นันเวิปเบิล คอมมิวนิเคชั่น (อวัจนภาษา)
“พี่ แม่อยู่ไหน”
“นอนอยู่เห็นบ่นว่าเพลียๆ ไม่มาดูแม่หน่อยหรืออออ”
“โอออ..... พี่ผมยุ่งอยู่ช่วงนี้ แค่นี้เองจะไปตอนไหนก็ได้ ว่าแต่แม่เป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็คงไม่มีอะไรมากหรอก เห็นบ่นว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับบ”
“บอกแม่ด้วย วันแม่นี้ผมกลับบ้านไม่ได้นะ บอกแม่ว่าผมเป็นห่วงนะครับพี่ เดี๋ยววันแม่นี้ผมจะโทรไป”
“จะโทรทำไม...ทำไมไม่กลับมาบ้าน อะไรกันนักหนานะ ถ้าอยู่ไกลก็ว่าไปอย่างนี่ขับรถมาชั่วโมงกว่าๆก็ถึง”
“โถพี่ ก็มันใกล้นะซิผมถึงจะกลับตอนไหนก็ได้ ผมก็โทรหาแม่เช้าเย็นอยู่แล้วนี่ แค่นี้แหละพี่ หลานสบายดีนะ”
วางสายไป
ผมนิ่งอยู่พักใหญ่เพื่อการเชื่อมต่อความรู้สึกให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งแม้สายจะถูกตัดไป ผมมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือพร้อมๆกับทบทวนช่วงเวลาที่ผ่านมา มันเข้ามาเชื่อมต่อเติมเต็มชีวิตของเราแต่ละคนพี่น้องให้ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเชื่อมต่อความห่วงหาอาทรจากแดนไกลผ่านโสตเสียงที่แจ่มชัด เราแต่ละคนคุยกับพ่อแม่ คุยกับลูก เราคุยกับพี่น้อง กับเพื่อนฝูง แทบจะทุกวันและถี่พอๆกับการหายใจ จนเหมือนเป็นความคุ้นเคย เราสังเกตความรู้สึกอารมณ์ใครต่อใครผ่านช่องทางน้ำเสียง เราแทบจะจำเสียงทุกคนได้ แต่จะจดจำใบหน้าเจ้าของเสียงว่าเป็นอย่างไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง หลายๆปีก่อนหน้านั้นเรามักจะรอคอยกันละกันในช่วงวาระเทศกาลประจำปีต่างๆ ที่จะกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันเพื่อเติมเต็มส่วนที่มันเคยมีในวานวัยเด็ก.....หน้าที่ ครอบครัวทำให้เราแต่ละคนต่างต้องแยกย้ายกระจัดกระจายออกห่างกันไป แต่กระนั้น เราก็จะคงเฝ้าหวังเฝ้ารอกงล้อช่วงเทศกาลกลับมาหมุนเยือน ข้าวปลาอาหารของฝากถูกจัดเตรียมล่วงหน้าเป็นอาทิตย์และบางอย่างอาจจะเป็นเดือนๆ
ผมยังจำเงาะต้นหวานที่ว่างเว้นจากการเก็บเกี่ยวทั้งๆที่ผลแดงจนหนวดดำเพื่อเก็บไว้รอลูกรอหลาน ผมยังจำสางสาดที่เหลืองปนดำอยู่บนต้น ยืดช่วงเวลาให้แตนต่อได้อิ่มหนำสำราญกับความหอมหวานต่อไปอีกหลายวัน เพียงเพื่อ รอคอยลูกหลานมาเก็บกอบกิน เฝ้ารอเห็นภาพหลานๆกัดเคี้ยวลังสาดจนน้ำหวานเลอะแก้ม
ไม่แปลกหากคนรุ่นปู่ทวดของเราท่านจะปลูกผลไม้นานาชนิดไว้รอบบ้าน ก็คงจะมีไว้เพื่อยั่วรอให้ลูกหลานได้กลับมาเยี่ยมมาเยือนในแต่ละช่วงของปี ไม่แปลกที่เราในสมัยเด็กๆจะต้องไปนอนไปกินไปอยู่ที่บ้านปู่บ้านย่า บ้านตาบ้านยาย จนไม่อยากจะกลับบ้าน เพราะนั้นหมายถึง ของกินที่มากมาย มีพี่น้องในวัยเดียวกันให้ได้เล่นสนุกสนานอย่างเต็มที่ ลุงป้าน้าอา พร้อมหน้าครบสรรพ หากจะโชคดีสองชั้นก็คงจะเป็นตอนที่รถน้ำแข็งบอกผ่านแวะเวียนมา ถื่อเป็นกลยุทธ์ทางภูมิปัญญาที่ละเอียดอ่อนและงดงาม
ช่วงระยะเจ็ดแปดปีมานี้ดูเหมือนว่าความสำคัญของการรอคอยอย่างนั้นจะค่อยๆทยอยจางหายไป
มันเหมือนกับชีวิตนี้มันขาดอะไรไปสักอย่างที่คุ้นเคย เราคุยเหมือนจะชิดใกล้กัน แต่นับวันรู้สึกเหมือนกับว่าช่างห่างไกลออกไป ทุกทีๆ
การสื่อสารที่รวดเร็วฉับไหวปานใจคิด เราคุยกับคนที่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครได้นานนับชั่วโมงผ่านตัวอักษร ผ่านการสนทนาเสียง ผ่านช่องทางรับรู้ต่างๆมากมาย เราติดตามผู้คนที่น่าสนใจหลงใหล ตั้งแต่ ตื่น อาบน้ำ กินข้าว ล่วงเลยจนถึงยามหลับยามนอน รับทราบแม้แต่กระทั่งรสนิยมทางเพศของเขา ไม่มีข้อจำกัดใดๆเป็นกรอบให้เราต้องนำมาขบคิด ไม่มีความหมายใดๆที่ต้องขบเค้นเฟ้นหา ผ่านมาผ่านไปเหมือนสายลมแรงที่พัดโชกแรง เราอาจจะพยายามไล่ แต่ก็เหนื่อยเหลือเกินที่จะติดตามทัน
