出考题的学生 : นักเรียนที่หลอกครู

หมวดหมู่ของบล็อก: 

เป็นบทความที่ได้รับจาก fw.mail..อ่านแล้วให้ความรู้สึกของจิตวิญญาณ..เลยขอเผยแพร่ต่อ..



นักเรียนผมได้ออกโจทย์มาข้อหนึ่ง   และก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า    ผมเป็นผู้เดียวที่สอบผ่าน  


         

 พรุ่งนี้ผมก็จะปลดเกษียณแล้ว    หลังจากทำหน้าที่เป็นครูสอนนักเรียนมัธยมมา 35 ปีเต็มๆ    ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า    ในชาตินี้ได้ดำเนินชีวิตมาอย่างสมบูรณ์แบบ   และมีความหมายอย่างยิ่ง


          กระทั่งปัจจุบันผมก็ยังคงจำได้อย่างแม่นยำ    ถึงปีที่ผมเริ่มเป็นครูสอนชั้นมัธยม    เมื่อผมเรียนจบ    ก็ได้เข้าสู่โรงเรียนมัธยมชั้นนำสอนคณิตศาสตร์    นักเรียนที่นี่ได้รับการคัดสรรเลือกเฟ้นมาแล้ว   น้อยมากที่จะมีผลการเรียนไม่ดี    เมื่อสอนก็ย่อมมีการตอบรับที่ดีด้วยความราบรื่น    ง่ายดายและสบายจริงๆ    จะออกโจทย์ให้ยากอย่างไร    พวกเขาก็ไม่มีทางสอบตก    แต่แล้ว! อย่างฉับพลัน   ผมสังเกตพบว่ามีนักเรียนคนหนึ่ง    เวลาเข้าเรียนดูเหมือนจะมีจิตใจเหม่อลอย    มักจะนิ่งมองดูเพดาน   ผลสอบกลางเทอม    วิชาคณิตศาสตร์สอบได้แค่ 15 คะแนน    ประหลาดมากทั้งชั้นมีผู้สอบตกคนเดียว   และคะแนนก็แย่เอามากๆ


          วันหนึ่ง หลังจากเลิกเรียน    ผมขอให้เขามาสนทนากัน     ไอ้เด็กนี่ถามอะไรก็บอกแต่ไม่รู้    ผลการเรียนที่ตกต่ำอย่างหล่นฮวบ    กล่าวอ้างบอกเหตุผลไม่ได้   เพียงยืนยันว่าเวลาเรียน  ฟังไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร?    ผมเองกลับคิดว่าเขาไม่ตั้งใจเรียน   ดังนั้นผมจึงบอกว่าผมจะต้องพบกับผู้ปกครองของเขา    เกิดความวิตกขึ้นในบัดดล    เขาบอกว่าคุณพ่อเขาเสียเมื่อเขาอายุ 5 ขวบ   แม่แต่งงานใหม่ไปอเมริกาไม่ได้พาเขาไปด้วย    เขาอยู่กับย่าตามลำพัง   ฐานะทางเศรษฐกิจดีมาก    แต่ย่าอายุมากแล้ว   พูดจีนกลางได้น้อยมาก    และไม่รู้หนังสือ    ถ้ารู้ว่าผลการเรียนของเขาไม่ดี    ย่อมจะต้องเสียใจมาก


          เขาถูกผมกดดันมาก    และอยู่ๆก็ถามว่า   คุณครูครับ ครูคิดว่าผมหลอกครูหรือ?   คิดหรือครับว่าผมทำข้อสอบได้    แต่แกล้งเป็นทำไม่ได้?     เป็นคำถามที่รู้สึกเซ่อไปเลยไม่รู้จะตอบอย่างไร    นอกจากให้กำลังใจและให้เขาตั้งใจเรียน    ยังอาสาสอนพิเศษคณิตศาสตร์    และก็เริ่มเลยในคืนวันนั้น   เริ่มแรกนักเรียนคนนี้ไม่ค่อยจะ     ยอมรับผมเป็นครูอาสาสอนพิเศษ    แต่ด้วยผมยืนยันต้องเป็นเช่นนี้    เขาก็เลยต้องจำยอม    ทุกค่ำทำการบ้านภายใต้การดูแลของผม


