กอดป่าหน้าฝน # 4 ...ปีนภู ดูม้ง ลุยดงกระหล่ำ !!

หมวดหมู่ของบล็อก: 

กอดป่าหน้าฝน  # 4 ภูหินล่องกล้า-ภูทับเบิก

เมื่อคืนพวกเราทั้ง 6 คนรีบเข้านอนที่บ้านพักริมน้ำแก่งซองด้วยอาการสะบักสะบอมเพราะโดนแรงเหวี่ยงจากกระแสในลำน้ำเข็กพอให้เข็ดขยาดการท่องเที่ยวแบบนี้ไปอีกนานค่ะ

อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการที่ต้องลงแรงพายงัดๆกันตั้งแต่เมื่อวาน   วันนี้เริ่มปรากฏอาการให้เห็นกันทุกคน   บางคนบ่นปวดสะโพก โดยเฉพาะคนที่อยู่ด้านขวาของแพ  นายหัวเขาบอกว่าเขาจะเอาด้านนี้เป็นด้านปะทะกับสายน้ำอันเชี่ยวกรากจึงทำให้ด้านขวาได้รับแรงกระแทกมากกว่าคนที่นั่งด้านซ้าย แต่ถ้ากระแสน้ำแรงมากๆและแพถูกเหวี่ยงจนเสียหลัก  คนที่นั่งข้างซ้ายจะถูกสะบัดให้หลุดจากแพก่อน    จึงเป็นอันว่าเจ๊ากัน  จะนั่งด้านไหนก็โหดพอกัน

ขึ้นจากห้วยแล้ว วันนี้ตามเราไปปีนเขาเข้าป่ากันนะคะ   จุดหมายต่อไปของเราคือ ภูหินล่องกล้าและภูทับเบิกและค่ะ  เราจะลงจากดอยกันวันนี้    ฉันดีใจมากที่จะได้ออกไปจากดินแดนมิคสัญญีที่ขาดการติดต่อจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเสียที  สองวันที่ผ่านมาฉันต้องปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดเพราะเปิดไปก็เจ็บใจเปล่าๆ   เนื่องจากไม่มีใครสามารถส่งข้อความหาฉันได้เลย   พอช่วงที่ลงมาทางราบที่พอมีสัญญานบ้าง   แม่เจ้าประคุณเอ๋ย   ข้อความและมิสคอลทั้งหลายก็ประเดประดังเข้ามาจนฉันกันอ่านไม่ทัน   แต่ยังไม่ทันได้ตอบกลับ  รถตู้ก็พาเราเข้าป่าต่อ  เป็นอันว่าวันนี้อีกวันที่ฉันจะเดินป่าได้อย่างสุขใจโดยไร้สื่อใดรบกวน  

อาหารเช้าของเราวันนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่ง่ายๆ สะดวก และพอเพียง     พวกเราหลับกันตลอดเส้นทาง  นานแค่ไหนไม่รู้ค่ะ   แต่มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อรถจอดและได้ยินและได้ยินโชว์เฟอร์บอกว่าที่นี่คือลานหินปุ่ม    พวกเราหายงัวเงียทันที่ที่กระโดดลงจากรถมาสัมผัสกับอากาศข้างนอก ที่เย็นจนหนาว ผ้าคลุมไหล่สีขาวลายดอกชบาสีชมพูของฉันได้ออกมาโชว์สีสันอันงดงามบนลานหินอีกครั้ง      อากาศบนยอดภูบริสุทธิ์เสียจนเราไม่อยากจากไป แต่จำใจต้องอำลาเพื่อมาพบกันใหม่    

ก่อนออกจากลานหินปุ่มเราได้แวะอุดหนุนสินค้าของระลึกซึ่งคุณยายม้งนั่งขายอยู่ที่เล็กเพิงเล็กๆใกล้ที่จอดรถ  และก็คืออิมเมจของที่นี่เลยค่ะ   ต่างคนต่างหาซื้อของติดไม้ติดกลับไปฝากคนที่บ้านกันคนละเล็กคนละน้อย   ของที่นี่ราไม่แพงค่ะ  มีทั้งเครื่องเงิน  ผ้าทอ สินค้าภูมิปัญญาชาวม้งที่ทำจากไม้ไผ่  และเมล็ดพันธ์   ฉันได้เมล็ดพันที่คุณยายบอกว่าเป็นน้ำเต้า  ซึ่งสองถุงที่ฉันซื้อมาลักษณะเมล็ดไม่เหมือนกันแต่อยู่ในตระกูลแตงทั้งคู่  คุณยายบอกว่าเป็นน้ำเต้าเหมือนกัน   ฉันก็เลยซื้อมาปลูกดู  อยากรู้ว่ามันเป็นน้ำเต้า  หรือฟักทอง  

