เขาเจ็ดยอด ตอน เมื่อผมพาเพื่อนๆ หลงป่า 2

หมวดหมู่ของบล็อก: 

             ตั้งแต่เช้าของวันที่ 6 มีนาคม 2555 ที่เราเริ่มเดินจากต้นทางที่น้ำตกไพรวัลย์   วันที่ 7 มีนาคม 2555 เราพักค้างคืนระหว่างทาง 1 คืน เช้าวันที่ 7 ก็เริ่มเดินทางต่อ เราไปถึงจุดหมายประมาณเวลา 15.30 น.  ขณะขึ้นไปถึงเขาเจ็ดยอด สภาพอากาศปิด ร้อยเปอร์เซ็นต์  ทัศนีย์ภาพมองได้ไกลคงไม่เกิน 100 เมตร ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพในมุมกว้างได้มากนัก   เมื่อรอจนทั้งทีมนำทางและทีมของพวกเรามาพร้อมกันหมดแล้ว ต่างคนก็ต่างทำภารกิจของตัวเองกัน


            ทีมนำทางก็จัดแจงตัดไม้หาไม้มากางเต็นท์ทำที่พัก เพราะขณะนั้นฝนยังตกพรำๆ อยู่ตลอดเวลาและคิดว่าคืนนี้คงจะตกหนักอีกอย่างแน่นอน

 

ภาพทั้งหมดเป็นของผู้ใหญ่กับน้องต๊อก

 

              ส่วนอีกชุดหนึ่งก็ทำที่ก่อไฟหุงข้าว ทำกับข้าวกัน บางส่วนก็ลงไปหาทางน้ำเล็กๆ เพื่อหาน้ำมาสำหรับหุงต้ม น้องออสยื่นกระเป๋าแบบที่ใช้แทนถังน้ำให้พี่เสริฐกับผู้ใหญ่ ลงไปเอาน้ำ ผมก็เดินลงไปเพื่อที่จะล้างเนื้อล้างตัว ก็เจอผู้ใหญ่โสทร นั่งอาบน้ำอยู่ตรงทางน้ำแล้ว ผมก็เลยเดินสำรวจลงไปทางข้างล่างของสายน้ำ แล้วไปเจอแอ่งน้ำเล็กๆ ที่พอจะลงไปนั่งอาบและล้างเนื้อล้างตัวได้ ก็เลยได้ใช้แอ่งน้ำนั้นอาบน้ำ

 

 

               ขึ้นกลับมาก็เห็นทางหัวหน้าเผ่า (พี่หยอย) และบรรดาสมาชิกกำลังก่อไฟด้วยไม้ฟืนที่เปียกชื้นทำให้มีควันตลบอบอวน เห็นผู้ใหญ่ยืนสำลักควันอยู่ หลังจากนั้นก็มีการหุงข้าวทำกับข้าวกัน  ทางผมเองก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และก็ช่วยลุงพี พี่เสริฐ น้องจา ผูกเปล แต่งกั้นตรงที่พักทำที่กันน้ำฝน ป้องกันฝนสาด 

 

              ส่วนทางบรรดาแม่ครัวก็รีบหุงข้าว ทำกับข้าวแข่งกับเวลา ซึ่งใกล้จะมืดค่ำมากแล้ว ได้ยินเสียงช้อนกระทบกับหม้อสนาม ลูกที่มีก้นดำแล้วดำอีก (ซึ่งเป็นลูกที่ช่วยให้เรามีแรงเดินมาได้จนถึงยอดเขา) ดังก๊องแก๊ง ตลอด ส่วนบรรดาสมาชิกท่านอื่นก็ยืนล้อมรายรอบกองไฟ กันช่วยกันจับโน่นหยิบนี่คนละไม้ละมือ ประกอบกับความร้อนของกองไฟทำให้อบอุ่นคลายความหนาวลงไปได้ระดับหนึ่ง 

 

              ผมเองหลังจากเตรียมเต็นท์ผูกมัดเปลเรียบร้อยฝนก็ยังตกพรำๆ  อยู่ตลอดก็เป็นช่วงที่ค่ำมืดพอดี ก็เลยถือโอกาสนอนพักผ่อนต่อไปเลยไม่ได้ลงมากินอาหารเย็น ทำให้ไม่รู้ว่าวันนั้นมีกับข้าวอะไรบ้างอร่อยมากน้อยแค่ไหน แต่เข้าใจว่าอาหารมื้อนั้นเป็นมื้ออาหารที่วิเศษที่สุด เพราะฟังดูแล้วทุกคนบอกว่าแกงส้มปลางวด  อร่อยที่สุด

 

ผมขอลัดเลาะเข้าเรื่อง เพื่อให้ตรงตามหัวข้อของเรื่อง เมื่อผมพาเพื่อนๆ หลงป่า ดีกว่านะครับ

 

             เช้าของวันที่ 9 มีนาคม 2555 ทางทีมของพวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้า  เตรียมของ รื้อเต็นท์ เก็บสัมภาระต่างๆ ลงกระเป๋ากัน   ประมาณ 8 โมงเช้า พวกเราก็เตรียมตัวกันพร้อม  แต่ปรากฏว่าทางทีมนำทาง ซึ่งพักห่างออกไปทางด้านบนเนินเขา ยังไม่เตรียมตัวกันไม่เสร็จ

 

 

                  ทางหัวหน้าเผ่า (พี่หยอย) ก็ได้แจกอาหารที่เหลือคงจะเป็นพวกมาม่าหรือขนม  สำหรับเป็นอาหารมื้อเที่ยง  เป็นเสบียงในการเดินทางกลับ เพราะทางชุดนำทางบอกว่าต้องใช้เวลาเดินกลับประมาณ 1 วัน (ตอนขาขึ้นใช้เวลา 2 วัน) 

 

