เรื่อง "วิศวกร? หรือ วิศวเกษตร?"
ผู้เขียน : นายบุญชู สิริมุสิกะ
นามปากกา : R-Boo
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอื่นผมคงไม่ขอแนะนำตัวนะครับเพราะอย่างไรเสียเราคงยังไม่ต้องรู้จักกันมากไปกว่านี้ แต่ทว่าขอให้ท่านมุ่งสนใจที่เนื้อหามากกว่า เพื่อให้ท่านสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า หนังสือ “วิศวกร? หรือ วิศวเกษตร?” เรื่องนี้คู่ควรกับที่ท่านจะยอมเสียสละเวลาเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ หรือไม่ เพราะเมื่อท่านตัดสินใจได้แล้วเราค่อยมารู้จักกันก็ยังไม่สายเกินไป
ตอนที่ 1 จะทำงานเพื่อหาเงิน หรือ จะทำงานเพื่อให้เงินมาหาเรา
ก่อนเข้าเรื่องผมขอย้อนกลับไปช่วงเวลาที่ผมกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในขณะที่ผมกำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้าย เรื่องเดียวที่อยู่ในหัวสมองตอนนั้น คือ “จบไปแล้วจะทำงานอะไรดี” เชื่อหรือไม่ว่าตอนนั้นในหัวสมองผม คิดอยู่อย่างเดียวแบบฟันธงเลยก็ว่าได้ คือ ต้องทำงานบริษัท ก็เรามันเป็นวิศวกรมันก็ต้องหางานในภาคอุตสาหกรรม ว่ากันแบบง่ายๆ ก็คือ ต้องหาโรงงานที่ให้เงินเดือนดีๆ ทำให้ได้ ซึ่งเป้าหมายที่ผมวางไว้ตอนนั้น คือ เราจะต้องหางานที่ให้เงินเดือนมากกว่า 12,000 บาทต่อเดือน เกณฑ์การกำหนดฐานเงินเดือนของผมก็ง่ายๆ ครับ โดยการดูเพื่อนในกลุ่มที่เราสนิทว่าเขาได้รับเงินเดือนกันเดือนละเท่าไหร่ (คือในกลุ่มผมมีทั้งหมด 7 คน ผมกับเพื่อนอีกสองคนจบช้ากว่าปกติ) ผมมานั่งคิดเงินเดือนของเพื่อนๆ แล้วก็พบว่า เงินเดือนที่สูงที่สุดที่เพื่อนๆ ผมได้รับในขณะนั้น คือ 12,000 บาท (ปี 2543) ทันทีที่เรียนจบผมก็ได้สมัครงานไว้หลายบริษัท โดยผมจะเลือกสมัครเฉพาะบริษัทที่มีชื่อว่า “ประเทศไทย” ยกตัวอย่างเช่น บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้ามีคำว่า “ประเทศไทย” ในความเข้าใจของผมในขณะนั้น มันต้องเป็นบริษัทที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก และนี่เป็นเพียงสาขาหนึ่งที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย และด้วยเหตุผลอีกข้อ คือ เมื่อมันมีสาขาอยู่ในประเทศไทย มันก็ต้องมีสาขาที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเท่ากับว่าถ้าเราทำงานดีมีผลงานเข้าตาผู้บริหาร เราอาจจะได้ไปดูงานในสาขาต่างประเทศด้วยก็ได้ ประมาณว่า อยากไปเมืองนอก อยากลองนั่งเครื่องบินสักครั้งในชีวิต
และแล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับโอกาสจากบริษัทแห่งหนึ่งแถวสมุทรสาคร ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีความมั่นคงเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาบริษัทในโซนจังหวัดสมุทรสาคร ที่ผมบอกอย่างนี้เพราะว่า บริษัทนี้มีสวัสดิการณ์ดีที่สุด เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ และตัวชี้วัดที่สอง คือ เงินเดือนที่ผมได้รับ เริ่มแรกก็ 14,000 บาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ และ ตัวชี้วัดที่สาม เงินโบนัสประจำปี ผมเคยได้รับเงินโบนัสประจำปีสูงสุดอยู่ที่ 