มัวแต่ต่อรองราคาค่าเมล็ดพันธ์จากถุงละ  10  บาทเหลือ  5  บาท   จนลืมถามไปว่าเมล็ดพันธ์อีกถุงซึ่งเป็นเม็ดเล็กๆ  สีดำนั้น คือเมล็ดอะไร  คุณยายอาจจะบอกมาแล้วก็ได้ แต่ฉันลืมจำเพราะเป็นภาษาม้ง  และเมื่อฉันประสบความสำเร็จในการต่อรองราคาคือ  3  ถุง 15  ได้แล้ว  ฉันก็วิ่งขึ้นรถซึ่งเพื่อนๆได้ไปรออยู่แล้ว   นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่ต่อรองเงินอีกตั้ง 15  บาทกับคุณยายม้ง   ฉันก็คงไม่ต้องกลายเป็นคนล่าช้าที่สุดให้เพื่อนๆส่งสายตามาตำหนิได้หรอกค่ะ

แต่ตอนนี้ฉันยังสงสัยว่าเมล็ดพันธ์อีกถุงมันคือต้นอะไรกันแน่   ต่อให้เอาให้ผู้เชี่ยวชาญดูเมล็ดก็คงดูก็คงบอกยากค่ะ  ฉันก็เลยคิดว่าจะลองเอาลงดินดูก่อนถ้าเขาเจริญเติบโตจนเห็นเป็นใบ  ฉันคิดว่าคงไม่เกินความสามารถของกูรูเกษตรที่นี่ที่จะบอกได้ว่ามันคือต้นอะไรนะคะ

เรามาถึงทางขึ้นลานหินแตกแล้วค่ะ  เริ่มแรกพอเห็นทางขึ้นพวกเราก็ตั้งใจไว้ว่าจะเอาแค่ชายป่าก็พอเพราะคิดว่าข้างในคงไม่มีอะไรสนใจ  ผู้หญิงทั้ง 6 คนเดินหายเข้าไปในเวิ้งป่า สักพักเดียวเท่านั้นก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าววี๊ดว๊ายซะจนชะนีเจ้าป่าคงตกใจหนีหายเข้าป่าลึกไปเลยมั้ง   เพราะภูมิประเทศที่เราเห็นอยู่เบื้อหน้านี้มันเหมือนกับเรามายืนอยู่ที่ดาวเคราะห์อีกดวงนึงก็ว่าได้ค่ะ     ทั้งดอกไม้ป่ากระจิ๊ดริ๊ดที่แข่งกันบานแทรกผ่านใบสีเขียวๆสลับดอกสีขาวที่มองดูแล้วละลานตาไปทั้งทุ่ง    ไหนจะธารน้ำใสที่ไหลเอื่อยๆเย็นๆ โดยไม่อินังขังขอบว่าโลกภายนอกจะขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วถึงกี่หมื่นปีแสงแล้ว  แต่สรรพสิ่งในป่านี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนไปไหนนี่คะ    พวกเราจึงติดกับดักของธรรมชาติ และหลงใหลในเสน่ห์แห่งป่าเขาลำเนาไพรซึ่งล่อลวงให้เราเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

เสียงกู่ก้องตอบเรากันเป็นจังหวะของทาร์ซานที่เราได้ยินมาแว่วๆ   ทำให้เรามองหน้ากันอย่างเงียบงัน  จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเรามากันแค่ 6 คน  และเป็นผู้หญิงล้วนนี่นา    แต่เสียงที่เราได้ยินเมื่อครู่นี้  มันเสียงทาร์ซานชัดๆ  ใช่แล้วค่ะ  เป็นเสียงผู้ชายตะโกนโต้ตอบกัน

ตกใจก็ส่วนนึงค่ะ    แต่ดีใจมากกว่า.... ฮา  (เอาอีกแล้วพวกแพ้ความหล่อ!!!)   เราเดินไปตามทางต้นกำเนิดเสียงเพราะเรารู้ว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว  และก็จริงดังคาดค่ะ   บนลานหินแตกเบื้องบนซึ่งเป็นลานหินกว้างลักษณะตะปุ่มตะป่ำซึ่งจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก มีดอกไม้ป่าสีขาวขึ้นแซมตามซอกหินเหมือนกับมีใครเอาสีขาวมาแต่งแต้มไว้อย่างนั้นแหละค่ะ    เราได้เจอน้องนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังแอ๊คท่าถ่ายรูปกับป้ายบอกทางกันอย่างมีความสุข   น้องๆกลุ่มนี้มีกัน 5 คน  และคิดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง  ซึ่งยังไม่มีแฟน เพราะเมื่อไหร่ที่น้องขึ้นปีสองและมีแฟนแล้ว  น้องๆจะไม่เกาะกลุ่มกันเที่ยวแบบชายล้วนแบบนี้หรอกค่ะ  แต่เอ ...เราเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปหรือเปล่าคะเนี่ยะ      เมื่อเพื่อนในกลุ่มได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากในกลุ่มไหนมีแต่หนุ่มๆล้วน  ให้สังเกตในพฤติกรรมได้ว่าพวกเขาอาจจะเป็นพวกรักธรรมชาติ ประเภทหลงใหลในไม้ป่าเดียวกันก็ได้    (เศร้ามั้ย !!)