                 เวลาประมาณ 09.00 น. สอบถามไปทางทีมนำทางก็ทราบว่ายังไม่พร้อมเดินทาง ผมก็เลยเสนอไปว่าถ้าอย่างนั้นจะเดินเล่นๆ เรื่อยๆ ไปพลางๆ ก่อนนะ ทุกคนก็เห็นด้วย  (คงเพราะตอนขาขึ้นทุกคนก็เห็นอยู่ว่าครึ่งระยะทางหลังผมเดินนำหน้ามาตลอด  คงจะจำทางได้ )  ผมก็เลยเริ่มออกเดินทาง  โดยมีกลุ่มเพื่อนๆ เดินตามมาข้างหลัง  แค่เพียงประมาณ 10 เมตรแรกเท่านั้นผมก็ได้ยินเสียงน้องออสดังจากข้างหลังว่าพี่ศักดิ์ มันเลี้ยวขวาตรงนี้ไม่ใช่เหรอ (เริ่มออกอาการแล้วแต่ยังไม่หลง)  ผมบอกว่าไม่ใช่นั่นมันเส้นเดินขึ้นไปยอดเขา

 

                 ทุกคนก็เลยเดินตามผมมาเรื่อยๆ  เดินเลาะริมเนินมาเรื่อยๆ ข้ามเนินลูกแรกมา ก่อนจะถึงเนินลูกที่สอง มันเป็นทางสามแพร่ง ผมซึ่งเดินอยู่ข้างหน้า และก็เหมือนกับเพื่อนทุกคนที่ตามหลังมา ซึ่งทั้งหมดมากันเป็นครั้งแรก ผมเลือกเดินไปทางขวา  ซึ่งเป็นทางที่ต้องเดินลอดระซุ้มต้นไม้ และต้องเดินลงเนิน เราต้องเดินมุดลอดซุ้มมาตลอด ผมเองก็ไม่ได้มองไปข้างหลังว่ามีเพื่อนตามมากี่คน  แต่รู้ว่ามีน้องออสมาหนึ่งคนแน่นอน เพราะเดินติดหลังมาตลอด ยิ่งเดินยิ่งไกลมาเรื่อยๆ  

 

                 เดินไปได้สักระยะหนึ่งก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง พี่ศักดิ์ ที่จำเนินตอนขาขึ้นตอนที่โผล่พ้นขอบป่ามาได้มั๊ย ผมว่ามันเป็นทุ่งโล่งๆ นะ ผมก็ยังคงเดินต่อไปไม่ได้หยุดและก็ไม่ได้หันหลังกลับไป แต่จำได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของผู้ใหญ่ ผมพาเพื่อนๆ เดินลอดผ่านต้นไม้ซึ่งมีเถาวัลย์พาดกันไปมาคลุมไว้ไม่ให้เห็นท้องฟ้า เป็นผนังกั้นไว้ราวกับคูหา แต่แฝงอยู่ในนั้นคือความน่าสะพรึงกลัว  เพราะมันดงดิบที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ยิ่งเดินยิ่งไกลเข้าไปเรื่อย ทุกคนก็เดินตามผมมาเรื่อยๆ  เราเดินลงเนินมามากพอสมควรแล้ว  ก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่พูดอีกครั้งพี่ศักดิ์พี่ยังจำตรงที่ท่อนไม้หล่นใส่ผมได้หรือเปล่า  คราวนี้ผมก็เริ่มเอะใจแล้วเหมือนกัน ว่าคงจะผิดเส้นทางแน่แล้ว แต่ก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า บังเอิญไปเจอท่อนไม้ท่อนหนึ่งลักษณะเหมือนกับท่อนที่หักใส่ผู้ใหญ่  ผมก็หยุดและก็ชี้ให้เพื่อนๆ ดู 

 

               ตอนที่หยุดเดินตอนนี้ผมก็ได้หันไปดูข้างหลัง ก็เห็นสมาชิกทั้งหมดเรียงตามลำดับ มีผม ตามมาติดๆ ตลอดคือน้องออส ส่วนผู้ใหญ่กับน้องต๊อก ตามมาห่างๆ 

 

               ผมได้ดูสีหน้าของผู้ใหญ่กับน้องต๊อกก็เห็นว่าเริ่มมีสีหน้าวิตกกังวลแล้ว แต่น้องออสยังเฉยๆ อยู่  แต่ถึงตอนนั้น เราก็เดิน มาไกลมากแล้วพอสมควร  ผมเองก็รู้แล้วว่าคงจะเลี้ยวทางผิดแน่นอนแล้วเพราะสภาพป่าตอนขาขึ้นกับตอนขาลงมันไม่เหมือนกันแล้ว

 

              แต่ที่ผมยังต้องเดินหน้าต่อก็เพราะรหัสป่า  (คือกิ่งไม้ที่หักทำเป็นลูกศร)  ที่ทำไว้มันยังใหม่ๆ สดๆ อยู่เลย ผมคิดว่ายังไงก็ต้องเป็นเส้นทางที่ใช้เดินจากพื้นราบขึ้นมาบนยอดเขาเจ็ดยอดแน่นอน  ก็เลยยังคงพาเพื่อนๆ  เดินต่อไป 

 

               เดินมาเรื่อยๆ ก็ยินเสียงดังจากข้างหลังแต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเสียงของใคร บอกว่าพี่ศักดิ์ยังจำลำธารทางน้ำก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินมาได้มั๊ย  ผมไม่มีคำตอบแต่ยังคงเดินตามรหัสป่า มาเรื่อยๆ และก็ยังเห็นรหัส เป็นระยะๆ  มาตลอด  

 

              เดินมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็สุดทาง  และก็เจอลำธารอย่างที่มีคำถาม ทุกคนก็นิ่งไม่มีคำถามอีก  แต่ถึงตอนนี้ผมรู้ร้อยเปอร์เซ็นต์  ว่าผิดเส้นทางเรียบร้อยแล้วแน่นอน   เพราะผมจำลำธารตอนขาขึ้นได้แม่นยำ เพราะผมเดินมาคนเดียวและสำรวจตรงทางเลี้ยวหักมุมระหว่างลำธารก่อนขึ้นเนิน และจำลำธารนั้นได้แม่นยำเพราะผมหยุดอยู่ตรงนั้นคนเดียวนานพอสมควรก่อนที่จะย้อนกลับไปเจอผู้ใหญ่ 

 

 

                  ลำธารเส้นนั้นบนสุดของลำธารมันเป็นทางน้ำเล็กๆ  ที่มีน้ำไหลซึมออกมาจากความชื้นของดิน โดยมีพวกตะใคร่น้ำ พวกมอส และพวกพืชลำต้นเตี้ยๆ  ปกคลุมดินอยู่ และมีต้นไม้ใหญ่ยืนเป็นร่มเงาบังแสง ซึ่งจะเห็นแสงแดดเล็ดลอดมาถึงข้างล่างเพียงรำไรเท่านั้น

 

                  น้ำค่อยๆ ไหลมาจากทางซ้ายบ้างขวาบ้างข้างบนบ้างซึมมาทีละนิด จนไหลมารวมกันเป็นทางน้ำเล็ก เมื่อรวมกันมากๆ ก็กลายเป็นทางน้ำ  เมื่อทางน้ำหลายๆ สายไหลมารวมกันก็เป็นลำธารขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสไหลเย็น ไหลลงสู่เบื้องล่าง จนมาถึงปลายทางคือน้ำตก

 

                  ผมก็บอกเพื่อนๆ ว่าเรานั่งรอกันอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกันดูว่าจะมีใครตามเรามาบ้าง   (แต่ไม่ได้พูดเรื่องหลงทาง)   แล้วยังไงค่อยตัดสินใจกัน แต่ทุกคนรู้แล้วว่าระยะทางที่เราได้เดินมานั้นมันไกลมากแล้ว

 

                  ทางกลุ่มก็เลยหยุดพักกัน สำรวจตัวทากกันบ้าง บ้างก็เอาน้ำใสเย็นลูบหน้าลูบตา  ผมเองค่อยๆ เอาสองมือกวักน้ำขึ้นมาลูบใบหน้า สองสามครั้ง เพื่อให้ร่างกายสดชื่น แล้วก็ค่อยๆ ใช้สองมือประคองน้ำขึ้นมาดื่มดับกระหาย  ร่างกายก็สดชื่นขึ้น   ผู้ใหญ่กับน้องต๊อก หยิบกล้องถ่ายรูป   มาเก็บภาพตรงบริเวณทางน้ำ   ส่วนน้องออสเจอตัวทากเข้าไปติดอยู่ในเป้ ผมก็ช่วยแกะออก เราก็นั่งบ้าง  น้องๆ ก็ถ่ายรูปกันไปบ้าง

 

 

                 ช่วงที่เรานั่งพักกันอยู่หันมองไปทางใหนก็มีแต่ป่า เห็นเถาวัลย์เลื้อยเป็นระยางค์  ทางน้ำก็มีโขดหินสวยงาม ริมตลิ่งก็มีต้นไม้ใบเฟิร์น ต้นกะพ้อใบใหญ่เหมือนพัด มีหวายหนามแหลมคมพาดผ่าน ต้นไม้ใหญ่บางต้นมีพวกตะใคร่น้ำจับกันแน่นจนมองดูคล้ายๆ เป็นรากไม้ห้อยเป็นพวง ลำธารก็มีน้ำใสไหลเย็น บ้างก็เป็นแอ่งน้ำขังเป็นช่วงๆ จนอยากลงไปแช่ให้หนำใจ

 

 

                  ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วเรากำลังอยู่กลางป่าลึก แต่จิตใจกลับรู้สึกสดชื่น ยังไม่ได้หวั่นวิตกเรื่องหลงป่าเลย (มันเป็นเรื่องที่แปลก และสวนทางกับความเป็นจริง) แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

                 เรานั่งพักตรงนั้นกันนานพอสมควร   แล้วพรานทอกก็วิ่งลงมาจากเนินหน้าตาตื่นมาทีเดียว  แล้วบอกว่า ผมวิ่งตามมาอย่างเร็ว ตะโกนมาเรื่อยแต่ไม่มีใครได้ยิน  เดินกันเร็วจริงๆ   พวกคุณหลงทางแล้วรู้มั๊ย "โร้ม่าย ว่าไม่ใช่ทางนี้" อ้าวเป็นเรื่องละทีนี้ผม  พาเพื่อนหลงทางเสียแล้ว  และพรานทอกบอกว่าหลงมาไกลเสียด้วย ผมก็ถามว่าเดินกันต่อดีมั๊ยหรือจะกลับทางเก่าได้รับคำตอบว่าคงกลับไม่ได้แล้วเพราะมากันไกลเกินที่จะกลับแล้ว

 

               แต่พรานทอกบอกว่าให้นั่งรออยู่นี้ก่อนจะวิ่งขึ้นเนินไปโทรศัพท์บอกทางโน้นว่าให้เดินต่อได้เลยไม่ต้องรอ ว่าแล้วก็ปลดเป้วางไว้แล้ววิ่งขึ้นเนินกลับไปอีกหายไปสักครู่ใหญ่ ก็เดินกลับมาแล้วบอกว่าไม่สามารถติดต่อทางโน้นได้

 

              ทางเราก็ได้สอบถามพรานทอกว่าเส้นทางนี้เคยมาหรือเปล่า พรานทอกบอกว่าผมก็ยังไม่เคยมา  แต่เราจะแกะรหัสป่าไปด้วยกัน  (สนุกละทีนี้ เส้นทางนี้ยังไม่มีใครรู้จักสักคน)

