชาวนาไทยยังจนมาก ๆ
garden_art1139@hotmail.com
แก้ว กุ๊ก กิ๊ก
2 ตุลาคม, 2010 - 21:58
Permalink
ชาวนาผู้น่ารัก
ใส่หมวกปีกกว้าง พร้อมลุยงานเต็มที่เลย
มะโหน่ง
3 ตุลาคม, 2010 - 00:35
Permalink
หนุ่มน้อยน่ารัก
อนาคตชาวนาเยี่ยมยอดของชาติค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี
Tui
3 ตุลาคม, 2010 - 08:04
Permalink
แสดงความ เห็นใจด้วยครับ
แสดงความ เห็นใจด้วยครับ ไม่แปลกใจ ที่ชาวนาหลายท่าน หันมาปลูก แบบยั่ง ยื่น ยังไง ลองหาข้อมูล ในเวปนี่ดูนะครับ เรื่อง การทำนา ผม ว่า ข้อมูลดีๆ ที่มีในเวป ต้องช่วย คุณ Mintrano และ ขอบครัวได้แน่ครับ เป็นกำลังใจให้ ครับ ผมทาน ข้าวไทยเป็น ประจำ เพราะ อร่อย โดยเฉพาะ ข้าวหอม ส่งออกนี่ คุณภาพดีมากๆ รู้ว่า อาจ ช่วยชาวนาได้ไม่ มาก แต่ก็ยังรู้สึกดีที่มี ส่วน ช่วย ครับ
ป้าหน่อย
3 ตุลาคม, 2010 - 08:12
Permalink
ชาวนา สู้ๆค่ะ
สู้ๆค่ะ หวังว่ามื้อหนึ่งข้างหน้า
ชาวนาสิรวมโตกัน เข้มเข็งกว่าพ่อค้า
บ่อฮู้ว่าสิมาฮอดมื้อได๋.....
ขออภัย ตกราวมาจากบล๊อกอื่น 555
แต่คิดจริงๆค่ะ ต้องมีสักวันๆ
ที่ชาวนารวมตัวกันเข้มแข็ง
มีแรงเป็นต่อบ้าง ที่ผ่านมาชาวนาเป็นรอง
พ่อค้าตลอดเลย
ลูกอิสานกันดารแท้ แต่บ่อเหี่ยวทางน้ำใจเด้อ
หากแหม่นใหลหลั่งรินปานฝนแต่เมืองฟ้า
มาเด้อพวกพี่น้อง สานสัมพันธ์ให้มันแก่น
ให้ยืนยาวแนบแน่นพอปานปั้นก้อนข้าวเหนียว เด้อพี่น้อง
มานี มานะ วีระ ชูใจ
3 ตุลาคม, 2010 - 08:38
Permalink
วิธีคิด
เราคิดใหม่..แค่เทคโน..โลยี ครับ
แต่วิธีคิดยังเป็นฉบับเก่าอยู่...เน้นเกษตรพึ่งพาเป็นหลัก..
ปลูกเสร็จ...แล้วแต่ฟ้าโชคชะตาจะนำพาไป...(มันเสี่ยงมากนะครับนั่น ในปัจจุบันที่ฝนฟ้าไม่ได้วงวนตามฤดุกาลอีกแล้ว)
ชาวนาไทยส่วนใหญ่ฝากอนาคต..ความมีอยู่มีกินไว้กับ ธรรมมชาติล้วนๆจริงๆ(เศร้าแทน)
แก้ไขก็อยาก ตืบตัน...
เริ่มจากทำ..สวอท..ตัวเองก่อนเป็นไง
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
satjang
3 ตุลาคม, 2010 - 11:04
Permalink
ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง
ต้องยอมเปลี่ยนตัวเอง และกล้าหาญที่จะทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เหมือนพี่อรหันต์ชาวนาที่ทำนาตามวิถีของตัวเอง ชาวบ้านดูแคลน แต่เวลาก็พิสูจน์ม้าจริง ๆ
SWOT คืออีกหนึ่งหนทาง แค่ชาวนาลองคิดแบบพึ่งตัวเองและดูว่าอะไรที่เราพึ่งตัวเองได้ ลดค่าใช้จ่ายได้... ไม่ลองทำก็ไม่รู้นะคะ ตัวก้อยเองมีกรณีศึกษาจากที่บ้าน พี่สาวทำนาทุก ๆ 3 เดือน สังเกตุด้วยสายตาพืชผักในสวนใหญ่ที่บ้าน คิดเบ็ดเสร็จได้เยอะกว่าขายข้าวเสียอีก แต่ความเชื่อของพี่สาวว่าต้องทำนา แต่ไม่เปลี่ยนวิธีการ ก็เลยอยู่ในวังวนแบบนี้ทั้งหมูบ้านนะคะ...ต้นทุนมีทั้งค่าพันธ์ข้าว ค่าปุ๋ย ค่าแรงงาน ค่าน้ำมันสูบน้ำ ค่ายาฆ่ายา นี่ยังไม่รวมค่าบริหารจัดการ ค่าเสื่อมถอยของที่ดินตัวเอง....
