เตือนภัยระวัง โรคที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก

หมวดหมู่ของบล็อก: 

     นุสิตาได้อ่านเจอบทความหนึ่งเข้าโดยบังเอิญค่ะ เป็นบทความเรื่องเล่าของคุณพ่อของน้องเฟย ซึ่งออกมาเล่าถึงโรคกำลังที่ระบาดมาก และโรคนี้มักจะเกิดขึ้นกับเด็ก ความจริงโรคนี้เกิดขึ้นมาประมาณปี 49 แล้วค่ะ แต่เพิ่งจะออกมาเป็นข่าวกันไม่นานนี้เอง  ลองอ่านดูนะคะ บทความอาจจะยาวไปซักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า มีประโยชน์ต่อบุตรหลานของท่านจริงๆ


 น้องเฟย  ลูกปาป๊า และ มาม๊า นักเรียนชั้น ป. 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน


> ผู้จากไปด้วยโรคไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปาก
> แน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์ Coxsaki
> หรือ Enterovirus71ไหนเท่านั้นเอง
> และเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียา
> รักษาได้  อาการของโรคลูกชายผมจะไม่มีแผลที่มือ ปาก หรือ เท้า
> แต่ลักษณะการโจมตีของไวรัส
> เหมือนกับโรคมือ ปาก เท้า ทุกประการ
> เป็นคำยืนยันจากอาจารณ์หมอหลายท่านที่ผมปรึกษามาทั้งที่
> บำรุงราษฏ์ และ จุฬา ฯ
>
> ข้อความต่อไปนี้เป็นอาการป่วยของน้องเฟยตั้งแต่เริ่มต้นจนเสียชีวิตในเวลา 10  วันเท่านั้นเอง

> วันอังคาร์ที่   5/9/49   ตอนเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียน  ป๊าจำได้
> น้องเฟยเดินมาบอกป๊าว่าปวด
> หัว  แต่เราก็คิดว่าคงนอนไม่พอเลยปวดหัว  จึงพาเฟยขึ้นนอนแต่หัวค่ำ
> พอช่วงดึกน้องเฟยตัวร้อนมาก
> จึงให้ยาแก้ไข ไทลินอลแบบน้ำ  และนอนต่อ  จนเช้าไข้ก็ยังไม่ลด
> เลยให้หยุดเรียนพักอยู่บ้าน  และ
> ทานยาลดไข้เป็นระยะ ๆ
>
> วันพุทธ ที่ 6/9/49   น้องเฟยนั่งเล่นอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน
> ดูน้องเฟยช่างมีความสุขจัง  แต่ไข้ก็ยังไม่ลด
> ต้องกินยาลดไข้ไปทุก 4 ชั่วโมง  หลังทานยาน้องเฟยแข็งแรงมาก  วิ่งเล่นไปมา
> ส่งเสียงดังลั่นบ้าน
> จนนึกว่า  นี่ต้องเป็นป่วยการเมือง แหง ๆ  แต่แล้ว
>
> วันพฤหัสบดีที่  7/9/49  น้องเฟยยังมีอาการไข้อยู่  38.5 C
> คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาล
> กรุงเทพคริสเตียน  หาคุณหมอประจำชื่อ คุณหมอ วรรณณี  คุณหมอก็ตรวจไข้ตามปกติ
> และให้ยาแก้ไข้
> แก้อักเสบ  แก้ไอ   แล้วก็กลับบ้านมาพักผ่อน
>
> วันศุกร์ที่ 8/9/49  น้องเฟยเริ่มแข็งแรงเป็นปกติ  จึงเอายาไปทานที่โรงเรียน
> และเรียนหนังสือตามปกติ
>
> วันเสาร์ที่ 9/9/49  โรงเรียนหยุด   อยู่บ้าน  ทานยาตามปกติ