89,000 บาทในปีที่สามของอายุงาน ซึ่งบริษัทระแวกใกล้เคียงไม่มีการให้เงินโบนัสสูงขนาดนั้น (แต่ก็คงเอาไปเปรียบเทียบกับบริษัทใหญ่ๆ อย่าง โตโยต้าฯ หรือ ฮีโนฯ ไม่ได้) ผมทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งนี้ประมาณ 5 ปี โดยรับตำแหน่งเป็น Supervisor ฝ่าย วิศวกรรมการผลิต , ฝ่ายผลิต Automotive Belt และ ฝ่ายผลิตวัตถุดิบด้านเส้น Polymer เสริมความแข็งแรง ก็ประมาณว่า ถ้าเป็นรัฐมนตรีก็ดูควบสามกระทรวง ในช่วงที่ทำงานในระยะห้าปีนั้น งานหลักๆ ที่ผมต้องรับผิดชอบก็คือ การปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สูงที่สุด ผมเคยมาบวก ลบ คูณ หาร ดูแล้ว ผมสามารถช่วยบริษัทเพิ่มผลกำไรได้มากกว่า 10,000,000 บาท ในช่วงระยะ ห้าปี ก็ตกปีละสองล้าน ตัวเงินนี้ผมคิดเฉพาะที่ผมจะประเมินเป็นตัวเงินได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายผลงานที่ไม่รู้ว่าจะตีเป็นตัวเงินอย่างไร เช่น การลดการจัดเก็บสินค้าคงคลัง นายญี่ปุ่นเคยพูดว่าพื้นที่ในโรงงานเราหากตีเป็นตัวเงินก็ประมาณ ตารางเมตรละ 1,000,000 บาทต่อปี เพราะฉะนั้นควรใช้สอบพื้นที่ให้คุมค่าที่สุด จากการทำกิจกรรมการปรับปรุงระบบการผลิตต่างๆ ผมว่ารวมๆ แล้วผมสามารถลดพื้นที่ใช้สอยลงได้ไม่น้อยกว่า 50 ตารางเมตร โดยเฉพาะพื้นที่เก็บสินค้าคงคลัง โดยอาศัยระบบการผลิตแบบโตโยต้า (TPS Toyota Production System) เพราะฉะนั้นถ้าจะให้คิดเป็นตัวเงินก็น่าจะ 50,000,000 บาท ส่วนวิธีการปรับปรุงระบบการผลิตนั้น ผมขอไม่กล่าวถึงนะครับ เพราะคงต้องอธิบายรายละเอียดกันยาว
แต่ทุกคนเชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้สวัสดิการดี เงินเดือนดี เพื่อนร่วมงานดี แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรวยขึ้นเลย ถึงแม้จะใช้สอยอย่างประหยัดก็ตาม ยิ่งทำบริษัทก็ยิ่งรวยขึ้นๆ แต่ผมก็ได้แค่ดูดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้รวยไปกับบริษัท ผมเฝ้าไตร่ตรองจากผลงานที่ทำและผลตอบแทนที่ผมได้รับแล้ว มันพูดได้คำเดียวว่า “นี่เป็นการทำงานเพื่อหาเงินโดยแท้” แต่ก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เราทำงานเพื่อบริษัท เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินว่า คนเราทุกคนทำงานก็ต้องอยากได้อะไรตอบแทนกลับมา โดยเฉพาะเงิน แต่ผมว่าหากเราหวังเพียงเท่านี้มันคงจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในการที่จะสร้างครอบครัว เพราะผมมองว่าครอบครัวที่อบอุ่นคือการได้อยู่กับคนที่เรารักและอยู่กับคนที่รักเรา ได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี และมีรายได้ที่สามารถตอบสนองความต้องการในการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วๆ ไปได้ และนั้นเท่ากับว่าหากผมยังคงทำงานบริษัทต่อไปอีกเรื่อยๆ เวลาในการที่ผมจะสร้างครอบครัวก็จะยิ่งลดน้อยลงทุกวัน ผมจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน โดยก่อนการเดินทางกลับเพื่อไม่ให้หนทางข้างหน้ามืดมนผมเลยเขียนแผนงานหลักเพื่อวางแนวทางเบื้องต้น ว่าหลังจากที่ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านแล้วจะต้องทำอะไรกับชีวิตบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขที่แท้จริง