          ผมพบว่าจริงๆแล้วเขาไม่โง่   เพียงแต่ว่ามีปฏิกิริยาต่อคณิตศาสตร์ช้าไปหน่อย    หลังจากสอนพิเศษสัปดาห์ละสองครั้ง    ในที่สุดเขาก็เรียนตามทัน    ผลสอบก็ดีขึ้นตลอด    หลังจากสองเดือนผ่านไป    ผมก็ไม่จำต้องเอาใจใส่อีกเลย    ผมเลิกห่วงเขาได้    และจากนั้นนักเรียนคนนี้ก็สนิทสนมกับผมมาก    ในขณะนั้นครอบครัวผมยังไม่มีลูก    หลังจากภรรยาผมทราบว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่   ก็เชิญชวนเขามาทานข้าว    เขามีเรื่องอะไร    ก็จะมาปรึกษาหาลือ     แม้แต่เรื่องของชีวิตประจำวัน


          ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขานับว่าราบรื่น    ก่อนเดินทางไป สันเขาแห่งความสำเร็จ (ฝึกวิชาทหารก่อนเรียนมหาวิทยาลัย) ยังมากราบลาเรา    แต่ทว่า3วันต่อมา    ผมได้รับจดหมายจากเขา   เนื้อความในจดหมายทำให้ผมต้องตลึงงัน






คุณครูครับ


          ได้โปรดให้อภัยผมที่ได้หลอกคุณครูมาครั้งหนึ่ง   ตอนที่การเรียนผมตกต่ำอย่างฮวบฮาบ   มันเป็นความจงใจของผม    ตลอดเวลาผมไม่มีพ่อ    และอยากมีพ่อสักท่านหนึ่ง    ถ้าได้อย่างนั้น    เมื่อมีปัญหาอะไร   ก็สามารถเรียนปรึกษาได้    ดังนั้นจึงได้เกิดอุบายขึ้นในใจ   ผมมีครูสอนอังกฤษ ครูสอนจีน ครูสอนคณิตศาสตร์    ล้วนเป็นครูผู้ชาย    ผมตัดสินใจแกล้งทำเป็นว่าการเรียนตกต่ำ    แล้วสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับว่าเป็นอย่างไร


          ครูสอนภาษาอังกฤษ   ไม่รู้สึกรู้สาอะไรต่อการเรียนที่ตกต่ำของผมแม้แต่น้อย   ขณะส่งข้อสอบที่ผมทำคืนมา     ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆเลย    ครูสอนภาษาจีน   ดุด่าผมยกใหญ่   ครูบอกว่าครูรังเกียจและเครียดแค้นที่สุดคือนักเรียนที่ไม่เอาใจใส่    ครูลงโทษให้ผมยืนประจาน 1 ชั่วโมง    แม้ผมจะเป็นเด็กม.4   รูปร่างก็สูงมากแล้ว    พวกร่างสูงกลัวที่สุดคือยืนประจาน    โตขนาดนี้แล้ว    ยังต้องถูกลบหลู่   แน่นอนว่าย่อมอารมย์เสีย    วันต่อมา อริยขัต ไม่ท่องแม้แต่คำเดียว    ครูภาษาจีนเห็นว่าส่งข้อสอบเปล่าอีกแล้ว    ลงโทษให้ผมยืนประจานทันที    จากนั้นยังกล่าวก่อนเลิกเรียนว่า    ครูได้ตัดหางปล่อยวัดผมแล้ว


          หนึ่งเดียวที่เป็นห่วงผมก็คือคุณครู    คุณครูถามแล้วถามอีกว่ามันเกิดอะไรขึ้น    และยังได้สอนพิเศษให้ผม    อันที่จริง คุณครูแค่เพียงเป็นห่วงผมก็เพียงพอแล้ว    ผมคิดไม่ถึงเลยว่า    คุณครูอาสาสอนพิเศษให้ผมฟรี    ผมต้องแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ    เสแสร้งอยู่เช่นนี้เต็มๆ 2 เดือน    จึงสามารถหลุดพ้นจากท้องทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน    ทว่าตั้งแต่นั้นผมก็รู้สึกว่า    ผมเล่นลครได้เก่งมาก


          ผู้ที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุด    จริงๆแล้วก็คือ ครูแม่ (หมายถึงภรรยาคุณครู)    ความเป็นห่วงเป็นใยของท่าน    ผมไม่มีวันที่จะลืมเลือน    ครูแม่เชิญผมไปรับประทานอาหารค่ำครั้งแรก    เป็นเวลาที่กระแสลมหนาวพัดผ่านมาพอดี    ผมจงใจไม่สวมเสื้อกันหนาว     ครูแม่เห็นเสื้อผ้าผมบอบบาง    จึงควบคุมตัวผม   ไปยังแผงลอยขายเสื้อกันหนาวทันที    เลือกแจ็กเก็ตหนาๆให้ผม    ผมรู้ดีว่าเงินเดือนคุณครูไม่มาก (แม้ผมจะได้รับบทความนี้    จากเพื่อนในแผ่นดินใหญ่    แต่เนื้อความก็บ่งบอกว่า    เป็นเรื่องที่เกิดในไต้หวัน    และน่าจะเป็นเวลาใกล้เคียงกับที่ผมไปเรียนที่ไต้หวัน    ซึ่งผมได้รับค่าขนม    มากกว่าเงินเดือนครูที่ต้องเลี้ยงครอบครัว    บ่งบอกว่า ครูแม่ห่วงใยและเสียสละเพียงไร?)    ยังแบ่งปันให้ผมขนาดนี้    ผมทราบดีว่าผมพบ พ่อแม่ ที่ผมแสวงหาแล้ว