เราถ่ายรูปบนลานหินปุ่มเป็นที่ระลึกไม่เยอะหรอกค่ะ เพียง memory full ทุกกล้องเท่านั้นเอง  ก็ได้เวลาเดินกลับแล้ว  ขากลับไม่ตื่นเต้นเท่าขามานะคะ  เพราะไม่ต้องมัวรีรอแต่ถ่ายรูปเหมือนตอนแรก    พวกเรากลับมาถึงลานจอดรถโดยสวัสดิภาพ ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง ระยะทางไปกลับ  2.2  กิโลเมตร รู้สึกเหมือนกับว่าเรากลับออกมาจากโลกแห่งความฝันมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง   ซึ่งพวกเราทุกคนก็รู้ว่าโลกแห่งความจริงคือสิ่งแน่นอนที่เราต้องกลับไปใช้ชีวิตที่นั่น    แต่เราก็ได้เมมโมรี่โลกแห่งความฝันแห่งนี้ไว้ในความทรงจำ เพื่อที่ว่าจะได้ฝันถึงทุกครั้งที่หลับอยู่ในภวังค์ ณ. โลกแห่งความจริงต่อจากนั้น รถตู้คันเดิมก็ได้พาเราเดินทางต่อไปยังภูทับเบิก.....ไร่กะหล่ำปลีในฝัน  ของใครหลายๆคน    

ที่ภูทับเบิก เรารู้อยู่แล้วว่าเราต้องเจอไร่กะหล่ำปลี  และเราก็ไม่ผิดหวังค่ะ   แม้ว่าหน้านี้จะเป็นช่วง โลว์ซีซั่น  ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่    แต่ชาวไร่ก็ไม่ได้หยุดเพาะปลูก    เรานั่งรถมองดูภูเขากระหล่ำปลีที่ขนาบอยู่ทั้งซ้ายขวาอย่างไม่เบื่อ  หน่าย   ภูลูกแล้วลูกเล่ากลายเป็นภูเขาหัวโล้นที่ปกคลุมไปด้วยไร่กะหล่ำปลีที่ขึ้นซ้อนกันเป็นวงๆคล้ายก้นหอยบนนิ้วมือคน  เกษตรชาวม้งยงคงแข็งขันขนย้ายกะหล่ำปลีจากไร่มายังลานรับซื้อซึ่งก็เป็นสถานที่เดียวกันกับชุดชมวิวและแหล่งขายสินค้าที่ระลึก   และแน่นอนที่นี่ฉันได้ลูกน้ำเต้าที่แห้งแล้วและทำเป็นกระบวยสำหรับตักน้ำกลับไปฝากชาวพื้นราบในราคาอันละ  20 บาท

เราฝากท้องสำหรับมื้อเที่ยงซึ่งล่วงไปบ่ายแก่ๆแล้วไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งเดียวบนภูทับเบิกแห่งนี้ค่ะ      เมนูอาหารก็หาได้พิสดารอะไรนะคะ   ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตผลจากท้องถิ่นทั้งนั้น    เช่นกระหล่ำปลีผัดน้ำมันหอยอะไรเงี้ยะ   แต่ราคามหาโหดเหลือเกิน    เราสั่งอาหารที่มีแต่ผักสามสี่อย่าง   (เพราเขาไม่มีเนื้อสัตว์ไว้บริการเนื่องจากเป็นหน้าโลว์  นอกจากไก่)   และข้าวผัด  มื้อนั้นเราจ่ายไปแปดร้อยกว่าบาทค่ะ

   อืมมมม  .....  แต่กระหล่ำปลีเค้าอร่อย   กรอบ  หอม  หวาน  จนเกือบลืมเรื่องราคา 

รถตู้พาเราวิ่งวนบนภูเขากะหล่ำเพื่อให้เราถ่ายรูปกันให้จุใจ  หลังจากนั้นจึงพาเราผ่านหมู่บ้านม้งเพื่อไปไหว้พระที่วัดป่าภูทับเบิก   ที่นี่ฉันพยายาหาเมล็ดดอกลำโพงเพื่อเอากลับมาปลูกที่ใต้   เพราะเพื่อนบอกว่าถ้าเอาดอกลำโพงมาตากแห้งแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเหมือนใบยาสูบแล้วให้เอาไปเป็นส่วนผสมในอาหารหรือเครื่องดื่ม  จะให้ความเคลิบเคลิ้มแก่ผู้เสพประหนึ่งได้เคี้ยวใบกระท่อม จริงเท็จประการใดคงต้องรอผู้รู้ค่ะ   ฉันหาเมล็ดดอกลำโพงก็ไม่สำเร็จค่ะดอกชนิดไม่มีเมล็ดไม่รู้เขาปลูกด้วยอะไร   ฉันจึงเก็บเมล็ดดอกรักเร่สีแดงสดซึ่งฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งด้วยกล้องจากมือถือ  รูปที่ได้จึงไม่น่าประทับใจและไม่ได้เอามาโชว์คุณศิษย์นะคะ 

