ที่มา...ที่ไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มยิ่งทำให้บรรยากาศรอบๆตัวยามอาทิตย์ลับขอบฟ้าดูอีมครึมยิ่งเข้าไปอีก
ผมจอดร่างกายตัวเองไว้กับม้านั่งริมรั้วข้างกำแพงบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง ในขณะที่ใจกำลังว้าวุ่นอยู่ในวงเวียนความคิด พลางทอดสายตามองย้อนกลับไปยังที่มา
ซึ่งตอนนี้ความมืดเริ่มทยอยจับจองพื้นที่และปกคลุม ตลอดที่นั่งฟังเสียงหายใจตัวเองทอดยาวเป็นช่วงๆ ผมเริ่มที่จะสังเกตเห็นรถหลากยีห้อ หลากราคา ผลัดเปลี่ยนเวียนแวะกันมาจอดเป็นระยะๆจนเต็มลานจอดรถในบ้านใหญ่หลังนี้และลามล้นมาจนถึงนอกรั้ว
มาก่อนคงจะได้จอดก่อน หรือไม่ก็รีบเพราะฝนใกล้ตก จึงไม่แปลกใจอะไรที่ผมจะเห็นรถซาเล้งคันหนึ่ง จะจอดแนบชิดติดกายกับรถยุโรปหรูๆ หรือจักรยานสีเขียวน่ารักหวานๆจะจอดเคียงคู่อยู่กับ”มอไซร์”บึกบึนคันโตหน้าเกรงขาม จนผมรู้สึกเผลอขำในความต่าง
ประตูรั้วบ้านที่เปิดอ้าตลอดเวลา...เปิดรอรับทุกๆบุคคลที่ลงจากรถ หอบหิ้วสัมภาระต่างๆแล้วผ่านเข้าไป โดยมียามหน้าประตูทำหน้าที่อย่างจริงจังตามระบบ แต่ทุกคนก็ผ่านเข้าไปได้อย่างไม่มีอุปสรรคอะไรมากมาย
คงจะมีงาน หรือไม่ก็เป็นแหล่งซ่องสุมอะไรสักอย่าง
“มาไหนหละพ่อหนุ่ม ทำไมไม่เข้าไปข้างในหละ”..ผมหันไปมองยังต้นเสียง เผลอยิ้มแห้งๆแทนคำตอบ ในขณะที่เจ้าของเสียงตัวเล็กๆในเสื้อสีเหลืองกับรอยยิ้มแสนจริงใจ กำลังยกหน่อกล้วยและอะไรๆอีกมากมายใส่ท้ายรถ ที่มีป้ายบ่งบอกว่าเธอมาจากอุบล เธอหันมามองและยิ้มกับผมอีกครั้งก่อนขับรถออกไปซึ่งคงจะสวนทางกับสาวในตาคมเข้มผมยาวหยิกเจ้าของรอยยิ้มใสๆอีกคนหนึ่งซึ่งหอบข้าวหอบของ ดอกไม้นานาชนิด แต่กระนั้นเธอยังคงเว้นจังหวะหันมาทักทายผม ขณะที่เธอกำลังรีบวิ่งก้าวผ่านประตูไป
“พี่ค่ะ ทำไมไม่เข้าไปข้างในหละ ฝนเริ่มตกแล้วนะ”
ภาพรอยยิ้มทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ท้องฟ้ากำลังเริ่มทยอยน้ำใสๆลงมาพอประปราย
“มาไหนหละพ่อหนุ่ม” คำถามที่ผมยังไม่ทันได้ตอบ แต่ตอนนี้อาจจะต้องย้อนกลับมานั่งถามตัวเองเพื่อทบทวนอีกครั้ง เผื่อว่าจะมีคำตอบเกิดขึ้นในตะกอนคิดของตัวเองบ้าง
ใช่สิ..เรามาจากไหนหละ แล้วจะไปไหนกันหรือ....
มองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ผ่านมาเริ่มจะมืดมิด และเมื่อเหลียวกลับมายังอีกด้าน เส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไปก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยในขณะนี้ จะเลือกเดินต่อหรือกลับไป ก็ไม่ต่างอะไรไปจากตรงนี้ ขอนั่งฟังเสียงหายใจของตัวเองต่อสักพักก่อนดีกว่า...รอให้ใจกลับมาแล้วค่อยไปต่อ ฝนเอ๋ย..รีบตกลงมาเถอะ เผื่อบางทีความเหนื่อยหล้า ความสับสน ความทุกข์ท้อของชีวิตจะได้รับการชำระล้างเสียบ้าง ผมนึกในใจอย่างท้าทาย
ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว หากการเริ่มต้นของการเดินทางเป็นไปอย่างไม่มีจุดหมาย การเดินทางนั้น ก็แทบจะสูญเปล่า ผมเดินมานานเท่าไรแล้วไม่รู้ และจะต้องเดินทางอีกสักเท่าไรก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้อีก รู้เพียงแต่ว่า ถึงบ้างไม่ถึงบ้างกับเป้าหมายที่วางไว้ เหมือนมันไม่ชัดเจนพอ มันเหมือนไม่เคยเพียงพอและสุดสิ้นเลยสำหรับความมุ่งหมายที่ว่านั้น เหมือนความปรารถนาอยากนั้นจะไร้ซึ่งขีดข้อจำกัด แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ เหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยที่จะต้องรีบเดินไปเพราะความกลัว กลัวจะไม่มีเหมือนคนอื่น กลัวจะตามคนอื่นๆเขาไม่ทัน
“ว้าว....สวยจังเลยน้องแอน” ผมค่อยๆยืนแล้วหันชะเง้อเข้าไปภายในรั้วบ้าน เห็นชายลงพุงกลางคน ผิวขาว สวมหมวก กำลังหยอกเอินอยู่กับดอกไม้ที่สาวน้อยคนเมื่อตะกี้นี้เพิ่งหอบไป โดยมีคนอื่นๆภายในบ้านหันมามองและทยอยลุกขึ้นกันมาร่วมวงทักทาย ขณะที่ชายเจ้าของเสียงก็คอยหยอกเย้าสมาชิกอื่นๆให้ได้หัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง
ผมเห็นหญิงสวยหน้าใสใส่เสื้อยืดสีขาวยกน้ำยกท่าออกมาต้อนรับ เอ่ยปากทักทายสารทุกข์สุกดิบกับน้องแอนและคนอื่นๆอย่างเป็นกันเอง ฟังน้ำเสียงสำเนียงแล้วคาดคิดว่าน่าจะเป็นคนทางภาคกลางแถวๆสุพรรณ โดยมีสาวไม่น้อยน่ารักท่าทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จูงน้องหมาตัวน้อยขนาดเลยสะเอวมาร่วมสมทบ เสียง กุ๊กๆกิ๊กๆแจ๋วแห๋วว ชมคนโน้นที คนนี้ทีด้วยแววตาอันเยิ้มฉ่ำ
เสียงพูดคุยอย่างออกรส สลับกับเสียงหัวเราะกันไปมาเป็นครั้งคราว ทำให้ผมอดชื่นชมเสียไม่ได้ ใครจะไปรู้ เห็นท่าทางของแต่ละคนแล้ว คงจะต่างที่มา ต่างที่ไป ต่างฐานะ แต่ความรู้สึกที่ผมเห็นเหมือนกับว่าทุกคนจะคือหนึ่งเดียว เป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน
ผ่านแสงไฟที่เปิดอยู่ผมเริ่มเน้นและกวาดสายตาไปยังส่วนต่างๆของบ้านที่แบ่งวางสาระ ข้อคิด ตลอดจนปราชญ์ผู้รู้แจ้งในแต่ละสายงานแต่ละด้านมาช่วยชี้แนะ แบ่งปันสารประโยชน์ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังอยู่มากพอควร จึงพอจะรับรู้ว่าที่นี่ คือที่ใด
“บ้านสวนพอเพียง”ผมเอ่ยในใจ ป้ายตัวโตวางเด่นอยู่ลานสวน โดยมีปรัชญาคำขวัญเป็นข้อคิดสำหรับทุกคนก่อนที่จะเดินผ่านเข้าไปภายในบ้านว่า แบ่งปัน สร้างสรรค์ พอเพียง “คุ้นๆนะคำๆนี้ พอเพียง”
“หัวใจพอเพียง” แค่นี้จริงๆหรือที่ทำให้ครอบครัวนี้ดูน่ารักและอบอุ่น ผมไม่อยากจะเชื่อ..