          ตั้งแต่นั้นมาผมก็ถือว่าคุณครูคือ พ่อ ของผม    มีปัญหาอะไรผมจะต้องเรียนถามท่าน    และทุกครั้งท่านก็จะให้คำแนะนำผม    ขณะเดียวกันผมก็แอบ    เลียนแบบวิถีปฏิบัติของท่าน    ท่านมีความจริงใจกับทุกคน    และด้วยเหตุนี้ผมก็พยายามจริงใจกับผู้คน    ทั้งหลายเหล่านี้คือสิ่งที่คุณครูไม่รู้    ผมขอความเมตตาคุณครู   ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย    ที่ครั้งกระนั้น ผมได้หลอกคุณครู    อันที่จริงแล้วผมไม่มีทางเลือก    ผมต้องการ คุณพ่อ จริงๆ    สุดแสนโชคดีที่ได้รับความห่วงใยจากท่าน    แต่นี้ต่อไปผมมีผู้ให้คำปรึกษา    ด้วยเหตุที่ว่า    คุณครูไม่ทอดทิ้งผม    ในขณะที่การเรียนผมตกต่ำ     ท่านคือผู้มีอิทธิพลสูงสุดในชีวิตผม


ขออวยพรให้   การถ่ายทอดวิชาราบรื่น


                                               นักเรียนที่หลอกคุณครู


                                       ซิ่ง จัง (แซ่เตียหรือแซ่เตียวในไทย)


          จดหมายฉบับนี้   ทำให้ผมสะท้านไปทั่วร่าง    พวกเราที่เป็นครูได้แต่ตรวจสอบนักเรียนตั้งแต่เช้าจดเย็น     ไม่เคยคิดเลยว่า    นักเรียนก็กำลังตรวจสอบพวกเรา    นักเรียนของผมคนนั้น    ออกโจทย์ให้ครูสอบ     ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า    ข้อสอบนี้มีผมคนเดียวเท่านั้นที่สอบผ่าน


ตั้งแต่นั้นมา   ผมก็เอาใจใส่นักเรียนมากขึ้นเป็นพิเศษ   ไม่ว่าสติปัญญาของพวกเขาจะเป็นอย่างไร   ผมไม่ยอมที่จะละเลย    ใช้ทุกวิถีทางช่วยเหลือพวกเขา    ให้พวกเขาได้เรียนรู้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้    หลายปีมานี้    ไม่รู้ว่าสอนนักเรียนที่การเรียนไม่ดีไปเท่าไร     มีหลายคนที่อยู่ในประเภท อัจฉริยะในบั้นปลาย    ได้เป็นดุษฎีบัณฑิต    และทั้งหมดไม่ว่าจะมีผลการเรียนเช่นไร    ล้วนประกอบสัมมาชีพในสังคม    ไม่มีแม้คนเดียวที่เกิดปัญหา


ผมพบว่านักเรียนรุ่นหลังๆ   ซาบซึ้งใจต่อผมมาก   และผลสำเร็จใดๆของพวกเขา   ก็ย่อมทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจ


วันพรุ่งนี้    จะมีนักเรียนที่ผมเคยสอนจำนวนมาก    มาร่วมงานเลี้ยงน้ำชา     เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการของผม    เชื่อว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนรุ่นหลังๆ    นักเรียนผู้ออกข้อสอบ คนนั้น    ย่อมต้องมาแน่     ธุระกิจของเขาประสพความสำเร็จมาก    และเราก็ติดต่อกันอย่างใกล้ชิดตลอดมา


ผมอยากบอกเขาว่า  ผมนั่นแหละที่จะต้องขอบใจเขา  เพราะเขาเป็นผู้เปลี่ยน แปลงชีวิตผม   เขาเป็นผู้มีอิทธิพลบันดาล   ให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

ความเห็น

ขอบคุณสำหรับเช้านี้ค่ะ แดงตั้งใจอ่านและได้ข้อคิดดีดีหลายอย่างค่ะ

"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"

เอาใจเขา  มาใส่ใจเรา 

"เอาดวงใจของเขา  ใส่ดวงใจของเรา  แล้วจะรู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง.........."