> แต่ไข้ก็ยังไม่ลดเท่าไรนัก  ต้องทาน
> ยาลดไข้เป็นระยะ  พอทานยาเสร็จ  ก็วิ่งเล่น   ส่งเสียงดังลั่นบ้านตามปกติ
> ดูทีวี  คุยกับอาม่า ทานอาหารได้
>
> วันอาทิตย์ 10/9/49  ตอนบ่าย 2.30  มาม๊าไม่สบาย

> ป๊าเลยพาน้องเฟยกับพี่ชายแกไปที่ TK
> Park  อุทยานการเรียนรู้ที่  เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า    พอไปถึงน้องเฟยก็วิ่ง
> เล่นนำหน้าป๊าไปก่อน
> กดลิฟท์เอง ไม่ยอมให้พี่เขากดลิฟท์
> เพราะปกติคนพี่มักจะแย่งกับน้องกดลิฟท์เป็นประจำ 

> พอไปถึงก็เข้าไปเล่นเกมอินนเตอร์เนท  จนกระทั่งเวลา 5.00 เย็น  เราก็ออกมา
> น้องเฟยบอกว่าหิว
ข้าว  ...
> จึงพาไปกินอาหารญี่ปุ่น Zen  แต่น้องเฟยบอกหนาว  หนาวมาก ๆ
> ป๊าจับตัวดูก็รู้ว่าไข้ขึ้นจึงรีบวิ่งไปซื้อยาลดไข้ คาลปอล  มาป้อนน้องเฟยก่อน  จนแกเริ่มดีขึ้น
> ก็ทานข้าวกับกุ้งเทมปุระ  ได้จนหมดจาน   นับเป็นครั้งแรกที่น้องเฟยทานจนหมด


> เพราะปกติแกจะเป็นคนที่เลือกทานอาหารมาก ๆ  ไม่ชอบ
> กินผัก   จากนั้นก็รีบกลับบ้านทันที
>
> วันจันทร์ที่  11/9/49  คุณ แม่พาน้องเฟยไปหาหมอรอบที่ 2 กับหมอ วรรณี คนเดิมที่ รพ.  กรุงเทพ 

   คริสเตียน วัดไข้ได้  38.5 C  แต่ก็ยังร่าเริง  วิ่งเล่นอยู่หน้าห้องรอตรวจ
> ดูอาการดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่มา
> ตรวจด้วยซ้ำไป       คุณหมอจึงได้จัดยา  ยา Zithromax  เป็นยาแก้อักเสบ  และ
> ยาลดไข้   2 อย่าง    พอกลับบ้านก็ทานยาตามปกติ ตามเวลา  น้องเฟยก็ร่าเริงตามเดิม
> คุยเสียงดัง ลั่นบ้านตามเคย
>
> วันอังคาร์ที่ 12/9/49  น้องเฟยไปโรงเรียนตามปกติ    ตอนเย็นกลับบ้านทานยา Zithromax  วัน
> ละ 1 ครั้ง เป็นยาแก้อักเสบ
>
> วันพุทธ ที่ 13/9/49    น้องเฟย ไปโรงเรียนตามปกติ              “
> “
>
> วันพฤหัสบดีที่ 14//9/49   น้องเฟยเริ่มมีอาการผิดปกติ  ไม่มีไข้แม้แต่น้อย
> ตัวไม่ร้อน แต่น้องเฟยบ่น
> ว่าเมื่อยทั้งตัว   ไม่มีแรง   เราก็นึกว่าเด็กตื่นเช้า 6.20 น
> อาจจะยังง่วงนอนอยู่ก็เลยเมื่อย ๆ
> พอไปถึงโรงอาหาร  แกก็กินข้าวไม่ลง  ทานได้ 2-3 คำก็ไม่กินแล้ว
> มาม๊าเลยอุ้มน้องเฟยมากอดให้
> แกงีบสักพัก  พออ๊อดเข้าห้องดัง  ป๊า และ
> ม๊าก็พาแกไปเข้าห้องแต่พอเดินมาถึงกลางสนามบาสแกก็บอก
> ว่าเดินไม่ไหว    ณ เวลานั้น  ถ้าผมทราบว่าตอนนี้มีโรคระบาดในเด็กละก็
> ผมคงไม่ชะล่าใจ  นึกว่าแกแกล้งไม่ยอมเข้าห้องเรียน