โดยผมตัดสินใจที่จะดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยที่จะนำความรู้และประสบการณ์จากการทำงานบริษัทมาประยุคต์ใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีสโลแกนที่ว่า “เราต้องไม่ออกไปหาเงิน แต่ต้องทำให้เงินเข้ามาหาเราเอง” หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “การปลูกเงินปลูกทอง” โดยการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยใช้กลยุทธของชาวเวียดนาม นั่นก็คือ “กู” (ลงมือทำอะไรด้วยตัวเองให้มากที่สุด) ไม่ใช้ “กู้” (การลงทุนทำอะไรก็ตามโดยใช้เงินเป็นตัวตั้ง) เพราะเวลาที่ล้มหรือเกิดความผิดพลาดจะได้ไม่เกิดความเสียหายมากนัก แต่อาจจะต้องใช้เวลาที่นานกว่า โดยผมเริ่มต้นจากการปลูกสิ่งที่สามารถขายและบริโภคได้ เพื่อสร้างรายได้และลดรายจ่ายในครัวเรือน และ เก็บบันทึกข้อมูลการผลิตของพืชผลแต่ละตัวและนำมาวิเคราะห์ ว่า หากผมต้องการสร้างรายได้จากการขายพืชผลทางการเกษตรให้เท่ากับหรือมากกว่าเงินเดือนตอนที่ทำงานให้กับบริษัท ผมต้องปลูกพืชอะไรบ้างและต้องปลูก แต่ละชนิดเป็นจำนวนเท่าไหร่ รวมทั้งต้องจัดลำดับ ว่าควรจะปลูกอะไรก่อนปลูกอะไรทีหลัง เพื่อให้มีรายได้ที่ต่อเนื่องและมั่นคง โดยจะพยายามคงพืชเดิมที่พ่อกับแม่ปลูกไว้ก่อนแล้วให้มากที่สุด
คงเป็นความโชคดีที่แถวบ้านผมมีตลาดนัดทุกวัน บางวันมีทั้งรอบเช้าและรอบเย็น ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการตลาด ปัญหาเดียวที่ผมเจอ คือ ไม่สามารถป้อนผลผลิตได้ทันกับความต้องการของตลาด ทำให้ยังมีรายได้ที่ไม่ต่อเนื่องในช่วงเริ่มต้น ด้วยเหตุที่ว่า การทำเกษตรสำหรับวิศวกรเป็นอะไรที่เราต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรมชาติ นั่นคือ จะทำอย่างไรให้สามารถทำเกษตรให้ได้ในช่วงฤดูการที่ขาดน้ำ หรือแม้แต่ จะทำอย่างไรให้มีรายได้จากการทำการเกษตรในช่วงฤดูฝนซึ่งผมจะขอเล่าวิธีการในการปรับตัวเข้าหาธรรมชาติของผมให้ฟังในตอนหน้านะครับ
จงอย่าลืมนะครับว่า “การทำงานบริษัท คือ การทำงานเพื่อหาเงิน ในขณะที่การทำการเกษตร เป็นการทำงานเพื่อให้เงินวิ่งเข้ามาหาเรา ” แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมอีกหลายๆ ด้านนะครับ เช่น
มีดินที่ดีพอประมาณ ไม่จำเป็นต้องดีที่สุด ขอเพียงปลูกกล้วยขึ้นก็พอ
มีน้ำที่มากพอประมาณ ไม่จำเป็นต้องมีมากพอสำหรับช่วงหน้าแล้ง ขอเพียงมากพอที่จะปลูกกล้วยขึ้นก็พอ
มีพันธุ์พืชที่ดีและเหมาะสมกับความต้องการ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง ขอเพียงหาได้ในท้องถิ่นก็พอ
และสุดท้าย คือ มีแรงและความตั้งใจที่มุ่งมั่น
เพียงท่านมีปัจจัยที่ผมได้เอ่ยมาข้างต้นท่านก็สามารถเตรียมตัวเข้ามาร่วมชะตากรรมไปกับ วิศวกรที่ต้องผันชีวิตมาเป็นวิศวเกษตรอย่างผมได้เลยครับ
ปล. รบกวนพี่ๆ เพื่อนๆ ช่วยติชมด้วยนะครับ เพื่อเป็นประโยชน์ในการเขียนหนังสือของกระผม
และก็อย่าลืมติดตามต่อในตอนหน้าด้วยนะครับ!