 

             ถ้าอย่างนั้นผมก็บอกว่าเราก็เดินกันต่อดีกว่า ว่าแล้วก็ต่างคนต่างเอาเป้ขึ้นบ่าเดินลงมาทางสายน้ำซึ่งมีโขดหินระเกะระกะ ชมความสวยของลำธารของป่าไปเรื่อยๆ อย่างไม่ใช่คนหลงป่า ท่านผู้อ่านทุกท่านดูภาพที่คนหลงป่าถ่ายมาก็แล้วกัน เหมือนคนหลงป่ากันหรือเปล่า เดินไปชมต้นไม้ไปดูความสวยงามของป่าไปเรื่อยๆ

 

             ป่าสูงตรงยอดเขาเจ็ดยอดนี้เป็นป่าพรหมจรรย์จริงๆ ความสูงชันของขุนเขา ความทุรกันดารของป่าดิบ พื้นที่สูงชันของป่าแถบนี้ คิดว่าทำให้ป่านี้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ได้ ป่าสูงบนนี้มีไม้ใหญ่ที่มีค่าทางเศรษฐกิจมากมาย มีพืชสมุนไพรหลายชนิด เพราะเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ ทำให้มีสัตว์ป่าหายากยังหลงเหลืออยู่ เช่น  สมเสร็จ ตัวกุรัม

 

ป่าสูงแถบนี้เป็นป่าต้นน้ำ ความสูงชันและมีแมกไม้แน่นทึบ ทำให้เก็บความชื้นไว้ได้แทบตลอดทั้งปี ทำให้ฝนตกชุกมากกว่าข้างล่าง มีเมฆหมอคลอเคลียอยู่ตลอดทั้งวัน  ต้นไม้ใหญ่ใบหนาทึบ ช่วยดูดซับน้ำและค่อยปล่อยรินไหลลงสู่เบื้องล่าง

 

 

                   เดินตามสายน้ำมาเรื่อยๆ ก็เจอทางแยกให้เดินขึ้นขนานไปตามลำน้ำซ้ายบ้างขวาบ้าง มีความลำบากอยู่บ้างช่วงเดินตามโขดหินกลางสายน้ำ เพราะความลื่นของโขดหินทำให้ผมพลาดตกน้ำ สองสามครั้ง 

 

                   เราเดินมาได้ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็มาเจอกับที่พัก และเพิ่งมีคนมาพักกันใหม่ๆ สด สอบถามกันได้ความว่าเป็นคณะของนายอำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง นำคณะขึ้นมาสามสิบคน ได้ขึ้นมากก่อนคณะของเราประมาณ หนึ่งอาทิตย์ ผมเห็นที่พักแล้วใจชื้นขึ้นมาทันที  ยังไงเราก็ต้องลงไปข้างล่างได้แน่นอน  มาถึงตรงนี้ เราก็นั่งพักกันครู่หนึ่งแล้วเดินต่อ

 

                   เส้นทางเดินก็ยังคงเหมือนเดิม คือเดินไปตามลำธารสลับกับขึ้นริมฝั่งเดินขนานไปกับลำธาร อย่างนี้ไปเรื่อยๆ  ผมว่าช่วงนี้เราทุกคนยังเดินกันอย่างผ่อนคลาย  ไม่ได้เครียดกับการหลงป่าอะไรมากนัก เพราะเราเดินไปชมต้นไม้ไป ดูความสวยงามของป่าไปเรื่อยๆ  แถมบางครั้งก็ยังมีฝนตกลงมาปรอยๆ ตลอดทาง 

 

                  จนมาถึงหาดทรายแห่งหนึ่ง ดูดวงตะวันแล้วเที่ยงพอดี ผมก็บอกพรานทอกว่าพักตรงนี้กันดีกว่า  ว่าแล้วทุกคนก็ปลดเป้ลงจากบ่า พรานทอกหันไปอีกฝั่งเห็นต้นมะไฟป่ากำลังสุกเหลืองไปทั้งต้น ก็เลยเดินเข้าไปเก็บ  ทางผมกับเพื่อนๆ  ต่างคนก็ต่างล้วงลงไปในกระเป๋าว่าพอจะมีของกินอะไรติดกระเป๋าอยู่บ้าง  ผู้ใหญ่มีกล้วยตากอยู่ 1 ถุง มาม่า 1 ห่อ  น้องต๊อกมีหอยลาย 1 กระป๋อง  ผมมีขนม 2 ชิ้น  น้องออสไม่มีติดย่ามมาเลย พรานทอกเก็บมะไฟป่า มากองใหญ่

 

                 แล้วเราก็นั่งล้อมวงกันตรงนั้นหยิบกันคนละนิดจิ้มกันคนละหน่อย  น้องออสกับผู้ใหญ่ได้เปลือกมะไฟจิ้มกับเครื่องปรุงมาม่า  แล้วหันมาบอกผมสุดยอดเลยพี่ศักดิ์ เรานั่งพักกันอยู่ตรงนี้นานพอสมควร

 

 

                    หลังจากพักหายเหนื่อยกันพอสมควรแล้วเราก็เริ่มเดินทางกันต่อ  เดินกันมาได้สักพักใหญ่  ก็มองเห็นเมฆตั้งเค้ามา ละอองน้ำรวมตัวกันในอากาศ กลายเป็นเมฆฝนก่อตัวตั้งเค้าดำทะมึน   เมื่อน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ  จนอากาศอุ้มไว้ไม่ไหว จึงหลั่งไหลลงมาเป็นสายฝนพร่างพรายทั่วป่าเขา 

 