> จนถึงเวลานี้ก็ยังเสียใจว่าทำไมวันนั้นเราไม่นึกเอะใจเลยนะว่าลูก
> เราผิดปกติ   แต่เราก็กลัวแกเรียนไม่ทันเพื่อน  เพราะ หยุดเรียนไปหลายวันแล้ว
> อีกอย่างอาทิตย์
> หน้าก็จะสอบแล้วด้วย   เลยพาแกเข้าห้องเรียนด้วยมือของเราเอง  (น้องเฟย
> ป๊าขอโทษ
> ป๊าผิดเองที่วันนั้นพาน้องเฟยเข้าห้องทั้ง ๆ ที่น้องเฟยบอกเรียนไม่ไหว
> ป๊าเสียใจมาก ๆ มากจนไม่
> อาจให้อภัยตัวเอง   ถ้าหากมีข่าวเรื่องโรค  มือ เท้า ปาก มาก่อน
> ป๊าจะไม่ยอมให้น้องเฟยไป โรงเรียนเลย  ทุกวันนี้มันก็ยังหลอนอยู่ในหัวป๊าตลอดเวลา )


> ทำไมทางสาธารณสุขถึงปิดข่าวกัน
> ไม่เคยมีใครรู้จักโรคนี้มาก่อนเลยทั้งที่มันรุนแรงกับเด็ก มาก ๆ
> และกำลังระบาดอยู่  ซึ่งความจริงมีเด็กเสียชีวิต ตั้งแต่ต้นปีแล้ว 5-6
> คนด้วยกัน  เพิ่งจะเป็นข่าวก็ในกรณีลูกของผมนี่แหละ 
>
> เย็นวันนั้นหลังจากรับกลับบ้าน   ปรากฏว่ามีรอยบวมใต้ตาทั้ง 2 ข้าง
> พอมีใครไปทักแกก็จะบอกว่าอย่า
> ยุ่ง  รู้สึกว่าวันนั้นแกจะนั่งดูทีวีอย่างเดียว  ไม่พูด ไม่คุย
> ไม่ส่งเสียงดังตามปกติ
>
> เวลา  2 ทุ่ม  ผมอุ้มแกเข้าห้องให้แกนอนที่เตียงประจำของแก  แต่ปรากฏว่า
> ที่แขน  และ ขา จับ
> แล้วเย็นมาก   แต่ที่ตัวยังอุ่น  หัวเริ่มมีเหงื่อออกมาก
> ผมรู้แล้วว่าอาการโรคที่แท้จริงตอนนี้เริ่ม
> ปรากฏตัวแน่ ๆ แล้ว  ทั้งที่ตอนหัวค่ำยังไม่มีอาการมือเย็น  เท้าเย็น
> เลยแม้แต่น้อย
>
> ผมปรึกษากับคุณแม่  เห็นว่ามันดึกแล้ว ถ้าไปโรงพยาบาลเวลานี้คงเจอแต่หมอเวร
> อีกอย่างแกก็ไม่มีไข้
> นอนอย่างเดียว  ไม่ร้องเจ็บ  หรือ ปวดตรงหัวเหมือนตอนก่อนเป็นไข้ครั้งแรก
> ก็เลยตั้งใจว่าเช้าวัน
> ศุกร์จะพาไปหาหมออีกที  คราวนี้น่าจะรักษาได้แน่เพราะอาการออกชัดมาก ๆ
>
> วันศุกร์ ที่ 15/9/49   คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาลเวาลา 10.00 น    ช่วงเช้า7.00 น 


