บ้านพอเพียง **ความคืบหน้า**
หมวดหมู่ของบล็อก:
นำเสนอความคืบหน้าจากที่ได้เคยโพส http://www.bansuanporpeang.com/node/996
มาดูกันครับว่าวันนี้มีความคืบหน้าเป็นอย่างไรกันบ้างครับ
อันดับแรกมาดูน้องฟองน้ำกันก่อนครับ
เธอมีลูกขนาดใหญ่มากครับ
น้ำหนักประมาณลูกละ 1.2 กิโลกรัมครับ
ใหญ่และยาวกว่าขวดแม่โขงครับ
มุมนี้มีผักกวางตุ้ง ผักกาดขาวปลี ผักบุ้ง
ดูแหว่งๆ นะครับ เพราะเป็นอาหารเกือบทุกวัน
มาดูมะเขือลนกันบ้างครับ (ภาษาบ้านผมครับ)
ดกขนาดเลยครับ
ถั่วพูกับขี้พร้า เขาและเธออยู่กันอย่างเกื้อกูลมากครับ
และต่อไปอีกไม่นานพวกเธอจะได้สมาชิกใหม่ในสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน
มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันครับ นั่นก็คือ บวบเหลี่ยม แตงร้าน ฟัก
เมื่อถึงวันที่สี่เกลอมาเจอกัน แล้วจะเสนอความคืบหน้าต่อนะครับ
- บล็อกของ พุทธบุตร
- อ่าน 10626 ครั้ง
ความเห็น
boston
18 มีนาคม, 2010 - 20:39
Permalink
เก่งจัง..
เห็นแล้วอยากปลูกฝักกินเองเลย! ไม่ต้องไปตลาดแล้ว เดินเก็บจากสวน ชื่นชมคะแต่แอบอิจฉาด้วย
...คงต้องไปหาซื้อที่ทางไว้ก่อนเพราะตอนนี้ยังไม่มีอะไร..เลย
_________________________
Our way is not soft grass, it’s a mountain path with lots of rocks. But it goes upward, forward, toward the sun. – Ruth Westheimer
ann
18 มีนาคม, 2010 - 20:52
Permalink
เห็นแล้วชื่นใจ
เห็นแล้วชื่นใจ ทำให้มีแรงในการปลูกผัก....
....ความสุขอย่างแท้จริง ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง....
พุทธบุตร
18 มีนาคม, 2010 - 21:44
Permalink
ตอบป้าเล็ก..อุบล ครับ
การที่จะปลูกผักให้สวยงาม
ประการแรก ดินครับ ดินคือส่วนที่พืชต้องใช้ในการหยั่งรากลงไปเพื่อหาอาหารและพยุงลำต้น เพราะฉะนั้นดินจึงเป็นส่วนสำคัญมากสุด ผมจึงใช้วิธีใส่ปุ๋ยให้ดินครับ โดยจะไม่ทำลายดินด้วยปุ๋ยเคมี แต่จะทำปุ๋ยขึ้นมาใช้เองครับ โดยการหมักมูลสัตว์ครับ http://www.bansuanporpeang.com/node/332
วิธีการหมัก ***เอาตามสูตรน้องโสทรเลย*** ง่าย และเร็วด้วย แต่ใช้ได้ผลดี
http://www.bansuanporpeang.com/node/111
ส่วนผสม (สูตรของมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ)
1. มูลสัตว์ 1 ส่วน
2. แกลบ หรือ หญ้าแห้ง ฟางแห้ง ทลายปาล์ม หรืออื่น 1 ส่วน
3. รำละเอียด 1 ส่วน (มากไป แพงด้วย)
4. กากน้ำตาล
5. จุลินทรีย์
ส่วนที่ผมทำ ผมใช้ส่วนผสมดังภาพ ขี้ไก่แกลบซื้อกระสอบละ 35 บาท ใช้ 3 กระสอบ เปลือกไข่ไก่ขอจากร้านขนมเค้ก เปลือกปูซื้อจากท่าศาลา รำซื้อกิโลกรัมละ 5 บาท รำไม่ต้องใส่มากก็ได้ผมใส่แค่ 5 กิโลกรัม
วิธีการทำ
1. นำวัสดุใน ข้อ 1+2+3 คลุกเคล้ากัน
2. นำกากน้ำตาล 40 ซีซี ละลายในน้ำ 10 ลิตร ใส่จุลินทรีย์ 40 ซีซี คนให้เข้ากัน
3. นำน้ำที่ได้ไปราดคลุกเคล้ากับวัสดุใน ข้อ 1
4. ทดสอบขยำดู ถ้าน้ำออกระหว่างนิ้วแสดงว่าแฉะเกิน ให้เพิ่มวัสดุ
ถ้าขยำให้เป็นก้อนแล้วปล่อยมือ ถ้าเป็นก้อนไม่แตกออกมาแสดงว่าพอดี
ถ้าปล่อยมือแล้วก้อนแตก แสดงว่ายังแห้งเกิน ให้ราดน้ำตามข้อ 2 ไปเรื่อยๆ
หมักโดยการกองเอาไว้ คลุมด้วยกระสอบป่าน หรือที่พลางแสงเรือนเพาะชำ หรือวัสดุอื่นที่ใกล้เคียง