                   เสียงสายฝนที่กระทบกิ่งไม้ในป่าดังซ่าไปกึกก้องในหัวใจ ที่ในขณะนั้นความวิตกกังวลเริ่มเข้ามา ก็เพราะยังไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางที่จะออกจากป่านั้นอยู่ตรงไหน  ทำให้บรรยากาศตอนนั้นเป็นที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

 

                 สายฝนที่กระหน่ำลงมากระทบใบอันหนาแน่นของต้นไม้  ทำให้ช่วยกันแรงกระทบของเม็ดฝนไม่ให้ตกถึงพื้นแรงเกินไปฝนที่ตกกระทบกิ่งไม้ในราวป่า   บางกิ่งไม้ผุอุ้มน้ำฝนไว้จนรับน้ำหนักไม่ไหวหักโค่นลงมาเกิดเสียงกึกก้องสนั่นป่า

 

                ฝนทำให้ป่าดงดิบทึบทะมึนจนดูน่ากลัว  นอกจากความมืดสลัวของบรรยากาศ  ใบไม้เมื่อโดนฝนก็ลู่ลง เหมือนคนยืนเศร้า  ป่ารอบก็มืดมัวลงทันที  เมื่อฝนตกลงมายิ่งหน้ากลัวกันไปใหญ่  มองไปทางไหนก็ฝ้าฟางไปหมด กิ่งไม้ตกลงดินดังโครมคราม

 

 

รออ่านต่อในบล็อกนี้นะครับจะไม่มีตอนที่3 

 

ต่อกันเลยนะครับ

 

                ทุกคนยามนี้เนื้อตัวเปียกชุ่มฝนไปหมด  ตามชายลำห้วยที่บัดนี้มีน้ำไหลแรง  ยิ่งมีฝนตกลงมาอย่างหนักไม่ลืมหูลืมตาน้ำเริ่มกัดเซาะดินไหลลงมาทุกเส้นทางที่เป็นร่องน้ำที่น้ำจะไหลได้เป็นสีแดงขุ่นข้น

 

                บรรยากาศตอนนี้เริ่มน่าสะพรึงกลัว  เราเดินเลียบฝั่งลำธารไปเรื่อยๆ  นอกจากเสียงฝนและเสียงน้ำไหลแล้ว ป่าทั้งป่าเหมือนปราศจากชีวิต

 

ฝนที่ตกลงบนพื้นดินค่อยซึมซาบลงไป  ส่วนที่เหลือก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ 

 

               ถึงตอนนี้ผมเองจิตใจเริ่มคิดไปถึงโศกนาฏกรรมที่นบพิตำ  กรุงชิง  หรือที่คีรีวงศ์  จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อคราน้ำป่าไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน

 

               ฝนยิ่งตกหนักน้ำป่ายิ่งไหลแรงมากขึ้น ทีมของเราก็เดินเร่งเหมือนความแรงของสายน้ำ  เพราะถึงตอนนี้จุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้ เวลาก็เริ่มบ่ายมากแล้ว

 

              ใจผมก็เริ่มนึกถึงอีกทีมซึ่งตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้  ซึ่งมีพี่หยอย  ลุงพี  พี่เสริฐ พนิดา  และน้องจา  ก็ได้คุยปรึกษากับคนนำทาง  พรานทอกบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงทีมโน้นสามารถที่จะพากันไปได้ปลอดภัยแน่นอน

 

             แต่ถึงกระนั้นก็อดที่จะนึกถึงไม่ได้  ฝนกำลังตกหนัก น้ำป่ากำลังไหลหลาก  เพราะผมรู้ว่าเส้นทางสายพี่หยอยจะต้องข้ามลำธารหลายครั้งและขนาดตอนขาขึ้น  น้ำไม่ได้ไหลบ่าก็ยังข้ามกันอย่างยากลำบาก  แล้วตอนนี้สายน้ำป่ากำลังไหลจากที่สูงเป็นสีขุ่นข้นลงสู่ลำธารทุกสาย  สายน้ำก็แรงขึ้นทุกขณะ  จิตใจผมครุ่นคิดถึงทีมพี่หยอยอยู่ตลอดเวลา

 

             หลายครั้งทีมเราได้เดินทางตัดทางสายน้ำป่าที่ไหลเชี่ยว  บางครั้งก็ต้องเดินอ้อมออกนอกเส้นทางเพราะไม่สามารถข้ามน้ำตรงเส้นทางเดิมได้

 

             บางครั้งผมถามพรานทอกว่าตอนนี้เราอยู่จุดไหนของป่า ลักษณะป่าอย่างนี้คงอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่มากนัก ใช่ไหม?  แต่พรานทอกตอบว่าก็ยังไม่แน่เหมือนกันเพราะดูลักษณะยังเป็นป่าต่ำอยู่

 

หมายถึงระดับความสูงของต้นไม้ที่ไม่สูงมากนักและราบเรียบเสมอกัน

 

            ถึงตอนนี้เราเดินมาจนเจอทางน้ำป่าขนาดใหญ่ จึงต้องหยุดรอเพื่อให้พรานทอกประเมินว่าจะทำอย่างไร เพราะน้ำไหลเชี่ยวและแรงมาก

 

            เราได้ดูวิธีการประเมินความแรงของน้ำป่า    พรานทอก ได้หาไม้มาอันหนึ่ง แล้วเดินลงไปริมฝั่งแล้วเอาไม้แหย่ลงไปวัดความลึกของระดับน้ำและดูความแรงของกระแสน้ำ  สักครู่หนึ่งก็บอกว่าไม่สามารถข้ามตรงจุดนี้ได้น้ำแรงเกินไป

 

           ทุกคนตอนนั้นก็เห็นว่าน้ำแรงทางน้ำขุ่นแดงและไหลแรงเสียงน้ำที่กระทบโขดหินเสียงดังสนั่นผสมกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายดูแล้วน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

 

            พรานทอกเลยตัดสินใจนำเราเดินเลียบฝั่งขึ้นไปทางด้านบนของสายน้ำ  หาตำแหน่งที่แคบๆ และไม่ลึกมากจนเกินไป ในที่สุดเราก็ข้ามกันมาได้อย่างทุลักทุเล

 

            ผมกะเวลาในขณะนั้นคิดว่าประมาณบ่ายสามโมง ต้องใช้กะเอาเพราะผมไม่มีนาฬิกา ไม่มีโทรศัพท์  หันมาถามเพื่อนๆ ก็ได้คำตอบว่าไม่มีนาฬิกามีแต่เวลาในโทรศัพท์แต่ตอนนี้โทรศัพท์ถูกเก็บไว้ในเป้อย่างมิดชิดเพื่อกันน้ำฝน

 

           พอผ่านสายน้ำนี้ได้มาไม่นานนัก ก็มาเจอต้นไม้ใหญ่ที่มีลูกสุกเหลืองหล่นอยู่เต็มโคนต้นช่วงนี้ก็ได้หยุดพูดคุยสอบถามกัน  ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

 

            ฝนก็ยังตากพรำๆ  ตลอด เราก็เดินทางต่อท่ามกลางสายฝน  ป่าตอนนี้ได้ยินแต่เสียงน้ำป่าที่ไหลมาจากที่สูงดังสนั่นไปรอบทิศทาง  ทุกสายน้ำได้ไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ซึ่งมีลำธารขนาดใหญ่อยู่ข้างล่าง  เสียงน้ำที่เพิ่มขึ้นยังดังสนั่นหวั่นไหวฟังแล้วยิ่งนี่สะพรึงกลัวมากขึ้น

 

             เดินไปได้สักระยะหนึ่งผมหันกลับไปมองข้างหลังเจอสีหน้าน้องต๊อกแสดงความวิตกกังวลและเหนื่อยอ่อน ผมก็ตกใจนิดหน่อย  และก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงนึกในใจอยู่สองเรื่อง

 


เรื่องแรกเรื่องทีมพี่หยอยว่าจะผ่านน้ำป่าได้อย่างไรเป็นห่วงพนิดา ลุงพี  พี่เสริฐ น้องจาตอนนี้เดินมาถึงไหนแล้ว  ฯลฯ

 

เรื่องที่สองผมรู้ถึงความวิตกกังวลของเพื่อนๆ ในทีมจากสีหน้าและแววตา  เพราะเราเดินมาไกลมาแล้วแต่ยังไม่เห็นจุดหมายปลายทาง สภาพร่างกายก็เริ่มอ่อนล้า ฝนก็ยังตกไม่หยุด


ผมตระหนักได้ดีว่า  การเที่ยวป่านั้นถ้ารู้จุดหมายปลายทางว่าขณะนี้เราอยู่ที่จุดไหน และจะบ่ายหน้าไปทางไหน  เราก็มีกำลังใจที่จะเดินต่อไป

 

แต่อันตรายของคนหลงป่าคือความหิวโหย ความวิตกกังวล  ความหมดแรงเดินเนื่องจากความไม่รู้จุดหมายปลายทางทำให้จิตใจอ่อนล้า เป็นผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ  ความตื่นตระหนกทำให้คิดไปได้สารพัด

 

ช่วงหลังนี้ผมเดินไปหันหลังมาสังเกตสีหน้าเพื่อนๆ อยู่เรื่อยๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งเห็นความอ่อนล้า  โดยเฉพาะน้องต๊อกกับผู้ใหญ่  ส่วนราชินีป่าออสซี่เธอยังคงเดินตัวลิ่วไล่จี้ตามติดหลังมาตลอด

 

หลังจากผ่านต้นไม้ใหญ่ที่มีลูกอยู่เต็มต้นผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของระดับป่า จะเห็นว่าต้นไม้แต่ละต้นสูงมากขึ้นจนต้องแหงนหน้าดูจนคอตั้งบ่า ก็นึกประกอบกับคำพูดของพรานทอกที่บอกว่าป่าต่ำแสดงว่าเรายังอยู่ในป่าลึก แต่นี่ป่าเริ่มสูงก็แสดงว่าเราใกล้พื้นที่ราบเข้าไปทุกขณะและสังเกตเห็นถึงทางเดินที่ตอนนี้ลาดชันลงไปเรื่อยๆ

 

ความคิดผมตอนนั้นยังไงจุดหมายปลายทางคงเหลือไม่ไกลอีกมากนัก  อย่างแน่นอน เข้าใจว่าในใจของทุกคนมีแต่ความคิดที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลา  แต่เราเดินกันเงียบกริบ  ไม่เคยมีคำพูดอะไรเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของแต่ละคนเลย  ไม่เคยใช้คำพูดแสดงออกถึงความกังวลเลยว่าตอนนี้เราอยู่จุดไหน  เดินถึงไหนแล้วน้อ

 

จะมีก็แต่เสียงผู้ใหญ่ที่พูดเปรยๆ อยู่บ้างจากข้างหลัง    พี่ศักดิ์น้ำไหลไปทางนี้นะพี่ศักดิ์  เมื่อเราตัดสายน้ำที่เปลี่ยนทิศทาง เพราะปกติ หลังจากที่เราได้เดินขึ้นจากลำธารและเดินเลียบขนานมากับสายน้ำโดยสายน้ำจะอยู่ทางซ้ายมือของเรามาตลอดและไหลจากบนลงล่าง เป็นลักษณะคู่ขนานกับเส้นทางที่ทีมของเราเดินลงไปข้างล่าง   มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราได้เดินมาเจอสายน้ำอีกสายที่มีขนาดใหญ่เหมือนกัน อยู่ข้างหน้า แต่สายน้ำสายนั้น ไหลมาจากทางขวาไปทางซ้าย  เป็นลักษณะไหลตัดหน้าเส้นทางที่เราเดิน