> คุณพ่อได้นวดแขนนวดขาให้น้องเฟย  เพราะมือและขา แกเย็นมาก ๆ  ตลอดเวลา
> แต่ไม่มีแผลที่มือ หรือ
> เท้าเลยแม้แต่น้อย สะอาดมาก
> พอไปถึงโรงพยาบาลคุณหมอได้พยายามเจาะหาเส้นเลือดเพื่อใส่
> น้ำเกลือด่วน  เพราะว่าเด็กเกิดอาการช๊อค   แต่ก็ไม่สามารถเจาะได้
> เพราะเส้นเลือดหาไม่เจอ
> เลย ต้องเจาะอยู่ถึงกว่า 10 ครั้ง  น้องเฟยร้องไห้ตลอดเลยเพราะว่าเจ็บมาก
> จนคุณแม่ที่นั่งรออยู่
> ข้างนอกยังทนไม่ไหวถึงกับร้องไห้สงสารลูก
> แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะการเจาะเลือดเป็นทางเดียวที่จะ
> ให้อาหารแกด้วน้ำเกลือ  เพื่อพยุงอาการให้เข้าที่
>
> เวลา  21.00 น  ผมมาถึงโรงพยาบาล  ที่ห้อง ไอ ซี ยู  เห็นน้องเฟยนอนตาลอยอยู่
> ดูหน้าแล้ว
> โทรมกว่าตอนเข้ามาก ๆ  จากนั้นแกก็อาเจียน
> มีเสลดในคอต้องคอยดูดออกเป็นระยะ ๆ    แต่ไม่
> มีหมดในห้อง ICU เลย  ผมถามแฟนว่าหมอไปไหนกับหมด
> แฟนก็บอกว่าหมอออกเวรไปแล้ว   สักพัก
> ก็มีหมอเวรเด็ก เข้ามาและตรวจอาการแกตามปกติ
> แต่รุ้สึกว่าอาการลูกผมจะแย่ลงเรื่อย ๆ เห็น คุณ
> หมอวิ่งเข้า วิ่งออกอยู่หลายรอบ   เรียกพยาบาบเข้าไปช่วยต้วย
> แกบอกว่าลูกผมอาการค่อนข้างหนัก มาก ๆ  แต่ยังหาสาเหตุของโรคไม่เจอ   จากนั้นได้นำน้อง  

   เฟยไปเอ็กซ์เรย์ ปอด
> หัวใจ  และ ทำ CT Scan สมอง  เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง   ผลก็คือ ปอดปกติ
> ไม่มีอาการปอดบวม
> (อาการปอดบวมมาพบทีหลังในเช้าวันเสาร์ที่เสียชีวิต )  แต่หัวใจทำงานผิดปกติ แรงดันชีพจรเต้น
> เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา   อาการน่าเป็นห่วง   ส่วนที่สมองก็มองไม่เห็นความผิดปกติ
> แต่คุณหมอในคืนนั้นก็แจ้งว่าเครื่อง CT Scan สามารถมองเห็นได้แค่ช่วง   1 CM.  แล้วก็เว้น 1 CM
> คื่อมองเห็นช่วงและ ไม่เห็นช่วงสลับกันไป   จากภาพถ่าย
> ก้านสมองเด็กมองแล้วก็ยังไม่เห็นเลือดคั่ง  หรือ อะไรที่ผิด
> ปกติ
>
> คุณหมอเวรช่วงดึก แกก็ได้โทรไปปรึกษา  หมอประจำของน้องเฟย  คือ คุณ หมอ
> วรรณณี  ตลอด แล้ว
> ก็วิ่งเข้าไปเจาะเลือดลูกเราอีกแล้ว  ทุก ๆ ชั่วโมง
> แต่ลูกเราตอนนี้โดนยานอนหลับอยู่จึงยังไม่มีการ
> ร้อง หรือตอบสนอง
>
> คุณหมอได้ตะโกนเรียกน้องเฟย  เอาที่เคาะกระดูกมาเคาะที่เท้า แต่
> เท้าก็ไม่มีการตอบสนอง  เอา
> ไฟฉายมาส่องตา  ตาก็ไม่ตอบสนอง   แล้วคุณหมอก็พยายามตะโกนเรียกน้องเฟยอยู่นาน
> ผมก็เริ่มรู้  สึกใจไม่ดีแล้ว  เอทำไมบรรยากาศเริ่มแย่ลง ๆ  ลูกเราเป็นอะไรกันแน่
> ถามคุณหมอ  แกก็บอก
> ว่าอาจจะช็อกอย่างแรงจากโรคบาวหวานเฉียบพลัน    แต่หลังจากวิเคราะห์อีกที
> ก็ไม่น่าจะใช่