- บล็อกของ R-Boo
- อ่าน 5954 ครั้ง
ความเห็น
ตองอู
10 ตุลาคม, 2010 - 00:41
Permalink
R-boo..^_^..
อ่านแล้วได้แนวคิดหลายอย่างเหมือนกันค่ะ..แต่มีแนวคิดนึงที่โดนใจมากๆ นั่นคือ "กู"ไม่ใช่"กู้" เพราะเรื่องนี้ยึดปฏิบัติมานานค่ะ คิดเสมอว่าหากลงมือทำอะไรซักอย่าง เริ่มต้นจากศูนย์ยังดีกว่าเริ่มต้นจากติดลบค่ะ..^_^..
จะรอติดตามตอนต่อไปนะค่ะ...เป็นกำลังใจให้ค่ะ..สู้ๆ..^_^..
MSN/MAIL/HI5 : Tongau_oomsin[at]hotmail[dot]com
R-Boo
14 ตุลาคม, 2010 - 10:22
Permalink
ขอบคุณครับน้องตองอู
ขอบคุณนะครับสำหรับกำลังใจดีๆ
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากบอกนะครับสำหรับคนที่คิดจะ "กู้" อยากให้ท่านที่คิดจะกู้ ให้เริ่มด้วย "กู" ก่อน
เพราะเมื่อเราใช้กูทำงานอย่างเต็มที่แล้วเราก็จะรู้เองว่าจะต้อง "กู้" หรือไม่ หรือ ถ้าจะกู้เราก็จะรู้ว่าจะกู้มาเพื่ออะไรและมันจะได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ
R-Boo
มหาสมุทรยิ่งใหญ่ได้ด้วยอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำสายเล็กๆ!
WHITELAND
10 ตุลาคม, 2010 - 00:47
Permalink
รออ่านตอนต่อไป
เขียนได้ดี มีข้อคิดให้ทำตาม เขียนอีกเยอะๆนะครับ
R-Boo
14 ตุลาคม, 2010 - 10:12
Permalink
ขอบคุณครับพี่ Whiteland
เดี๋ยวจะมีออกมาอีกเรื่อยๆ ครับ
แต่อาจจะช้าหน่อยนะครับเพราะผมเขียนช่วงเวลาว่างๆ ครับ
ช่วงนี้ฝนตกไม่ได้เข้าสวนจะรีบคลอดตอนที่สองมาให้ได้อ่านนะครับ
R-Boo
มหาสมุทรยิ่งใหญ่ได้ด้วยอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำสายเล็กๆ!
ตั้ม
10 ตุลาคม, 2010 - 06:16
Permalink
เขียนได้เห็นภาพ
ก่อนอื่น..ขอกล่าวคำนิยมก่อน..ชอบมากกับการให้รายละเอียดของตัวตน..ได้เห็นภูมิหลัง..แนวคิด..ทำให้ร่นระยะเวลาทำความรู้จักได้มากขึ้น..ไม่ต้องคาดเดาหรือตีความจนเกิดความเข้าใจผิด..อย่างผญ.โสเจ้าของเวบที่เขียนแนะนำตัวเองหรืออย่างของคุณ R-Boo เขียนตามความจริงไม่เกินเลย ทำให้รู้จักตัวตนของคนเขียนได้ดีแต่หากมีรูปจริงประกอบก็เยี่ยมเลย..
