กินเค็ม อันตราย
จากการที่ผมเข้าโรงพยาบาล มอ. เมื่อกลางปีนี้ ได้รวบรวม เรื่องปริมาณเกลือในอาหาร จาก ฝ่ายโภชนการ ของโรงพยาบาล มาเล่าสู่กันฟังดังนี้
ปริมาณโซเดียมที่มีในเครื่องปรุงรส
เครื่องปรุงรส ปริมาณ โซเดียม(มิลลิกรัม)
น้ำปลา 1 ช้อนชา 465-600
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 960-1,420***
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ 1,150**
ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ 420-490
น้ำจิ้มไก่ 1 ช้อนโต๊ะ 202-227
ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ 220
ผงชูรส 1 ช้อนชา 492
ผงฟู 1 ช้อนชา 339
ปริมาณโซเดียมที่มีในอาหารต่างๆ
อาหาร ปริมาณ น้ำหนัก(กรัม) โซเดียม(มิลลิกรัม)
ปลาสลิดหมักเกลือ 1 ตัว 40 1,288***
เนื้อปลาทูทอด ½ ตัว(กลาง) 100 1,081**
น้ำพริกกระปิ 4 ช้อนโต๊ะ 60 1,100**
น้ำปลาหวาน 1 ช้อนโต๊ะ 10 191
เต้าหู้ยี้ 2 อัน 15 560
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ 15 275
ผักบุ้งใส่เต้าเจี้ยว 1 จาน 150 894
ปอเปี้ยะสด 1 จาน 150 562
น้ำพริกกลางดง 2 ช้อนโต๊ะ 15 170
บะหมี่สำเร็จรูป 1 ห่อ 50 977**
บะหมี่หมูแดง 1 ชาม 350 1,480***
ข้าวผัดหมู 1 จาน 295 416
ข้าวต้มหมู 1 ชาม 390 881
ก๊วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว 1 จาน 354 1,352***
บะหมี่ราดหน้าไก่ 1 ชาม 300 1,819***
ปอเปี้ยะทอด 1 จาน 60 235
ผัดผักบุ้งน้ำมันหอย 1 จาน 110 426
ปลากะพงนึ่ง 1 ชิ้น 50 110
แกงส้มผักรวม 1 ถ้วย 100 1,130
ส้มตำ 1 จาน 100 1,006**
เบคอน 1 ชิ้น 6 101
แฮม 1 ชิ้น 30 395
ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ 1 ชาม 300 1,450***
ข้าวราดปลาผัดฉ่า 1 จาน 240 1,117**
แฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้น 98 463
ข้าวโพดแผ่นอบ 15 ชิ้น 30 177
ต้องจำไว้นะครับ ว่า”ร่างกายต้องการปริมาณโซเดียม ไม่เกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม” ฉะนั้นอาหารที่มีปริมาณโซเดียมมาก ต้องลดปริมาณให้น้อยลง หรือเว้นบ้าง เช่น กินส้มตำ วันละ 2 จาน ได้รับโซเดียม 2,012 มก. เกิน
กินก๋วยเตี๋ยวหมูสับ วันละ 2 ชาม ได้รับโซเดียม 2,900 มก. เกิน
ปลาสลิดหมักเกลือ วันละ 2 ตัว ได้รับโซเดียม 2,576 มก. เกิน
บะหมี่สำเร็จรูป วันละ 2 ห่อ ได้รับโซเดียม 1,954 มก. มาก
การได้รับเกลือมากเกินเกณฑ์ นอกจากท่านจะมีโอกาสได้ล้างไตแล้ว ยังมีผลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้งสองโรคนี้ มีผลทำให้เกิดอาการของโรคอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ฉะนั้นจากตัวเลขที่นำมาให้ดู ใครที่กินอาหารที่มีเกลือ มากๆ เป็นประจำทุกๆวัน ให้เปลี่ยนพฤติกรรมการกินเสียครับ เว้นบ้าง กินให้น้อยลง กินของจืดแทน
เพื่อสุขภาพของทุกๆ คน โปรดระวัง หลีกเลี่ยง กินจืดให้มากขึ้น
- บล็อกของ นายบุญลือ
- อ่าน 8242 ครั้ง
ความเห็น
นายบุญลือ
30 พฤศจิกายน, 2010 - 12:54
Permalink
คิดว่าไม่ยาก
คุณ ปุ๊ก ครับ โรคอ้วน ลดไม่ยาก ถ้า ใจเข้มแข็ง
-อะไร ที่เป็นแหล่งแป้ง พลังงาน ไขมัน หนีไปให้ใกล
-กินของที่โภชนะน้อย แต่อิ่มท้อง (ของที่ไม่ค่อยมีคุณค่า มีกากมาก กินเท่าไร ถ่ายออกมาแทบไม่เหลือ)
นั้นแหละครับ อดใจได้หรือไม่ 5555
ชวิน
30 พฤศจิกายน, 2010 - 11:47
Permalink
โรคความดันสูง
ควรงดอาหารที่มีรสเค็ม ของทอด ของหวาน
พอเพียงเพื่อเพียงพอ
jabee_68@hotmail.co.th