กลับกองทุก 24 ชั่วโมง หรืออย่าให้อุณหภูมิสูงเกิน 45 องศาเซลเซียส กลับกองปุ๋ยเรื่อยไปจนกว่าจะเย็น อาจใช้เวลา 5-10 วัน
การหมักวัสดุแบบนี้ตามเกษตรกรรมคิวเซ จะเรียกว่า โบกาฉิ
ประการที่สอง ปุ๋ยน้ำครับ อันนี้ถือว่าเป็นพระเอกเลยก็ว่าได้ครับ
ผมจะรดปุ๋ยน้ำหมักปลา ทุกๆ วันศุกร์ครับ (ปลาและหัวกุ้งผมได้จากแม่ค้าขายปลาในตลาดเก็บไว้ให้ครับ)
วิธีการทำน้ำหมักปลา
ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ หมายถึง ปุ๋ยอินทรีย์ในรูปของเหลวที่ได้มาจากการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากพืชหรือสัตว์ ลักษณะสดหรือ อวบน้ำ โดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ ได้เป็นของเหลวออกมาจากพืชหรือสัตว์ ประกอบด้วยกรดอินทรีย์และฮอร์โมนหรือสารเสริมการเจริญเติบโตหลายชนิด
อุปกรณ์ส่วนผสมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
1. ปลาหรือหอยเชอรี่ 3 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน ผลไม้ 1 ส่วน น้ำ 1 ส่วน ใช้เวลาหมัก 21 วัน
2. ผักหรือผลไม้ 4 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน น้ำ 1 ส่วนใช้เวลาหมัก 7 วัน
3. ใช้สารเร่ง พด.2 1 ถุง ขนาด 50 กรัม ผลิตได้จำนวน 100 ลิตร
วิธีผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
1. ละลายสารเร่ง พด.2 ในน้ำ 30 ลิตร ผสมให้เข้ากันนาน 5 นาที
2. ผสมเศษวัสดุและกากน้ำตาลลงในถังหมักขนาด 200 ลิตรแล้วเทสารละลาย พด.2 ในข้อ 1 ผสมลงในถังหมัก
3. คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้งและตั้งในอยู่ที่ร่ม
4. ในกรณีทำปุ๋ยอินทรีย์ปลา หรือ หอยเชอรี่ให้คนหรือกวน ทุก 7 วันเพื่อระบาย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
5. ปิดฝาไม่ต้องสนิท
การพิจารณาลักษณะที่ดีทางกายภาพในระหว่างการหมักเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
1. การเจริญของจุลินทรีย์ ปรากฏเชื่อยีสต์และจุลินทรีย์ชนิดอื่นเจริญเต็มผิวหน้าของวัสดุหมักในช่วง 1-3 วันการหมัก
2. การเกิดฟองก๊าซ (CO2) มีฟองก๊าซเกิดขึ้นที่ผิวหน้าวัสดุและใต้ผิดวัสดุหมัก
3. การเกิดกลิ่นแอลกอฮอล์ ได้กลิ่นของแอลกอฮอล์ ค่อนข้างฉุนมาก
4. ความใสของสารละลาย เป็นของเหลวใสไม่ขุ่นและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม
การพิจารณาปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่เสร็จสมบูรณ์
1. มีการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ น้อยลง
2. กลิ่นแอลกอฮอล์จะลดลง
3. มีกลิ่นเปรี้ยวเพิ่มขึ้นเนื่องจากเกิดกรดอินทรีย์เพิ่มขึ้น
4. ไม่ปรากฏก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือมีน้อยมาก
5. ได้สารละลายหรือของเหลวใสไม่ขุ่น
6. การวิเคราะห์สมบัติทางเคมี ค่าความเป็นกรดและด่างหรือ pH ของปุ๋ยอินทรีย์ระหว่าง 3-4
คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
1. มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดแลคติค กรดอะซิติคและกรดฮิวมิค
2. มีฮอร์โมนหลายชนิด เช่น ออกซิเจน ไซโตไคนิน และจิบเบอร์เรลลิน
3. มีค่าเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 3-4
อัตราการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำกับพืช
ผสมปุ๋มอินทรีย์น้ำ 1 ส่วน กับน้ำ 500 ส่วน
วิธีใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
ฉีดพ่นที่ใบและลำต้น หรือรดลงดิน 10 วัน ต่อครั้ง
ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
1. เร่งการเจริญเติบโตของรากพืช
2. การขยายตัวของใบเพิ่มขึ้น และมีการยืดตัวของลำต้นมากขึ้น
3. ชักนำให้เกิดการงอกของเมล็ด
4. ส่งเสริมการออกดอกและติดผลดีขึ้น
อัตราส่วนที่ผมใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ 4 ช้อนต่อน้ำ 1 ปี๊บ (20 ลิตร) ครับ
ปุ๋ยน้ำหมักปลา จะบำรุงลำต้นและใบของพืชครับ
และผมจะฉีดพ่นน้ำหมักผลไม้ทุกๆ วันอาทิตย์ตอนเช้า การฉีดพ่นต้องฉีดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเล็กน้อยหรือตอนเช้าแต่อย่าให้แสงแดดจ้าจนเกินไป
ส่วนผสมน้ำหมักผลไม้
กล้วย มะละกอ ฟักทอง นำทั้งหมดมาสับ แล้วคลุกเคล้าด้วยกากน้ำตาล จากนั้นก็นำสาร พด.2 ผสมน้ำ 50 ลิตรในถังหมัก คนให้เข้ากันประมาณ 5 นาที เมื่อคนได้ที่แล้วก็นำผลไม้ที่คลุกเคล้าด้วยกากน้ำตาลเทลงในถังหมัก ใช้ไม้กวนให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วปิดฝา ผมหมักไว้ 30 วัน ก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่ต้องใช้ไม้กวนทุกวันตอนเช้า
ผมทำในอัตราส่วน
ผลไม้ 40 กิโลกรัม
กากน้ำตาล 10 กิโลกรัม
สาร พด.2 ผสมน้ำประมาณ 50 ลิตร
อัตราส่วนที่ผมใช้
น้ำหมัก 4 ช้อนต่น้ำ1ถังฉีด ก็ประมาณ 20 ลิตรครับ
ประการที่สาม น้ำ
น้ำ เป็นส่วนที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งครับ ทุกๆ วันตอน 6 โมงเช้าผมต้องรดน้ำผักทุกวันครับ
ประการที่สี่ น้ำหมักไล่แมลง
ในการปลูกผักทุกครั้ง สิ่งที่ต้องเตรียมในอันดับต้นๆ เหมือนกันคือน้ำหมักไล่แมลงครับ ผมถึงว่าไม่มีไม่ได้เลยครับ เพราะมีประสบการณ์ด้วยตัวเองมาแล้วครับ
ด้วยอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ตั้งแต่วันแรกว่าจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และไม่ใช้สารเคมี ในการกำจัดศัตรูพืช
ผมปลูกพืชครั้งแรก พอพืชโตเต็มที่กำลังออกดอก ทั้งถั่วนั่ง ถั่วฝักยาว มะระ พริก ปรากฏว่าเพลี้ยลงครับ ตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์ในการปลูกก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ
และด้วยประสบการณ์อันนี้เอง ผมบอกได้เลยครับว่าน้ำหมักไล่แมลงศัตรูพืช มีความสำคัญมาก
ผมจะฉีดน้ำหมักไล่แมลงทุกๆ 15 วันครับ บางทีบางครั้งก็จะฉีดน้ำส้มควันไม้ด้วย
การทำน้ำหมักไล่แมลงดูได้ที่ http://www.bansuanporpeang.com/node/1115
ประการที่ห้า การดูแลเอาใจใส่ต่อพืชที่ปลูก
เราต้องเอาใจใส่และรักผักที่ปลูกเหมือนเพื่อน เหมือนญาติ เหมือนพี่ เหมือนน้องครับผมจะเข้าไปดูในแปลงผักบ่อยมากทุกวันเลยครับ ดูตั้งแต่ต้น ใบ ดอก ผล สิ่งเหล่าน้ำเขาจะบอกเราทุกวันเลยครับว่าเขาต้องการอะไร
อย่างต้นของพืช ถ้าดูแล้วสดชื่นดีก็ไม่เป็นไร แสดงว่าเขาสมบูรณ์ดี แต่ถ้าเขาเหี่ยว หรือเฉา เท่ากับเขากำลังบอกเราว่า เขาอาจต้องการน้ำ หรืออาจจะโดนแสงแดดเผามากเกินไป เราก็ต้องแก้ให้เขา ขาดน้ำก็รดน้ำ แดดร้อนเกินก็ต้องไปหาฟางหรือวัสดุต่างๆ มาคลุมโคนต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำและที่สำคัญเพื่อป้องกันวัชพืชไปในตัวด้วย
ใบพืชก็ต้องสังเกตครับ เขาบอกเราได้ดีมากเหมือนกันว่าเขากำลังเป็นอย่างไร สมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ถ้าใบเขียวเป็นมัน ดูสวยงามแสดงว่าเขาสมบูรณ์ แต่ถ้าใบเริ่มเป็นจุดเหลืองๆ บ้างด่างๆ บ้างหรือใบหงิก อะไรต่างๆ เหล่านี้เขากำลังบอกเราว่า
1. เขาอาจกำลังขาดปุ๋ย เราก็ต้องใส่ปุ๋ยให้เขา
2. เขาอาจจะเป็นโรค หรือแมลงรบกวน เราก็ต้องพ่นน้ำหมักเพื่อไล่แมลงไล่โรคให้เขาครับ
3. ดอกพืชก็ต้องดูครับ พืชบางชนิดออกดอกดกมากแต่ไม่ติดผล เราก็ต้องช่วยเหลือเขาในการผสมเกสรให้เขาครับ
4. ผลของพืชก็ต้องดูเหมือนกันครับ ต้องสังเกต เขาบอกเราได้หลายอย่างเหมือนกัน ว่าเขาต้องการอะไร เขาต้องการปุ๋ย ต้องการน้ำ ต้องการสารไล่แมลง ฯลฯครับ
ครับผมทุกท่านชาวบ้านสวนต้องการได้พืชผักปลอดสารพิษไว้รับประทาน ก็ต้องลองทำกันดูนะครับ ได้ผลอย่างไร บอกเล่ากันถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ
เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ป้าเล็ก..อุบล
18 มีนาคม, 2010 - 21:52
Permalink
โอ้.ตั้งใจตอบ ขอบคุณมาก
ดูแลละเอียดมาก จะลองทำตาม ได้สัก 20 % ก็ยังดี แต่จะพยายาม ขอบคุณในความตั้งใจตอบ เหมือนรู้เลยว่า ป้าเล็ก อยากได้เคล็ดลับจริงๆ ขอบคุณมากค่ะ
084-167-4671
anongrat2508@hotmail.com
pomcob
19 มีนาคม, 2010 - 11:27
Permalink
ขอบคุณด้วยคนคับ
ข้อมูลละเอียดแล้วก็สมบูรณ์มากคับ
จะพยายามทำตามให้ได้ซัก ครึ่งนึงคับ
พุทธบุตร
18 มีนาคม, 2010 - 21:57
Permalink
ตอบคุณแจ้วพัทลุงครับ
บ้านพอเพียงครับ ที่ไม่ใส่สวนเพราะผมมีพื้นที่รอบบ้านเพียงนิดเดียวเองครับ ไม่สามารถทำเป็นสวนได้
ผมปลูกพืชทั้งหมดเพื่อใช้เป็นอาหารในครอบครัวครับ เหลือกินก็แบ่งญาติและเพื่อนบ้านบ้าง ถ้าเหลือมากก็ขายบ้าง
ครับไม่ได้คิดปลูกเพื่อทำการค้าครับ
แต่ปลูกทุกอย่างที่กินและกินทุกอย่างที่ปลูกครับ
ตอนนี้ที่ปลูกไปแล้วและเริ่มได้ผลบ้างแล้วก็มี
ชะอม 30 ต้น
มะเขือเปราะประมาณ 50 ต้น
มะเขือยาวประมาณ 20 ต้น
ตำลึง
บวบฟองน้ำ
บวบหอม
ถั่วฝักยาว
พริก
ถั่วพู
ฟัก
ส้มม่าว
ผักหวานบ้าน
กระเจี๊ยบเขียว
หมุย
ส้มมวง
เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
เจ้โส
19 มีนาคม, 2010 - 14:06
Permalink
อื้อ....... ฮือ
ขนาดมีที่หิด (นิด) เดียว ยังปลูกได้ค่าลุย ชอบจังเรื่องปลูกผักแจกชาวบ้านเนี้ยะ
garden_art1139@hotmail.com
ยายอิ๊ด
18 มีนาคม, 2010 - 22:02
Permalink
ชอบมาก ขอบคุณคะ
คุณพุทธบุตรอธิบายป้าเล็กละเอียดยิบ ยายอิ๊ด หยบอ่านกันนะ เพราะสนใจมาก ไม่ค่อยรู้เรื่องคะ แต่อยากเรียนรู้ และทำให้เกิดผลคะ
#แตกต่าง.แต่.ไม่แตกแยก#
สวนสุขารมย์
18 มีนาคม, 2010 - 23:42
Permalink
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะสำหรับความรู้ที่นำมาแบ่งปัน ได้ประโยชน์มากเลยค่ะ
เวลาพบกันสั้นนิดเดียว
ครองขวัญ
19 มีนาคม, 2010 - 01:13
Permalink
เอ..บ้านอยู่จังหวัดไหนคะ
เอ..บ้านอยู่จังหวัดไหนคะ เรียกทะเขือลนเหมือนกันเลย
หน้า