เห็นความตั้งใจในการทำ Career Re-engineering ของคุณแล้วต้องยอมรับว่าใจถึงและมุ่งมั่นมาก อยากเอาใจช่วยให้พบเจอหนทางที่ใช่สำหรับตัวเรา แต่อยากให้ใช้ภูมิหลังความรู้ที่มีอยู่เดิมของเรามาต่อยอด คือนอกจากงานด้านการผลิตในตัวพืชผลแล้ว น่าจะช่วยคิดค้น Re-engineer ในกระบวนการเพิ่มผลผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนฟาร์ม วางแผนการผลิต การผลิต การเก็บเกี่ยว การจัดเก็บรักษา การตลาด การคัดเลือกและปรับปรุงสายพันธ์เพื่อต่อยอด และอยากเห็นที่สุดคือการการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยอาศัยเทคโนโลยี่ที่ไม่ซับซ้อนให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงทำเองได้ แต่อยากให้พัฒนาจากรูปแบบปัจจุบัน ไม่ใช่ดูถูกภูมิปัญญาดั้งเดิมแต่อยากเห็นการต่อยอดที่เป็นการเพิ่มผลผลิตและได้ประโยชน์สูงสุด (Productivity & Economy ) ช่วยกันคิดและเอามาลงเพื่อเป็นวิทยาทานให้กับพี่น้องชาวไร่ชาวนา..
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
james
10 ตุลาคม, 2010 - 09:22
Permalink
เห็นด้วยกับพี่ตั้มครับ
ข้อหนึ่งที่ผมเจอกับตัวเอง คือเราต้องอย่าดูถูกภูมิปัญญาที่พ่อแม่ปู่ย่า ที่เขาทำมาเกือบทั้งชีวิต ควรใช้วิธีการผสมกลมกลืน และต่อยอดความรู้เหล่านั้นไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ครั้งแรก ผมมั่นใจในสิ่งที่ศึกษามาก กลับบ้านเลยทำทุกอย่างเหมือนที่ได้รู้มาอย่างกระทันหัน นั่นทำให้เกิดความขัดแย้ง เป็นเหมือนเส้นบางๆ ที่คอยขวางการทำงานของเรา กับคนที่บ้าน นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย
ค่อยๆ ทำครับ ทำให้เห็นว่ามันดีจริงๆ เดี๋ยวเขาก็จะเข้าใจ และยอมรับกับสิ่งที่เราพยายามทำ
R-Boo
14 ตุลาคม, 2010 - 10:10
Permalink
ขอบคุณครับพี่ตั้ม
ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครครับพี่ตั้ม
ส่วนเรื่อง Re-Engineering ตอนนี้กำลังหาแผ่นโปรแกรมออกแบบอยู่ครับ (Inventor 2010)
เพราะวันที่ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป เลยไม่ได้เก็บพวกแผ่น Program ต่างๆ ลงมาด้วย
มาตอนนี้เลยยังไม่ได้ Re-Rngineering อะไรเลย แต่เท่าที่ทำเกษตรได้สักระยะผมว่ามีหลายเรื่องเลยครับที่น่าสนใจ
ที่บ้านผมหาโปรแกรมพวกนี้ไม่ได้เลยแบบว่าอยู่ในหุมเขาครับ 555555
R-Boo
มหาสมุทรยิ่งใหญ่ได้ด้วยอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำสายเล็กๆ!
น้ำหวาน
10 ตุลาคม, 2010 - 06:25
Permalink
R-boon
อ่านแล้วรู้สึกโดนใจอย่างแรงค่ะ
และอยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆค่ะ จะรออ่านนะคะ
อ่านข้อคิดของคุณแล้วอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย
อยากไปเริ่มทำเกษตรดูบ้าง เชีญคุณล่วงหน้าไปก่อนเลยนะคะ
เดี๋ยวจะตามไปติดๆค่ะ สู้ สู้ นะคะ
R-Boo
14 ตุลาคม, 2010 - 10:02
Permalink
ขอบคุณครับคุณน้ำหวาน
ขอบคุณอย่างแรงเช่นกันครับ
ตอนหน้าจะวางแผงเร็วๆ นี้ครับ
R-Boo
มหาสมุทรยิ่งใหญ่ได้ด้วยอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำสายเล็กๆ!
chai
10 ตุลาคม, 2010 - 08:11
Permalink
เขียนได้ดี
เขียนได้ดีมากครับ นอกจากจะทำการเกษตรแล้วอนาคตเขียนเป็นหนังสือ
ออกขายได้เลยนะครับนี่ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
ทำความดีนะครับ จะได้มีความสบายใจ msn/krawmovie@hotmail.com
หน้า