> เพราะผลเลือดสรุปแล้วมีแต่น้ำตาลในเลือดที่สูงถึง 300
> แต่ตัวอื่นปกติจึงไม่น่าจะใช่บาวหวานเฉียบพลัน
> ตอนนั้นผมเริ่มถามตัวเองแล้วว่า    หมอใหญ่ของที่นี่ไปไหนกันหมด
> ปล่อยให้หมอเวรหนุ่ม ๆ ทำอยู่คน
> เดียว   โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน  ไม่มีหมอดี ๆ เหลือเลยเหรอ
>
> แต่ผมก็เห็นความตั้งใจของหมอเวรคนนี้มาก  แกพยายามทำทุกวิธีทาง
> ใช้ทุกเครื่องมือของโรงพยาบาล
> ที่มี  รวมทั้งเครื่องตรวจหัวใจด้วยไฟฟ้า  เครื่อง CT Scan ตรวจสมอง ผลก็คือ
> ไม่ทราบว่าเป็นโรค
> อะไร     คุณหมอเวรคืนนั้นเดินมาบอกเราว่า
> ทางโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียไม่มีเครื่องมือที่
> ละเอียดเพียงพอที่จะหาเชื้อโรคตัวนี้   หรือ ไวรัสตัวนี้ได้
> จำเป็นต้องส่งต่อโรงพยาบาล จุฬา หรือไม่
> ก็ ศิริราช     ในเวลานั้นผมเริ่มใจสั่นและคิดหนัก
> ว่าอาการลูกเราตอนนี้เป็นตายเท่ากัน  จะไปไหนดี  นี่ก็ตี 2.30 แล้ว  ใครจะมีอาจารณ์หมอละ
คืนวันศุกร์
> ติดต่อไปที่จุฬาก็ไม่มีเตียงเหลือ