...2553 ปีที่ 1 ที่เริ่มเดินตามรอยพ่อ...
เสี่ยกิม
3 ตุลาคม, 2010 - 12:50
Permalink
ต้องยอมรับความจริงครับ
เป็นชาวนาต้องยอมรับความจริงให้ได้ครับ การทำนาเพียงอย่างเดียว หรือเกษตรเชิงเดี่ยวนั้น ไม่สามารถไปรอดได้ในเชิงธุรกิจ ยิ่งทำก็ยิ่งจน เห็นผลชัดเจน แน่นอน ปัจจุบันชาวนาฉลาดหันมาทำเกษตรแบบปราณีต กันมากขึ้น และประสพความสำเร็จให้เห็นกันอย่างมากมาย ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนครับ ความสำเร็จถึงจะตามมา เราถูกพ่อค้าเอาเปรียบมามากนักแล้ว น่าจะพอกันเสียที....
http://www.facebook.com/profile.php?id=1013907081&v=wall&story_fbid=1478654119024
james
3 ตุลาคม, 2010 - 14:07
Permalink
อยู่ที่วิธีคิดครับ
แรกเริ่มเดิมที ผมศึกษางานจากลุงฟาง (มาชาโนบุ ฟูกูโอกะ) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางข้าวเส้นเดียว ทำให้รู้ถึงวิธีการที่ยังไม่ได้ศึกษา หลังจากนั้นก็ค้นคว้าเรื่อยมา โดยดูดซับวิธีการคิดของปราชน์หลายๆ ท่าน เช่น อ.วิวัฒน์ อ.เดชา พี่แหลม คุณลุงทองเหมาะ และอีกหลายๆ ท่าน
จนมาวันหนึ่ง ได้ดูรายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต หลังจากนั้นเหมือนลมปรานแตกซ่าน เหมือนมันเปลี่ยนความคิดผมไปโดยสิ้นเชิง และยิ่งศึกษายิ่งมั่นใจครับว่า ตัวเองมาถูกทางแล้ว ที่เขียนมาทั้งหมด เพื่อที่จะบอกว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ครับ โดยเริ่มจากการศึกษาจากผู้รู้ที่ผ่านทางมาก่อนเรา เอามาเป็นตัวอย่างและต่อยอด ต้องทำได้ เพราะคนยังต้องกินข้าวทุกวัน เราไม่ใช้มือถือ ไม่ดูทีวีผ่านดาวเทียม 5 วัน 7 วัน ไม่เป็นไร หากแต่ลองอดข้าวดูซิ มันจะแย่ขนาดไหน
ครับ เราทำได้ เราต้องค่อยๆ ทำ เพื่อ "ข้าว" ที่เราต้องกินกันทุกวัน
paloo
3 ตุลาคม, 2010 - 16:51
Permalink
เลือกอันไหน
จะใช้ วัว/ควาย ไถนา (ซึ่งหาหญ้ากินเอง ขับถ่ายออกมาก็เป็นปุ๋ย ออกลูกออกหลานไม่ต้องซ๋อม) แต่ช้า
หรือ ใข้เคริ่องจักร (กินนำ้้มัน ขับถ่ายเป็นไอเสีย และหยดนำ้้มันลงฆ่าลูกปลา และพืช ต้องเสียค่าอะไหล่ซ่อมแซม) แต่เร็ว
กล้าไหมที่จะำกลับไปถอดรองเท้าเดิน บนถนนดิน ที่เหนือศีรษะร่มรื่นด้วยพรรณไม้ แทนขับยานยนต์ไปบนถนนลาดยางที่ร้อนระอุ
หน้า