ขอบคุณค่ะพี่

หยังงี้  แสดงว่า  ต้นกล้าก็กำลังทดสอบแม่อยู่เหมือนกันนิ  สะดุ้งเลย  เพราะบางครั้งเหมือนลองใจเราเลยพี่

ฉันจะปลูก ผัก ให้ลูกทาน

ตอนนี้น้องยังอาจเล็กอยู่..ต่อไปไม่แน่..เอ๋อาจโดนต้นกล้าทดสอบก็เป็นได้..(ลองทบทวนดูสิ..ชีวิตเราที่ผ่านมาก็เคยทั้งทดสอบผู้อื่นและถูกผู้อื่นทดสอบมาแล้วทั้งสิ้น..เพียงแต่มีสติระลึกได้หรือเปล่าเท่านั้น..เนอะ)

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

คุณตั้ม ได้อ่านแล้วค่ะ อ่านอย่างละเอียด ขอขอบคุณที่นำเรื่องอย่างนี้มาให้อ่าน


๑. นักเรียนคนนั้นโชคดีมากนะคะ เขาอยากมี "พ่อ" อยากมีความรัก แล้วเขาก็มีวิธีการคิดอย่างเป็นตรรกะที่สูงมากและลงมือทุ่มเทเพื่อให้ได้พ่อ แม้ว่าต้องเสี่ยงกับการที่จะไม่ได้อะไรเลย


๒.ในหัวใจของคนเป็นครู เขามีจิตใจที่ทุ่มเทกับการที่เป็นผู้ให้ ให้ทั้งกายและให้ทั้งใจ จากประโยคในจดหมายที่นักเรียนคนนั้นได้บอกไว้   "...ตั้งแต่นั้นมาผมก็ถือว่าคุณครูคือ พ่อ ของผม    มีปัญหาอะไรผมจะต้องเรียนถามท่าน    และทุกครั้งท่านก็จะให้คำแนะนำผม    ขณะเดียวกันผมก็แอบ    เลียนแบบวิถีปฏิบัติของท่าน    ท่านมีความจริงใจกับทุกคน    และด้วยเหตุนี้ผมก็พยายามจริงใจกับผู้คน    ทั้งหลายเหล่านี้คือสิ่งที่คุณครูไม่รู้    ผมขอความเมตตาคุณครู   ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย    ที่ครั้งกระนั้น ผมได้หลอกคุณครู    อันที่จริงแล้วผมไม่มีทางเลือก    ผมต้องการ คุณพ่อ จริงๆ    สุดแสนโชคดีที่ได้รับความห่วงใยจากท่าน    แต่นี้ต่อไปผมมีผู้ให้คำปรึกษา    ด้วยเหตุที่ว่า    คุณครูไม่ทอดทิ้งผม    ในขณะที่การเรียนผมตกต่ำ     ท่านคือผู้มีอิทธิพลสูงสุดในชีวิตผม"


...อ่านประโยคในจดหมายนี้แล้ว  อยากบอกความในใจกันเลยนะคะว่าซาบซี้งมากค่ะ กับการที่มีทั้งครูและนักเรียน ที่ต่างคนต่างทำหน้าที่


ครูทำหน้าที่"ให้อย่างมากมาย ให้อย่างไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน ให้อย่างจริงใจและบริสุทธิ์ใจ" 


ส่วนลูกศิษย์เองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ "หาพ่อให้ตัวเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ"


ได้เห็นตัวอย่างอย่างนี้แล้วอดหันกลับมามองโลกลูกกลมๆอีกครั้งไม่ได้ค่ะ "ผู้ให้" กับ "ผู้หา" บางทีก็ต้องมีโจทย์ของชีวิตเขามาให้ทำนะคะ แม้ว่าจะนานแค่ไหน ก็ต้องแก้โจทย์ให้ลงตัว...ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่...



ขอบคุณมากอีกครั้งค่ะ คุณตั้ม

ดุลยภาพของสังคม..ต้องทั้งให้และรับ..ผมเองในเวบบ้านสวนนี้ซะอีก..ที่ไม่เคยมีอะไรให้ใคร..ไม่มีเมล็ดพันธ์ส่งให้..เลยบอกกับเพื่อนๆและน้องๆสมาชิกหลายคนว่า..ขอแสดงเจตนาไม่รับของที่จะส่งมา..เว้นแต่ในงานพบปะและมีของเหลือมากพอ..จะขอแบ่งปัน..ไม่ใช่หยิ่งหรืออะไรทั้งสิ้น..มันรู้สึกผิดตะหาก..