> สุดท้ายผมเลือกโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์    ทางหมอเวรได้ติดต่อประสานงานให้กับ รพ บำรุงราษฏร์
> เรียบร้อย  เป็นอาจารณ์หมอเด็กเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ
> เพราะลูกผมตอนนี้หายใจถี่มาก ๆ
> เหมือนคนวิ่งมาเหนื่อย จะหายใจถี่ ๆ ตลอดเวลา ต้อง
> ใช้รถพยาบาลของกรุงเทพคริสเตียนส่งไปพร้อม
> กับใช้เครื่องช่วยหายใจไปตลอดทาง
>
> ระหว่างทางผมเห็นหยดน้ำตาบนหน้าน้องเฟย   จิตใจเราก็เริ่มแย่ลง
> หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาแก
> ภาวนาว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ  ปาป๊า
> กำลังพาน้องเฟยไปหาหมอที่เก่งที่ดีที่สุดแล้ว   อดทนหน่อยนะ
> น้องเฟยชอบพูดว่าน้องเฟยอดทนเก่งนี่   คราวนี้ถ้าน้องเฟยหาย  ปาป๊าจะพาไปดู
> MASK  RIDER
> SHOW  ที่กำลังจะแสดงเร็ว ๆ นี้   น้องเฟยชอบพูดว่าอยากดูไม่ใช่เหรอ
> จะดูกี่รอบก็ได้นะ
>
> พอไปถึง คุณหมอที่ บำรุงราษฏร์  ได้เตรียมห้อง  ICU รอไว้เรียบร้อยแล้ว
> และทำการรักษาต่อทันที
>
> มีการใส่เครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติ    เครื่องให้น้ำเกลือ
> เครื่องตรวจชีพจร   เครื่องตรวจการ
> เต้นของหัวใจ  เครื่องตรวจอะไรอีกไม่รู้  รวม ๆ แล้วเกือบ 8 เครื่องด้วยกัน
>
> คุณหมอบอกว่าลูกเรามีอาการติดเชื้อเข้าขั้นรุนแรง
> เพราะหัวใจทำงานผิดปกติในการส่งเลือดไป
> เลี้ยงสมอง  ทำให้สมองสั่งการให้หายใจผิดปกติด้วย
> แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นไวรัสตัวไหน  จึงขอ
> อนุญาตดูดเลือดไปตรวจ  ผมก็ตกลง   แต่คุณหมอบอกว่า  อาการน่าเป็นห่วง
> ต้องดูตลอดเวลา ชั่วโมง
> ต่อชั่วโมง   ชั่วโมงนี้แย่ แต่ ก็ไม่แน่ว่าชั่วโมงต่อไปอาจดีก็ได้
> ในสิ่งที่แย่ก็ยังมีความหวังเสมอ
> ผมฟังไปน้ำตาก็เริ่มไหล    ทำได้เพียงแค่สวดภาวนาขอให้ลูกเราปลอดภัยด้วยเถิด
> จะให้เราทำ
> อะไรก็ยอมทั้งนั้น  ยาแพงแค่ไหนก็ได้  ขอให้เขาหาย
>
> ผลเลือดยังไม่รู้ต้องรอเพาะเชื้อ  3 วัน  แต่คุณหมอที่บำรุงราษฏร์
> บอกว่าเขาได้ฉีดย่าฆ่า เชื้อแบคทีเลีย  และ ไวรัสเท่าที่เขามีให้แล้วโดยไม่รอผลเชื้อของห้องแล๊ป
> ถ้าโชคดียาที่ส่งไปอาจ
> ใช้กับเวรัสในตัวลูกเราก็ได้  ต้องรอดูอาการอีกที   แต่คุณหมอบอกว่า  ไวรัส
> 99% ไม่มียาฆ่าเชื้อ
> ต้องใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเด็กเองเป็นตัวฆ่า   ถ้าลูกเราแข็งแรง
> ก็จะผ่านช่วงเลวร้ายนี้ได้  ถ้าแข็งแรงไม่พอก็จบ
>
> คืนนั้นผมไม่นอนเลย   นั่งเฝ้าหน้าห้องกระจก ICU ตลอดเวลา  จนเวลา ตี 5
> คุณหมอจึงขออนุญาต
> กลับไปก่อนเพื่อให้หมอด้านหัวใจ  และ สมองมาตรวจในตอนเช้าอีกที
> นั่งไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า
> แฟนผมก็นั่งหลับอยู่หน้าห้องเหมือนกัน


>
เช้าวันเสาร์ ที่ 16/9/49  อาการน้องเฟยนิ่ง  ๆ  ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา 

> คุณหมอเด็กด้านหัวใจอ่านรายงานของ  รพ  กรุงเทพคริสเตียน  บอกว่ายังพอมีหวัง
> ถ้าไวรัสไม่เข้าไปที่
> หัวใจ   แต่หลังจากใช้เครื่องสแกนหัวใจมาตรวจ  ก็พบว่ามีไวรัสในหัวใจจริง ๆ
> และเป็นตัวที่ร้ายที่สุด ซึ่ง ไม่มียาฆ่าเชื้อโรคตัวนี้   โอกาสรอดมีน้อยมาก
>
> แฟนผมพอได้ยินว่าเป็นไวรัสที่ร้ายแรงที่สุด  ถึงกับร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก
 