อันที่จริงแล้วคำว่า”พอเพียง”นี้ผมก็เคยอ่านเคยพบในบทความต่างๆแต่มันจะนำมาปฏิบัติได้จริงหรือ มันไม่น่าจะเข้ากันได้เลยกับโลกในยุคปัจจุบัน ผมคิดอย่างนั้นแล้วผมก็เลยละวางและไม่เคยแวะเวียนนำมาใส่ใจอีก เพราะผมคิดเสมอว่าโลกนี้มีความต่าง ที่นี่ก็คงเหมือนกัน ทุกคนที่เข้ามาและออกไปจากที่นี่ ก็ล้วนแล้วแต่มีแตกต่าง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของซาเล็งจะอิจฉาเจ้าของรถยุโรปคนหรูนั้นไหมนะ หรือคนแต่งตัวดีคนนั้นจะอวดภูมิข่มเด็กกะโปโลคนนั้นหรือเปล่า ผมพยายามมองเฝ้าสังเกต เพื่อบททดสอบบรรทัดฐานความคิดเดิมของผม
...แต่ไม่..ทำไมร่องรอยความต่างนั้นมันถึงได้เลือนหายและแนบแน่นสนิทจนไม่อาจมองเห็นนะ แววตา ความคิด ของแต่ละคนล้วนแล้วแต่แสดงออกมาอย่างจริงใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แนะนำ แบ่งปัน ซุ่มเสียงหัวเราะเปล่งประกายใสเหมือนทุกคนจะไม่มีใครหลงเหลือความทุกข์ท้ออยู่เลยหรือแม้หากจะมีบ้าง แต่จะมีใครสักคนไหมนะที่เป็นเหมือนผมในตอนนี้
อะไรกันนะที่เป็นตัวเชื่อมพวกเขาเหล่านั้น ความพอเพียงแค่นั้นจริงๆหรือ ความมืดที่ปกคลุมกายยังไม่เท่าความมืดมนที่เริ่มปกคลุมความคิดอันสับสนของตัวเองในขณะนี้ หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมกำลังเดินทางผิด เฝ้ามองความงอกงามของความมั่งคั่งที่พอกพูนขึ้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้มี เพื่อให้เทียมเท่าแล้วต่อมาก็เพื่อให้มากกว่าคนอื่นๆ อยากมี อยากเป็น อยากอีกสารพัดอยาก อย่างนั้นหรือ
“ทำไมไม่เข้าไปข้างในหละ” เสียงประโยคคำถาม ท่อนสุดท้ายที่พอจำได้ทำให้ผมรู้สึกตื่นจากภวังค์คิดอีกครั้ง
ใช่..ทำไมไม่เข้าไปหละ เราจะปล่อยให้ความมืดมนและเม็ดฝนนี้เกาะกุมตัวเองจนเปียกชุ่มเหน็บหนาวตลอดไปอย่างนั้นหรือ ทำไมเราไม่เดินไปยังที่ๆมีแสงสว่างอยู่เบื้องหน้า ในเมื่อเราก็อยากรู้ อยากสัมผัสชัดๆ บางทีเราอาจจะได้เรียนรู้ว่าอะไรคือตัวเชื่อมของความสัมพันธ์ที่แท้จริงเหล่านั้น บางทีเราอาจจะได้แง่คิด แง่มุมดีๆกลับมาปรับใช้กับชีวิต ลองมาเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจังและเปิดกว้างอย่างคนที่พร้อมจะเข้าใจ
ในขณะที่เส้นทางเดินทอดเดินกำลังมืดมน ผมอาจได้สัมผัสแสงสว่างแห่งการรู้จักตัวเองและนำพาเส้นทางเดินชีวิตของผม ไปในทิศทางที่ถูกต้องมั่นคงก็ได้.....ใครจะรู้
สายฝนทยอยทิ้งเม็ดหนักๆเหมือนเป็นการเร่งรัดให้ผมต้องเร่งรีบในการตัดสินใจหรือบ่งบอกว่าเห็นด้วยที่ผมจะตัดสินใจอย่างนั้น ผมเหมอหน้าขึ้นมองฟ้า ก่อนที่จะวิ่งเข้ามายังประตูบ้าน ตะโกนดังๆแข่งกับเสียงของสายฝน
สวัสดีครับ...ผมสมาชิกใหม่ขอรายงานตัวครับ.....
- บล็อกของ มานี มานะ วีระ ชูใจ
- อ่าน 9511 ครั้ง
ความเห็น
มานี มานะ วีระ ชูใจ
15 สิงหาคม, 2010 - 08:39
Permalink
ที่ไป...