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

คุณตั้ม ขอบคุณคอมเม้นท์ค่ะ เห็นด้วยกับในสังคมที่มีผู้ให้และผู้รับ ส่วนตัวเองน่าจะเป็นทั้งความรู้สึกผิดด้วยและรู้สึกให้เขาไม่มากพอด้วย เลยยังไม่กล้าที่จะรับ


อีกอย่างรับมาแล้วก็เกรงว่าจะดูแลได้ไม่ดี แต่พอเวลาเป็นผู้ให้ก็รู้สึกขอบคุณมากที่เขารับไปปลูกต้องดูแลกระทั่งโตให้เมล็ดพันธุ์พืชใหม่แก่โลกนี้ต่อๆไป 


ดังนั้น พอเป็นมือใหม่ในการปลูกก็เลยยังไม่ค่อยกล้ารับเกรงจะดูแลไม่เต็มที่อย่างที่ว่าไว้น่ะค่ะ  สักวันหากว่าปลูกได้เก่งๆกว่านี้ ก็จะขอรับได้มาสร้างเมล็ดพันธุ์พืชแก่โลกให้มากขึ้น 

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงคุณครูของป้า...เมื่อตอนอยู่ประถม...ท่านเป็นเช่นนี้จริงๆ ชื่อคุณครูพรทิพย์  สุวรรณคุ้ม ท่านเป็นคนที่น่ารักมากดูแลเอาใจใส่เด็กเหมือนคุณครูในเรื่องของคุณตั้ม ( ป้าเป็นเด็ก รร.วัด นะคะ ) คิดถึงท่านจนถึงทุกวันที่โดนท่านตีเรื่องซนซ่ามากกว่าใครเพื่อน...แต่ก็ยังรักท่าน....ขออวยพรให้เด็กพบคุณครูแบบนี้มากๆ คะ

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

โชคดี..ที่ได้พบเจอครูดีๆอย่างนั้น..ต้องไปกราบท่านบ่อยๆเลยละ

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

ตั้งแต่สอนมา  จะมีเด็กที่เอาย่างเราแบบฝังเลย ไม่เปลี่ยนแปลง  เมื่อครูคนอื่นมาชักจูง 

ให้พฤติกรรมเบี่ยงเบน  เช่น

1 ให้พาครูไปเลี้ยงหนัง

2ให้เลี้ยงเหล้าครู

3 ให้เลี้ยงข้าวครู    

พฤติกรรมเหล่านี้  น่าเป็นห่วงมากๆ  สำหรับเด็ก  ปวช.  ปวส.  ซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่อยากลอง  และก็เสียเด็ก  แม้แต่กับครูคนที่พาเขาเบี่ยงเบนพฤติกรรมเขาก็ไม่ค่อยนับถือ  ครูคนอื่น  ไม่ต้องพูดถึง  เมื่อเรียนจบ  เขาก็หายไปเลย   ไม่ได้เห็นหน้ากันอีก  ไปใช้ชีวิต  ที่ปรับเป็นฉบับของเขา   สำหรัครูคนนั้นก็  ชวนเด็กรุ่นใหม่  ให้ไปเลี้ยงเหล้าครูต่อไป

แต่จะมีเด็กอีกจำนวนหนึ่ง  ที่เอาอย่างเรา  เมื่อเรียนจบไปแล้ว  เด็กพวกนี้  ก็ยังมาหาอยู่ค่ะ  บางคนจบไปแล้ว  เกือบ10ปี  ก็ยังมา  มาบอกถึงความสำเร็จ  มาชวนไปเที่ยวบ้าน  ไปหาพ่อแม่  ว่าพ่อแม่เขาสบายขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้วนะ  ตรงนี้  ป้าเล็กภูมิใจ  ในพฤติกรรมตัวเองเสมอมา 

เคยได้ยินมาไม่รู้จริงเท็จ..อย่างเด็กช่างกลที่ตีกัน..ข่าวว่า..ส่วนหนึ่งก็จากครูที่เป็นลูกพี่สถาบันสร้างค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง..แต่ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อนะ..ผมว่า..คนเป็นครูได้น่าจะมีวุฒิภาวะ..ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น..แต่พอมาเจอของป้าเล็ก..ชักไม่มั่นใจแล้ว..ยังมีครูแบบนี้อีกเหรอ..ส่วนใหญ่ครูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า..ต้องทำอะไรให้เด็กๆมากกว่า..ไม่ว่าจะเป็นการออกค่าใช้จ่ายต่างๆก็ตาม

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

หน้า