> จากนั้นคุณหมอด้านสมองเด็ก  ก็ได้มาตรวจดูด้วยเครื่องอะไรก็ไม่รู้
> เพราะตอนนั้นสมองผมเองก็ เริ่มไม่รับรู้แล้วเหมือนกัน      คุณหมอสมองเด็กออกมารายงานว่า
> ที่สมองตรวจพบเชื้อไวรัส  เช่นกันที่
> ก้านสมอง  ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสมอง   และเริ่มตรวจพบเชื้อในปอด
> ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังตรวจไม่พบเลย  ทำไมวันนี้จึงเจอละ
 
> คุณหมอบอกว่าความหวังสุดท้าย ของเรายังมี  คือ
> ใช้เซรุ่มของคนอื่นที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง  มาฉีดให้น้องเฟย
> เป็นความหวังสุดท้าย   เนื่องจากภูมิคุ้มกันร่างกายของน้องเฟย  ไม่ไหว
> ต้องส่งกองทัพของคนอื่นมา
> ช่วย ถ้าช่วยได้ก็คงจะฆ่าไวรัสได้บ้าง   ทางผมจึงตกลงให้ใช้เซรุ่มตัวนี้
> ถึงแม้จะยังไม่การรับรอง
> เซรุ่มตัวนี้อย่างเป็นเอกสารแต่ในเมืองนอกมีการใช้กัน
> และได้ผลบ้างในบางเคสเท่านั้น

> คุณหมอได้แจ้งอีกว่าราคาเข็มละ  60,000 B.  ซึ่งทางเราก็ยินดี

> ทางคุณหมอได้ขอเจาะไขกระดูกสันหลังเพื่อขอส่งไปตรวจหาเชื้อด้วย
> ซึ่งทางเราก็คิดหนักในตอนแรก
> กลัวแกจะทนไม่ไหว    แต่ในที่สุดทางเราก็ได้อนุญาต
> เพราะเราไม่มีที่พี่งแล้วนอกจากหมอ

> หลังจากได้รับการฉีดเซรุ่ม  เข้าไป 2 ชั่วโมง   หัวใจของน้องเฟยก็หยุดเต้น
> ขึ้นมา   คุณหมอจึงรีบ
> เข้ามาปั๊มหัวใจซึ่งก็ใช้เวลาในการปั๊ม  1.20 ชั่วโมง  คุณหมอทั้ง 3
> คนออกมาแจ้งว่าน้องเฟย ไม่ไหว
> แล้ว  ผมกับแฟน  อากง  อาม่า  มีแต่น้ำตา  พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
> พอคุณหมอเห็นสภาพผม
> ในตอนนั้น ท่านก็เดินกลับเข้าห้อง ICU อีกครั้งช่วยกันปั๊มหัวใจอีกร่วม 30
> นาที  ด้วยกัน แต่ผลสุดท้าน
> น้องเฟยก็จากพวกเราไป แล้ว

> ผมเสียใจมาก  โทษตัวเองว่า  เราประมาทอะไรไปรึเปล่า   ทำไมเราไม่ส่งเขาไปรพ. บำรุงราษฏร์แต่แรก
> เราเห็นว่าประวัติการรักษาทั้งหมดอยู่ที่  รพ กรุงเทพคริสเตีย
> เขาเกิดที่นี่  ประวัติการรักษาก็อยู่ที่นี่
> แต่ที่นี่กลับไม่สนใจลูกผมเลย   คุณหมอวรรณี
> ก็ได้แต่ส่งเสียงตามสายเท่านั้น  ทั้งที่เราก็หาเขาตลอด
> ทำไมเขาถึงปล่อยให้ลูกเรานอนรออยู่เฉย ๆ ตั้ง 3-4 ชั่วโมง
> จนกระทั่งหมอเวรมาตรวจในตอน 4  ทุ่ม    พบว่าเป็นเคสอาการหนัก
> คุณหมอวรรณีก็ไม่ได้แวะมาช่วยดูเลยแม้แต่น้อย    ไม่ได้พูดกับเรา
> เลย แม้สักคำ   มีแต่หมอเวรหนุ่มที่มีความตั้งใจมาก  แต่ยังขาดประสบการณ์
> มาดูแลน้องเฟยคนเดียว
>
> นับจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ลูกผมนอนรอโดยหาคำตอบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
> เปลี่ยนหมอ  หรือ เปลี่ยน
> โรงพยาบาลเถอะครับ  ไม่ต้องเกรงใจหมอ  หรือ กลัวไม่ได้ประวัติการรักษา
> เพราะเขาอาจไม่
> รอดรอให้เรารักษาเหมือนผม
>
> เฟย    ป๊ากับม๊า  รักเฟยมาก  และ  เสียใจมาก ๆ
> ขอให้เฟยเกิดมาเป็นลูกป๊าอีกนะ    คราว
> นี้ป๊ากับม๊า  จะดูแลเฟยใหม่  จะไม่ให้ไปโรงเรียนถ้ามีไข้    และ
> จะไม่ฝืนถ้าลูกร้องไม่ไหวอีกต่อไป
 
