สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง

หมวดหมู่ของบล็อก: 

 The Johns Hopkins Hospital

โรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์  ตั้งอยู่ที่รัฐแมรี่แลนล์  สหรัฐอเมริกา

รูปหามาจาก Google (ขอบคุณรูปอ้างอิงด้วยค่ะ)

JOHN HOPKINS HOSPITAL REPORT
AFTER YEARS OF TELLING PEOPLE  CHEMOTHERAPY IS THE ONLY WAY TO TRY AND ELIMINATE CANCER, JOHNS HOPKINS IS FINALLY STARTING TO TELL YOU THERE IS AN ALTERNATIVE WAY .
แม้หลายปีที่ผ่านมา้การทำคีโมจะเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ใช้ในการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำว่ายังมีทางเลือกอื่นๆอีก

Cancer Update from Johns Hopkins
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. Every person has cancer cells in the body. These cancer cells do not show up in the standard tests until they have multiplied to a few billion. When doctors tell cancer patients that there are no more cancer cells in their bodies after treatment, it just means the tests are unable to detect the cancer cells because they have not reached the detectable size.
ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกว่ามันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว หมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอจนถึงระดับที่สามารถตรวจพบได้เท่านั้น

2. Cancer cells occur between 6 to more than 10 times in a person's lifetime.
มะเร็งมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง

3. When the person's immune system is strong the cancer cells will be destroyed and prevented from multiplying and forming tumours.
ตราบใดที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ ก็จะสามารถกำจัดเซลมะเร็งเองได้ และยังป้องกันไม่ให้เซลนั้นขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. When a person has cancer it indicates the person has multiple nutritional deficiencies. These could be due to genetic, environmental, food and lifestyle factors.
เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง นั่นกำลังบ่งบอกให้รู้ว่า คนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับภาวะโภชนาการ ซึ่งอาจจะเกิดจากยีนส์ สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. To overcome the multiple nutritional deficiencies, changing diet and including supplements will strengthen the immune system.
การเอาชนะภาวะทุพโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงนิสัยในการทานอาหาร รวมทั้งการได้รับสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้น

6. Chemotherapy involves poisoning the rapidly-growing cancer cells and also destroys rapidly-growing healthy cells in the bone marrow, gastro-intestinal tract etc,
and can cause organ damage, like liver, kidneys, heart, lungs etc.
แม้การทำคีโมจะเป็นการทำลายเซลมะเร็งที่กำลังเติบโต  แต่ขณะเดียวกันก็จะทำลายเซลที่ดีในไขกระดูก และเซลในระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ ทั้งยังเป็นเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. Radiation while destroying cancer cells also burns, scars and ! damages healthy cells, tissues and organs.
การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และยังทำลายเซล เนื้อเยื่อ และอวัยวะที่ดีอีกด้วย

8.. Initial treatment with chemotherapy and radiation will often reduce tumor size. However prolonged use of chemotherapy and radiation do not result in more tumor destruction.
การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสี มักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆ พบว่าไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. When the body has too much toxic burden from chemotherapy and radiation the immune system is either compromised or destroyed, hence the person can succumb to various kinds of infections and complications.
เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง คนๆ นั้นจึงอาจได้รับอันตรายจากการติดเชื้อชนิดต่างๆ และทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. Chemotherapy and radiation can cause cancer cells to mutate and become resistant and difficult to destroy. Surgery can also cause cancer cells to spread to other sites.
การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปสู่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

11. An effective way to battle cancer is to starve the cancer cells by not feeding it with the foods it needs to multiply.
วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการงดสารอาหารที่เซลมะเร็งจำเป็นต้องใช้่ในการขยายตัว

WHAT CANCER CELLS FEED ON:
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. Sugar is a cancer-feeder. By cutting off sugar it cuts off one important food supply to the cancer cells . Sugar substitutes like NutraSweet, Equal,Spoonful, etc are made with Aspartame and it is harmful. A better natural substitute would be Manuka honey or molasses but only in very small amounts. Table salt has a chemical added to make it white in colour. Better alternative is Bragg's aminos or sea salt.
น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การงดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น ในเกลือสำเร็จรูปมีสารฟอกขาว จึงควรเปลี่ยนมาใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน

b. Milk causes the body to produce mucus, especially in the gastro-intestinal tract. Cancer feeds on mucus. By cutting off milk and substituting with unsweetened soy milk, cancer cells are being starved .
นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. Cancer cells thrive in an acid environment. A meat-based diet is acidic and it is best to eat fish . Meat also contains livestock antibiotics, growth hormones and parasites, which are all harmful, especially to people with cancer.
เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานจำพวกปลาจะดีที่สุด ในเนื้อสัตว์อาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. A diet made of 80% fresh vegetables and juice, whole grains, seeds, nuts and a little fruits help put the body into an alkaline environment. About 20% can be from cooked food including beans. Fresh vegetable juices provide live enzymes that are easily absorbed and reach down to cellular levels within 15 minutes to nourish and enhance growth of healthy cells. To obtain live enzymes for building healthy cells try and drink fresh vegetable juice (most vegetables including bean sprouts) and eat some raw vegetables 2 or 3 times a day. Enzymes are destroyed at temperatures of 104 degrees F (40 degrees C).
อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อยจะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารโดยใส่พืชจำพวกถั่วลงไปด้วย น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสด 2-3 ครั้งต่อวัน
เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. Avoid coffee, tea, and chocolate, which have high caffeine. Green tea is a better alternative and has cancer-fighting properties. Water-best to drink purified water, or filtered, to avoid known toxins and heavy metals in tap water. Distilled water is acidic, avoid it.
ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูงชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. Meat protein is difficult to digest and requires a lot of digestive enzymes. Undigested meat remaining in the intestines become putrified and leads to more toxic buildup.
โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่ย่อยซึ่งตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. Cancer cell walls have a tough protein covering. By refraining from or eating less meat it frees more enzymes to attack the protein walls of cancer cells and allows the body's killer cells to destroy the cancer cells.
ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. Some supplements build up the immune system (IP6, Flor-essence, Essiac, anti-oxidants, vitamins, minerals, EFAs etc.) to enable the body's own killer cells to destroy cancer cells. Other supplements like vitamin E are known to cause apoptosis, or programmed cell death, the body's normal method of disposing of damaged, unwanted, or unneeded cells.
สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน (สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ)
เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินอี ก็กำจัดเซลมะเร็งได้ โดยปกติร่างกายจะมีกลไกธรรมชาติในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย เซลซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. Cancer is a disease of the mind, body, and spirit. A proactive and positive spirit will help the cancer warrior be a survivor.. Anger, unforgiveness and bitterness put the body into a stressful and acidic environment. Learn to have a loving and forgiving spirit. Learn to relax and enjoy life.
มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น
ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. Cancer cells cannot thrive in an oxygenated environment. Exercising da ily , and deep breathing help to get more oxygen down to the cellular level. Oxygen therapy is another means employed to destroy cancer cells.
เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

(PLEASE FORWARD IT TO PEOPLE YOU CARE ABOUT)
( กรุณาส่งต่อไปยังบุคคลที่คุณรักและห่วงใย)
This is an article that should be sent to anyone important in your life.
นี่คือเรื่องที่คุณควรส่งออกไปให้คนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณได้รับรู้รับทราบ

ที่มา:http://board.palungjit.com/f9/%E0%B9%8B%E0%B9%8Bjohn-hopkins-hospital-report-171602.html

 

ความเห็น

จากการพบเห็น  คนที่ทำงานเดียวกัน  ที่เป็นมะเร็ง  ก็คงจะมาจากหลายๆสาเหตุนะ  ตัวหลักที่ถูกมองข้ามบ่อยๆ คือความเครียดค่ะ  ก็เชื่อในข้อมูลที่ว่า  เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต  การกินอาหาร โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก  ถ้าหลีกเลี่ยงการกินสัตว์ใหญ่ได้จะดี(คือกินได้แต่กินน้อยๆ เน้นปลาเน้นผักอาจจะงดเนื้อวัว,ควาย)  แต่สำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโตเขาต้องการโปรตีนมากนะคะ ถ้าขาดหรือน้อยเกินไปอาจจะมีปัญหาอื่นตามมาอีก อยากให้คนใกล้ชิด ที่เคยดูแลผู้ป่วย  มาให้เล่าสู่กันฟัง แบ่งปันกันอ่าน  เพื่อป้องกันระดับหนึ่งค่ะ 

ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ดีๆ มีประโยชน์

พอดีเห็น ป้า กินน้ำมันรำข้าว ก็ดีขึ้น มันช่วยได้จริงหรือครับ แต่ป้าเองก็ไปหาหมอตลอดนะแต่ทานคู่ไปด้วย   ผมอยากทราบความเห็นหมอครับ จะได้เตือนป้าถูก   ของเจ้านี้อะครับ http://health.aim-star.net/

 

เพราะดูจาก wiki

มันมี

กลุ่มคอลโทคอล (Tocols) วิตามินอีธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล(Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol) มีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของร่างกายและยังช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆช่วยต้านอนุมูล อิสระ ซึ่งเป็นเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง