เที่ยวสวนธารแก้วกับพี่ปริญญา ตอนที่ 1 ว่าด้วยเมนูอาหาร

หมวดหมู่ของบล็อก: 

    หลังจากที่พี่ปริญญามาเที่ยวที่สวนธารแก้วแล้วติดอกติดใจ กลับมาชวนลูกน้องในบริษัทมาเที่ยวอีก วันนี้ก็เป็นวันที่นัดแนะกันไปเที่ยว พี่ปริญญาก็ชวนผมไปเที่ยวด้วย (มีเหรอผมจะปฏิเสธ) เก้าโมงกว่าๆ ลูกน้องพี่ปริญญามารับผมที่บ้าน เดินทางไปยังสวนธารแก้ว ไปสบทบกับอีกทีมหนึ่ง เดินทางด้วยรกกระบะ 2 คัน เดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงครับ

จอดรถแล้วเดินนิดเดียวเอง

ช่วยกันลำเลียงของ

เตรียมที่นั่ง Drink

ขอเริ่มรายการอาหารก็แล้วกันนะครับ เพราะรายการอาหารทั้งหมดท่านประธานแจ้วเป็นผู้จัดการให้
น่ากินขนาดไหนต้องติดตามต่อครับ
โต๊ะส้มตำ อยากกินต้องตำเอง

ส้มตำ ตำกันเองผมตำไม่เป็นรอกินที่เขาตำ

หัวปลีกับหยวกกล้วยต้มกะทิ

พระเอกของงานนี้ครับน้ำพริกมะอึก

ดูน้ำพริกมะอึกกันชัดๆ

ไล่รายการผักกันทีละอย่างนะครับ
ลูกเนียงนก ผมดีใจมากเลยไม่ได้กินนานแล้ว ยิ่งกว่านั้นได้เอากลับมาปลูกด้วย

ลูกนาง

ยอดหมุย

ยอดจิก

หัวปลี ผมเรียกปลีกล้วย

ยอดตาหมัด

แตงร้าน

มาดูอาหารอยางอื่นกันบ้าง

แกงไก่บ้านหยวกกล้วยเถื่อน(กล้วยป่า)

แกงจืดกระดูกหมูยอดตาหมัด

หยวกกล้วยเถื่อน ปลีกล้วยต้มกะทิ

กับแกล้ม ปลาย่าง

หอยโข่งทอด ผมไม่ได้กินหอยโข่งมานานแสนนาน ดีใจมากเลยที่ได้กิน

ท้ายสุดมาดูมาดของแม้ค้าส้มตำครับ

     ครับวันนี้ทั้งอิ่มทั้งสนุก แล้วค่อยนำบรรยากาศของความสนุกสนาน มานำเสนอในบันทึกต่อไปนะครับ วันนี้เล่นน้ำเหนื่อยมากเลย เพราะเพื่อนเล่นน้ำคือโกโก้ลูกพี่แจ้ว และเด็กๆสามสี่ขวบอีกหลายคน Laughing

 

ความเห็น

ถ้าจันทร์เจ้าไปขอหุงข้าวแล้วกันนะ ถนัดค่ะ ตอนนี้ก็ยังหุงอยู่บ้างประปรายค่ะ(หุงข้าวเตาถ่าน)เข้ากับบรรยากาศแบบนี้ด้วย แค่คิดว่าจะไปก็รู้สึกดีแล้วค่ะ

พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า 

หุงข้าวเตาถ่าน ใช้หม้อดินนะคะ มีประสบการณ์มั๊ยคะ แบ่งปันกันหน่อย หม้อธรรมดา ๆ น่ะ หุงได้ค่ะ แต่หม้อดินยังไม่เค้ย ไม่เคย

แฮะๆ ไม่เคยเหมือนกัน กลัวหม้อแตก เป็นแต่หม้อธรรมดาค่ะ(ในภาพค่ะ)

พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า 

โชว์หม้อออกอากาศเลยเหรอคะ เดี๋ยวโดนพี่ปริญญาแซวนะ เตรียมตัว...ๆๆ

 

หม้อพี่จันทร์เจ้าใหญ่อยู่นะพี่แจ้ว ดีหน่อยที่ไม่ดำ

คูณจันทร์โชว์หม้อใบโตเลยนะ หากจะไปเที่ยวสวนธารแก้วต้องพกหม้อส่วนตัวไปเองนะ เพราะที่นี่มีแต่หม้อดินและไม่ลอยน้ำ หากคุณจันทร์นำหม้อสแตนเลสไป ก็วางไว้ให้ดีๆนะ เพราะวางไว้ไม่ดี หม้อพลัดตกน้ำ หม้อมันจะลอยนะครับ

 ผมเคยหุงสมัยเป็นเด็กๆ หุงยากพอสมควร หุงแบบเช็ดน้ำ คือข้าวสุกในระดับหนึ่ง บอกไม่ได้ว่าแค่ไหน อาศัยความชำนาญในการดูเมล็ดข้าว เมื่อข้าวสุกในระยะที่ต้องการ ก็รินน้ำข้าวออก ขั้นตอนนี้ยากเพราะเป็นหม้อดิน ต้องใช้ผ้าช่วยจับเพราะร้อน เมื่อรินน้ำข้าว(ที่บ้านเรียกเล่นๆว่ากาแฟหมา แต่คนกินประจำ)ออกหมดแล้ว นำหม้อข้าวขึ้นดง(ศัพท์ที่ใช้เรียกวิธีการทำให้ข้าวสุกเต็มที่และแห้ง)บนเตาที่มีไฟอ่อนๆโดยหมุนหม้อข้าวให้ถูกความร้อนในเตารอบๆด้าน ทำอย่างนี้สักพักหนึ่ง  อาศัยความชำนาญอีกเช่นกัน เพราะถ้าดงข้าวนานเกินไปข้าวอาจไหม้ได้ และเมื่อดงเสร็จแล้วก็ต้องปล่อยไว้สักระยะหนึ่ง คนโบราญบอกว่าให้ข้าวระอุก่อนจึงจะกินได้ การหุงข้าวด้วยหม้อดินจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ในการหุงข้าวของคนโบราณ (แสดงว่าเราก็คือคนโบราณ ดักคอไว้ก่อน ก่อนที่คนอื่นจะแซว) และที่ผมเคยหุงเป็นการหุงด้วยฟืนด้วยไม่ใช่ถ่าน

ข้าวเป็นดัง อร่อยนะคะ ขูดตอนร้อย ๆ แล้วมาราดน้ำกะทิใส่เกลือนิดหน่อย+น้ำตาล กลายเป็นอาหารโปรดเลยค่ะ

ตอนเป็นเด็กแถวบ้านเวลามีงาน เขาจะทำให้เด็กๆ กินกัน จำได้ว่าหรอย หอมกะทิ เค็มๆ มันๆ

ตามรอยพ่อคิด ด้วยวิถีชีวิต ที่เพียงพอ

ธรรมชาติสุดๆเลย

ตามรอยพ่อหลวง เรียนรู้แนวคิด ใช้ชีวิตพอเพียง

หน้า