เหมือนมีหลากความหมายมากมายพุ่งมาให้คว้าสัมผัส แต่จับต้องเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้
เหมือนจะใกล้ชิด เหมือนจะอบอุ่น แต่มันไม่เคยได้อิ่มหนำเลยสักครั้ง
แววตา สัมผัส โอบกอด หายไป แต่เราก็ยังคุยกันได้ ทุกวัน
หลายคนละเลยที่จะไปหา ละเลยที่จะกลับบ้านทานข้าวกับครอบครัว เพราะเหตุที่ว่าเราได้คุยกันแล้วทุกวัน
การสื่อสารด้วยคำพูดแม้จะทำให้เราได้รับรู้ชื่นสัมผัส แต่ก็เพียงสัมผัสวูบเดียวที่ได้ยินผ่าน กักเก็บไว้แค่ชั่วนิทราสัมผัส
เราบอกว่า รัก คิดถึง ห่วงใย ใครต่อใครได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง
แต่มันจะมีค่าอะไรเมื่อเทียบกันไม่ได้เลยกับการเห็นหน้าและสัมผัสโอบกอด มองตา ประโลมใจ แค่เพียงครั้งเดียว
ขอกอดสักทีเถอะ...
แล้วหลังจากนั้น เราค่อยมาคุยกันต่อ
- บล็อกของ มานี มานะ วีระ ชูใจ
- อ่าน 3606 ครั้ง
ความเห็น
little finger
8 สิงหาคม, 2010 - 21:15
Permalink
บอก...
บอกรัก...คิดถึง...ห่วงใย กี่พันครั้ง
ก็ไม่เท่าได้เจอหน้าครั้งเดียว...แล้วได้พูดคำเหล่านั้น....เฮ้อ... +_+
----------ช่วงนี้ สมช. เลยขยันไปเจอหน้ากัน-------อิอิ ^^
มานี มานะ วีระ ชูใจ
8 สิงหาคม, 2010 - 21:31
Permalink
บอก...
หรือเท่ากับ...ของบางอย่างที่เขาตั้งใจทำตามคำอ้อนขอ...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ตั้ม
9 สิงหาคม, 2010 - 19:51
Permalink
ครอบครัว..เรื่องเก่าที่เล่าไม่มีวันจบ
ความผูกพันใกล้ชิดของครอบครัว..แม้ผ่านการเดินทางของกาลเวลา..นาน..เนิ่นนาน..เพียงใด..ยังคงเป็นความทรงจำที่ไม่จืดจาง..แม้บางครั้ง..สถานภาพของแต่ละคนเปลี่ยนไป..สายใยที่ยึดโยงยังคงภาพเก่าๆไว้ในจิตสำนึกตลอด..แม้จะมีบางภาพที่ไม่ค่อยน่ามองนัก..ก็ยังฝังอยู่ยากที่จะลบเลือน
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 สิงหาคม, 2010 - 09:24
Permalink
ภาพบางภาพ
เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่เรา...ได้จดจำ
จดจำเพิ่อเร่งความหวัง...อยากจะมีแบบนั้นอีก...อย่า..งง
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
จันทร์เจ้า
10 สิงหาคม, 2010 - 18:09
Permalink
โอ้..มานะ
สุดยอดนักเขียนอีกแล้ว อ่านแล้วคล้อยตามเลยค่ะ พี่ เจเจ เกือบไม่ได้อ่านแน่ะ เพราะสำลักความสุขอยู่ อิอิ
ความคิดถึง กันแบบที่มานะบอกน่ะ มันหายไป ตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถือเข้ามาแล้วหละ
พี่ยังจำได้เลย เมื่อก่อนนี้ ไปอยู่ที่อื่นมา ต้องรอวันสำคัญ แล้วกลับบ้าน มาหาพ่อ แม่ พี่ น้อง
ด้วยความคิดถึง ใจมาถึงบ้านแล้ว แต่ตัวยังเดินทางอยู่เลย เจอกันปุ๊บ กอดกันปั๊บ และดีใจเป็นที่สุด
แต่ตอนนี้ มันหายไปแล้ว พร้อมกับความเจริญ และ ทันสมัย เข้ามาแทนที่
เขียนได้ยอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะ จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 สิงหาคม, 2010 - 09:17
Permalink
เมื่อไร่...ใจก็รอ
ขอบคุณครับ...
ขอเสนอแนะ...ต้องอ่านสามเที่ยวครับ...
เพราะมันจะค่อยซึมซับ....
ขอกอดหน่อย...แล้วค่อยมาคุยกันต่อ....
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
น้ำหวาน
9 กันยายน, 2010 - 00:06
Permalink
คุณมานะคะ
น้ำหวานร้องไห้แล้วนะ น้ำหวานคิดถึงแม่จังแม่จ๋าน้ำหวานขอกอดหน่อยค่ะ
หน้า