 ทางเข้าที่ไม่จูงใจ

แดงได้ใจ

ชอบดอกไม้สีส้มเป็นชีวิตจิตใจค่ะ 

ความชุ่มชื้นที่แรกพบเห็น

เข้าป่าแบบไม่น่ากลัว

ดอกไม้ป่า สวยจนอยากขโมย 

ว่านอะไรขึ้นอยู่ดาดดื่น

ปีนอีกนิด

ต้นบุก  ดอกคล้ายหอม้ข้วหม้อแกง   อาหารชั้นเลิศของคนหลงป่า

เดินคนเดียว

ไปไหนดี

โดดเดี่ยว  แต่ไม่เดียวดาย

เอื้อมมือคว้าหมอก  มากอดแทนใคร ??

ทางลง

หมู่บ้านม้งบนภูทับเบิก

รีสอรท์ที่มีไว้ให้นอนนับดาว

จะคดเคี้ยวไปไหน

ขนำน้อยในฝัน  ..เมื่อไหร่จะมีกะเค้าบ้าง!

ถุงเล้ก  ด้านขวามือด้านล่างค่ะ  ไม่รู้เม็ดอะไร

หอมจำปาหน้าฝน ที่บ้านหล่มสัก

 

จบแล้วค่ะ  ทริปขึ้นเขา ลงห้วย.. วันพรุ่งนี้จะเดินทางกลับกรุงเทพค่ะ  มุ่งสู่โลกแห่งความศิวิไลย์ที่ใครๆก้ถวิลหา แต่สำหรับพวกเราทุกคน ได้ชาตแบเตอรี่กันเต็มที่แล้วก็คงต้องต่างแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของแต่ละคน บ้างก็กลับตรัง บ้างก้กลับกระบี่  ส่วนเราก็ได้เวลากลับพัทลุงเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่  ซึ่งบ่นคิดถึงมาแล้วหลายวัน  หลังจากนี้ก็คงหาที่เที่ยวแถวทะเลใต้  แล้วจะถ่ายรูปสวยๆ พร้อมเก็บความประทับใจมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ....บ๊าย บายค่ะ !!

 

ความเห็น

ขอตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ

ยินดีต้อนรับค่ะ   


แต่บางคนในทีมเขาคงขยาดชื่อนะคะ  เพระาโดน  แล้วร้อนค่ะ  !!

ม่วนแต้ๆ  อยากไค้ไปแอ่วผ๊องน่ะเจ้า  :wow2: :wow2: ดอกจ๋ำป๋าหอมไก๋มาถึงเจียงใหม่เลยเน้อเจ้า.... :admire2: :embarrassed: :love:

.................

มาบุกเมืองใต้มั่งมั้ย


หนุ่มใต้  หล่อ เข้ม และชัดเจนในชีวิตนะจ๊ะ   :uhuhuh:


 

ตามไปด้วยคน

e-mail. puangpech_@hotmail.com

 

สาวโสดหรอืไม่โสด  ก็ไปด้วยกันได้ค่ะ  

บรรยากาศดีมาก...มองเห็นไปไกล ๆ  ท้องฟ้าเมฆหมอก..ขอเก็บไว้ในความทรงจำก่อนนะคะ :bye:

....ความสุขอย่างแท้จริง ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง....

คราวหน้า  พี่ขอรีวิวสวนบ้านน้องแอนได้ป่าว   


จัดกิดจะกำหนุกๆ   แล้วพี่จะไปฉีกทุเรียนน้องแอน  เอ้ยยยย   จะไปฉีกทุเรียนที่บ้านน้องแอน  นะคะ  !!!

เขียนเรื่องได้น่ารักมากค่ะ อ่านแล้วไม่เบื่อชวนติดตาม ทำให้รู้สึกว่ากำลังยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ที่นี่คืออีกสถานที่นึงที่อยากไปค่ะ แต่ไปไม่ถึงสักที เพราะด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นวันนั้นของเราสักที  

ภูผา และป่ากว้าง   ยังรอการเยียมเยือนจากคนไทยนะคะ    อย่าปล่อยให้ฝรั่งมาแย่งเปิดซิงผืนป่าไทยไปหมดนะคะ     เราคนไทยต้องพิชิตก่อนค่ะ

หน้า