 

ผมเข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่ในตอนนั้น  แต่ผมก็เดินต่อไปไม่มีคำพูดตอบ  จนเมื่อเราต้องข้ามน้ำสายนั้น เราก็เลยถือโอกาสหยุดพักบนโขดหินท่ามกลางสายน้ำ ผมจึงได้พูดว่าทางน้ำสายนี้ต้องไหลไปรวมกับทางน้ำสายหลักที่เราเดินคู่ขนานมาแน่นอน แต่ไม่รู้จุดไหน อย่างแน่นอน

 

 

เราทุกคนก็ยังคนเดินด้วยความเร็วสูงอยู่เหมือนเดิม  ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าแต่ยังไม่มีใครปริปากบ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คนเดียว ยังคงมุ่งมั่นเดินไปข้างหน้า  เส้นทางลงเนินเริ่มชันมากขึ้น  เราเดินไปตามเส้นทางที่ช้างลากซุง ซึ่งลักษณะเป็นท่อนซุงขนาดใหญ่  ทำให้ร่องทางเดินทั้งกว้างและลึกมาก ทำให้ทางเดินกลายเป็นสายน้ำป่าขนาดย่อม เราไม่สามารถลงไปเดินตามทางได้  ต้องเดินเลียบป่าไปทางเดินบนของเส้นทาง ซึ่งค่อนข้างลำบากจากการที่ต้องลอดกิ่งไม้

 

เราต้องเดินตามเส้นทางที่ช้างลากซุงผมกะระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ต้องเดินเลี่ยง เดินแอบ เดินอ้อมทางมาตลอด  (ถึงเส้นทางช่วงนี้ผมเปลี่ยนจากเดินข้างหน้ากลับมาเดินปิดท้ายอยู่ข้างหลัง)

 

ประกอบกับตอนนี้เราทุกคนมีความคิดสงสัยถึงสิ่งที่เห็น ต่างคนก็ต่างวิจารณ์ถึงภาพที่เห็นท่อนซุงขนาดใหญ่ เห็นถึงเส้นทางที่ใช้ลากซุง ซึ่งเป็นร่องลึกขนาดใหญ่ เราทุกคนที่เห็นมีความรู้สึกตรงกันหมดทุกคน  พูดกันถึงเรื่องเดียวกัน 

 

***********  ผมไม่ขอบรรยายคำพูดที่พวกเราได้พูดกันเพราะความเป็นสาธารณะของข้อความ  และทั้งนี้เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง  ไม่ใช่นวนิยาย หรือเรื่องสั้น ถ้าพูดไปอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่พวกเราก็ได้  เพราะหลังจากรับทราบข้อมูลในเชิงลึกจากคำบอกเล่า หลังจากได้ยินเสียงเลื่อยยนต์ที่ดังสนั่นป่า   เราชาวบ้านสวนผู้มีจิตใจที่  รักษ์ป่า  รักต้นไม้  เรียกว่าได้แต่ปลงสังเวช  กับเหตุการณ์ที่เห็น  กับสิ่งที่เกิดขึ้น ………………..

 

จากนั้นหลังจากที่พวกเราเดินพ้นมาจากทางลากซุง เราก็เจอทางราบ  ไม่นานนักได้ยินเสียงจากคนที่เดินอยู่ข้างหน้าพูด   เราเจอสวนยางแล้ว ผมซึ่งเดินอยู่หลังสุดยังไม่พ้นแนวป่า  แต่ได้ยินน้ำเสียงที่ตื่นเต้นจากข้างหน้าอย่างชัดเจน

 

เมื่อผมเดินมาโผล่ตรงสวนยาง ตอนนี้ความรู้สึกต่างๆ มันเปลี่ยนไปมันแตกต่างจากความรู้สึกในขณะที่เราเดินอยู่ในป่าทึบ  รู้สึกโล่ง  เบา  ความเหน็ดเหนื่อยมันเริ่มคลาย ความวิตกกังวลว่าจะต้องหลงป่ามันหายไป ที่สำคัญผมกับเพื่อนๆ  ออกจากป่าได้แล้ว    ...................................................................................

 

พอเดินพ้นแนวป่าก็เจอสวนยางพาราอายุประมาณ 3 ปี ลักษณะเป็นสวนสมรม คือ ระหว่างต้นยางพาราจะมีพวกไม้ผลกินได้จำพวก  ลองกอง  เนียง สะตอ ขนุน จำปะดะ หลวงทอกซึ่งเดินนำหน้าได้ไปเจอลูกจำปะดะสุกหอมอยู่ลูกหนึ่ง  ปอกมาให้อย่างดี 

 

เราทั้ง 5 คนก็ได้ยื่นมือไปหาผลจำปะดะพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นจำปะดะลูกนั้นก็เหลือแต่เปลือกอย่างไม่น่าเชื่อ

 

หลังจากจำปะดะลูกนั้นหายไปในพริบตา  เราก็มาเจออุปสรรคใหญ่ที่ขวางอยู่ข้างหน้าคือ  ลำคลองขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ เป็นเส้นแบ่งระหว่างป่าทึบกับหมู่บ้าน  ซึ่งบัดนี้มีน้ำป่าสีแดงขุ่นคลักไหลเชี่ยวเกรี้ยวกราด ดั่งมัจจุราชที่รอทดสอบพวกเราอยู่เป็นด่านสุดท้าย

 

คลองนี้ไม่มีสะพานข้ามมีแต่สายสลิงทำอย่างง่ายๆ  ดึงข้างบนหนึ่งเส้น ข้างล่างหนึ่งเส้น หลวงทอกทดสอบเดินก่อนเป็นคนแรก กว่าจะผ่านได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร

 