> สิ่งที่ผมเขียนมานี้เป็นความจริงทั้งหมด  และขอให้ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์แก่
> พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ทุกคนใน
> การดูแลลูก หลานของท่าน    โรค  Enterovirus 71
> นี้ไม่จำเป็นต้องมีอาการแผลที่มือ  ปาก เท้า
> แต่ถ้ามันเข้าไปถึงหัวใจ หรือก้านสมอง  โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก ๆ  ถ้ารอด
> สมองก็จะไม่เหมือนเดิม
> สาธารณสุข  หรือ แม้แต่โรงเรียน  ก็ตาม  แจ้งแต่ผมการตรวจในห้องแล๊ป
> แต่ไม่เคยเล่าอาการ
> ล่วงหน้ามาให้ทราบ  ทั้ง ๆ ที่ทางผมได้เล่าละเอียด   ดังนั้น
> ผมจึงขอถือโอกาสนี้เล่าเรื่องราวต่าง
> ๆ ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนทราบ   เพื่อเอาไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน
> ชีวิตน้องเฟย  1 คน  ใน
> โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน   จะมีค่าหากทุกคนช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
> ขอขอบคุณครับ
>
> คุณพ่อ  และ คุณ แม่  น้องเฟย
>
> 25/9/49



ขอบคุณ เวป http://www.weekendhobby.com/offroad/pajero/shtml/4838.shtml

 

ความเห็น

ขอบคุณค่ะที่ช่วยแบ่งปัน ตอนนี้ ต้องอาศัยทุกคนช่วยกันดูและและป้องกัน รวมทั้งสังเกตุอาการ บุคคลใกล้ชิดกันด้วยนะคะ เพื่อที่จะแก้ไขได้ทัน

ชีวืตที่เพียงพอ..

โรคระบาดมาพร้อมกับความเจริญเติบโตทางสังคมเสมอ ขอให้ปลอดภัยค่ะ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ครับ

ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงหรือต่ำอยู่ที่ทำตัว


บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร

สวัสดีจ้า น้องนุสิตา - ชอบคุณมากจ้า นำข่าวสารมาฝากกัน // โรคแปลกๆ แต่น่าสงสารเด็กๆ   :confused:

ชีวิตที่เรียบง่ายกับความพอใจในสิ่งที่มี

ขอบคุณที่นำเสนอค่ะ

เพราะชีวิต...คนเรา    เกิดมา....ไม่นาน ก็ต้องตาย
ต้องกลายเป็นความว่างเปล่า
Cr. เ่ท่าที่มี - กางเกง

ขอบคุณครับโลกเปลี่ยนไป สายพันธุ์โรคก็เปลี่ยนไปตาม

EAKAPONG_36@hotmail.com Tel 087 959 9004

:sweating:น่ากลัว จังนะค่ะ ขอบคุณค่ะ นำข้อมุลมาฝาก:hi:

หน้า