เมื่อรู้ที่มา...ก็คงไม่ยากแล้วที่จะค้นหาเส้นทางเดินที่จะไป
เพียงแต่ขอหยุดพักซึมซับ...ค้นหาแรงบันดาลใจ
แต่ไม่ว่าจะแค่ผ่านมาหรือผ่านไป...ใจก็คงจะเรียงร้อยเคียงคู่กับที่นี่ อีกหลายเมื่อเชื่อวัน
ขอบคุณครับคุณแก้ว...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
บุญพา
15 สิงหาคม, 2010 - 09:24
Permalink
ที่มา
และก็ ที่ไป จะคอยติดตาม ตามติด ไปอ่านต่อนะค่ะ
มานี มานะ วีระ ชูใจ
15 สิงหาคม, 2010 - 10:10
Permalink
ที่ไป...
ยังไม่ทราบเลยครับ...
แต่คิดว่าเมื่อเจอแสงสว่าง
และระเบิดตัวเองได้เมื่อไรก็คงเมื่อนั้น
อย่างไรก็ค่อยๆประคับประคองกันไปนะครับ
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
เจ้โส
15 สิงหาคม, 2010 - 09:42
Permalink
มานี ฯ
เข้ามาหลบฝนในบ้านแล้วเป็นงั้ยมั่ง คิดผิดหรืดคิดถูก 5555
garden_art1139@hotmail.com
มานี มานะ วีระ ชูใจ
15 สิงหาคม, 2010 - 10:13
Permalink
อ้วนครับ...
อ้วนทั้งพุง เพราะมีของอร่อยมากมายเป็นตัวกระตุ้นต่อม
อ้วนทั้งความคิด..เพราะมีแง่มุมหลากหลายให้ได้สัมผัส
ผิดถูก...อย่างไรก็ตัดสินใจไปแล้ว...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
จันทร์เจ้า
15 สิงหาคม, 2010 - 09:54
Permalink
บอกได้คำเดียวว่า....สุดยอด
คิดได้ไงเนี่ย นายมานะ พี่อ่านไป ยิ้มไปเลยนะ มีความสุข และคิดคล้อยตามจริงๆอ่ะ
ขอเดาตัวละครในเรื่องนะคะ ว่าจะถูกมั้ย อิอิ
จักรยานสีเขียว ของน้องก้อย
คนที่ยกกล้วยมาจากท้ายรถ ป้าเล็ก
ส่วนคนที่หอบดอกไม้น่ะ น้องแอน
ส่วนที่หยอกน้องแอน ลงพุงนิดๆน่ะ พี่ตั้ม
คนยกน้ำอ่ะ พี่เอง
แล้วคนที่จูงหมามาด้วยน่ะ คุณแก้ว
ใช่มั้ยเอ่ย??
คิดได้ไงอ่ะ อึ้ง ทึ่ง มากๆๆเลย
พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า
มานี มานะ วีระ ชูใจ
15 สิงหาคม, 2010 - 10:28
Permalink
ถูกครับ..
มันเป็นคาแร็คเตอร์ของบุคคลที่ผมได้รับรู้สัมผัสผ่านความรู้สึก
ผ่านกิจกรรมที่เราต่อยอดร่วมกัน...ผ่านบทความต่างๆในบร็อค
มันเป็นเหมือนกับ ลายมือของนิสัย...ครับ
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ตั้ม
15 สิงหาคม, 2010 - 09:59
Permalink
มามะมานี่..ไม่ตอบนะ
แรกว่าจะเขียนตอบ แต่เขียนตั้งแต่หกโมงกว่าพิมพ์เสร็จหมดแล้ว พอบันทึกมันหลุด เซ๊งเลย เขียนใหม่สามรอบ รอบสามเขียนในเวิร์ดเลย แล้วตั้งเป็นบล็อคใหม่ภาค2 ของนาย..ไม่ว่ากันนะ หนุหๆ
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
มานี มานะ วีระ ชูใจ
15 สิงหาคม, 2010 - 10:21
Permalink
ไม่มีใครว่า...ครับ
ผมอยากจะเห็นทุกคนเขียนที่มา...ของแต่ละคนเหมือนกันนะครับ
เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่า ก่อนเข้ามาเป็นอย่างไร
และเมื่อเข้ามาแล้ว สิ่งที่เราซึมซับ แล้วนำมาปัฏบัติ ทำให้เรารู้สึกอย่างไร
ดีขึ้น หรือว่าเหมอตัว...แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครหรอกที่แย่ลง
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
pet
15 สิงหาคม, 2010 - 10:16
Permalink
ซึ้ง
ซึ้งกินใจมากค่ะ
หน้า