น้องต๊อกตามไปเป็นคนที่สอง  เรื่องตื่นเต้นได้เกิดขึ้นเมื่อน้องต๊อกเดินไปถึงครึ่งทางอยู่กลางลำคลองที่น้ำกำลังไหลเชี่ยว ก็แสดงอาการหมดแรงเข่าอ่อนเอาดื้อๆ  แถมน้องต๊อกยังตะโกนบอกมาว่า   ผมว่ายน้ำไม่เป็นครับ

 

ภาพนี้ของน้องออส


เอาละทีนี้เป็นเรื่อง  ผมกับผู้ใหญ่ ซึ่งยืนอยู่บนฝั่ง ก็ปลดเป้ซึ่งบัดนี้ยังอยู่บนหลังออก  เตรียมพร้อม  ปากก็ตะโกนบอกน้องต๊อกให้ใจเย็นๆ  ไม่ต้องรีบ ให้เดินช้า  น้องออสเองก็ลุ้นอยู่จนตัวโก่ง แต่ในที่สุดหลังจากใช้เวลานานพอสมควรบนสายสลิง  น้องต๊อกก็ข้ามไปได้อย่างปลอดภัย

 

  พอน้องต๊อกข้ามไปได้ไม่นาน มีคุณลุงคนหนึ่งทางฝั่งโน้นมาบอกว่า  ยังมีสะพานอีกด้านหนึ่ง ซึ่งข้ามได้ง่ายกว่า เราทั่งสามคนไม่ได้ลังเลที่จะเดินไปสำรวจ  ก็เจอสะพานสายสลิงแบบทหารซึ่งข้ามได้ง่ายกว่า ในที่สุดเราก็ออกจากป่ามาได้กันอย่างปลอดภัยทุกคน 

 

          ผมจำไม่ได้ว่าผู้ใหญ่หรือน้องต๊อกได้ดึงโทรศัพท์ออกมาดูนาฬิกา  ขณะนั้นเวลาประมาณ  16.20 น.

 

หมู่บ้านที่เรามาโผล่คือ  บ้านโล๊ะจังกระ  อยู่ห่างจากน้ำตกไพรวัลย์  ที่เราขึ้นเขาครั้ง ระยะทางประมาณ  10  กิโลเมตร

 

                หลวงทอกคนนำทางต้องโทรศัพท์ให้ทีมงานนำรถกระบะมารับ  พาพวกเรากลับไปยังน้ำตกไพรวัลย์

 

 

 

สุดท้ายนี้ผมต้องขอโทษพี่หยอย  ลุงพี  พี่เสริฐ  พนิกา  น้องจา และเพื่อนทุกคน

 

ผมพาเพื่อนหลงทางครับบบบบบบบบบบบบบบบ

 

พี่่หยอย                     หัวหน้าเผ่า

 

ลุงพี                        เดินด้วยสมาธิ

 

พี่เสริฐ                      เดินด้วยคลอโรฟีล

 

พนิดา                      ผู้่หญิงใจเกินร้อย

 

น้องจา                     ชายผู้เงียบขรึม   (เจ้าของโลต้ัส)

 

ออสซี่                     ราชินีแห่งขุนเขา

 

ผู้ใหญ่                     หัวใจมะไฟป่า

 

น้องต๊อก                  ตากล้องหนุ่มหล่อ

 

พุทธบุตร                  ..............................................

 


ความเห็น

หลงทางในเมืองยังไม่เท่าไหร่ หลงทางในป่านี่ซิครับ

ผมไปเที่ยวเมืองนอก เคยหลงทางกลับมาที่จอดรถไม่ถูก เดินเวียนไปเวียนมา นานกว่าจะมาเจอ ตอนหลังผมเลยต้องพกกล้องไปด้วย ผ่านไปสัก 5 ก้าว 10 ก้าว ก็กดทีนึง ทำแบบนี้มาตลอด เผื่อหลง จะเปิดให้เขาดูได้ว่า ที่ที่ต้องการจะไปนั้นอยู่ไหน

แต่ในป่านี่ซีครับ ไม่รู้จะไปถามใคร เจ้าป่า เจ้าเขา จะมาช่วยไหม

อยากจะบอกว่า อ๊อดไม่มีอะไรติดตัวมาเลยค่ะพี่ศักดิ์ มาม่าที่กินกันนั้นของ ผญ.จ้า อ๊อดไม่มีของกินอะไรเหลือเลย มีแต่มะไฟจากต้น

น้องออส  ขอบคุณสำหรับข้อมูล 

 


เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น

:cheer3: :cheer3:

ฉันจะปลูก ผัก ให้ลูกทาน

ขอบคุณครับพี่ที่นำภาพมาให้ชมครับ:bye:กลับลงมายังไม่มีใครป่วยนะครับ เจอทั้งฝน อาการเหนื่อยล้า

แหม นึกว่าจะคุยยาวๆ ได้แต่เรื่องธรรมะ น้องๆทมยันตีเลยนะเราน่ะ


อ่านเพลินเชียว

     ทรหดกันจริงๆ ป่าที่เล่ามาแม้จะสวยสุด แต่ก็แฝงความน่ากลัวไว้เหมือนกัน :love: : :sweating:

เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ  คนตูล

เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น

แปลกแต่จริง รู้ว่าหลงทางแต่ในใจไม่กังวล กลับรู้สึกว่าได้กำไรที่หลงมาอีกทาง
แต่จะมีกังวลบ้างก็ตอนที่ฝนตกหนัก และน้ำป่ามา

พี่ศักดิ์เดินข้างหน้าไม่รู้หรอกว่าตอนฝนตกหนักผมหายหลังตึง เนื่องจากหนักลูกไฟที่เป้หน้า ขารับน้ำหนักไม่ไหว พรานทอกมาช่วยสะพายเป้หน้าให้ค่อยยังชั่ว

ขอโทษน้องบ่าวเห้อ  พี่พาหลง

เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น

หน้า