บ้านสวนต้นน้ำวังทอง
30 พฤศจิกายน, 2010 - 12:08
Permalink
ผมเคยไปส่งแม่ฟอกไตที่
ขอบคุณ คุณบุญบือมากๆครับที่แบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ เป็นการย้ำเตือนพวกเราในเรื่องอาหารการกินครับ
ผมเคยไปส่งแม่ฟอกไตที่ ร.พ.เอกชนแห่งหนึ่ง ใน อ.เมืองพะเยา สังเกตุเห็นคนไข้ที่มาฟอกไตบางคนอายุยัง 30 ต้นๆ พยาบาลยังบอกว่าสถิติอายุคนไข้มีอายุน้อยมีมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กอายุ 14 ปีมีแล้วครับ ปริมาณคนไข้ที่เป็นโรคไตมีจำนวนสูงขึ้น คุณหมอบอกว่าสาเหตุหลักคือเรื่องอาหารการกินที่ทานเข้าไป ปัจจุบันเรานิยมใช้เครื่องปรุงรสสารพัดชนิดที่มีปริมาณโซเดี่ยมสูง บางอย่างไม่ได้มีความเค็มออกไปทางให้รสทางหวานด้วยซ้ำ จึงยังต้องเติมน้ำปลาเข้าไปอีก นอกจากนั้นยังมีสารพิษต่างๆที่มากับขบวนการผลิตอาหารตั้งแต่การเลี้ยง การปลูก เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า สารเร่งดอก,ใบ,ราก สารเร่งเนื้อแดง ยาปฎิชีวนะ สารเหล่านี้แม้แต่ในน้ำดิ่ม น้ำใช้ยัง มีปะปนตกค้าง ไตคนเราที่ทำหน้าที่กรองสารพวกนี้รับภาระหนัก เนื้อเืยื่อถูกทำลาย นอกจากนั้นยาต่างๆที่ทานกันเป็นประจำก้อมีผล เช่นยาแก้ไข แก้หวัด แก้ปวด บางคนเป็นหวัด ปวดหัว ตัวร้อนนิดหน่อย ก้อจะหายาพวกนี้มาทาน บางคนไปเดินตากแดด ตากฝน มาจะทานไว้ก่อนก้อมี
ผมเห็นแม่ทรมานก่อนเสียชีวติ ต้องฟอกไตอยู่เกือบ 2 ปี เป็นโรคภัยที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษและพฤติกรรมการกินอยู่ของคนไทยในปัจจุบัน สิ่งที่เราป้องกันตัวเองได้บ้าง คือการปรับพฤติกรรมการกินของเรา ลดการปรุงแต่งรสอาหารให้น้อยลงครับ
http://www.facebook.com/somkiat.chaikhom
นายบุญลือ
30 พฤศจิกายน, 2010 - 12:35
Permalink
ครับ
คุณ บ้านสวนต้นน้ำวังทอง
ณ วันนี้ เราหนีสารเคมีไม่พ้นเลย โดยเฉพาะคนที่ทำงานตามสำนักงาน ต้องกินหารร้านค้า อาหารถุงเป็นประจำ
เด็กนักเรียน เลิกเรียน หน้าโรงเรียนมีอาหารขยะ อาหารเติมสารปรุงแต่ง มากมาย กินกันทุกวัน
ดังนั้นทุกคน จึงต้องทำอาหารกินเองบ้าง (อย่าซื้ออาหารสำเร็จ ทุกมื้อ) ลดสารปรุงแต่ง กินจืดๆ เข้าไว้
หลีกเลี่ยงวัตถุดิบที่เป็นโทษให้มากเท่าที่จะทำได้
แค่นี้ก็เป็นการช่วยตัวเองขั้นต้นได้แล้ว
Tui
30 พฤศจิกายน, 2010 - 11:59
Permalink
ขอบคุณ สำหรับ ข้อมูลดีๆ ครับ
ขอบคุณ สำหรับ ข้อมูลดีๆ ครับ
เจ้โส
30 พฤศจิกายน, 2010 - 12:23
Permalink
อ. บุญลือ
ขอบคุณนะคะที่เอาช้อมูลเพื่อสุขภาพมาฝาก ใช่คะ....ควรกินให้จืดที่สุด
garden_art1139@hotmail.com
สายพิน
30 พฤศจิกายน, 2010 - 12:29
Permalink
ขอขอบคุณอาจารย์บุญลือ
เป็นข้อมูลที่ได้ประโยชน์มาก ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันโรคภัยต่อสุขภาพได้อย่างดี
กุ้งบางบัวทอง
30 พฤศจิกายน, 2010 - 13:04
Permalink
พี่บุญลือ
กุ้งเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินเค็ม ...เห็นข้อมูลอย่างนี้แล้ว..ต้องลดแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
มีความสุขกับการที่ได้ให้มากกว่าการที่ได้รับ
นายบุญลือ
30 พฤศจิกายน, 2010 - 13:19
Permalink
ครับ
คนไทย ส่วนใหญ่ขอบกินอาหารรสเค็ม หรือเค็มจัด ดังนั้นต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้ กินให้เค็มน้อยลงกว่าเดิม ทุกๆ วัน ในที่สุดก็ก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมกินเค็มได้ครับ
ถือคติ กินเพื่ออยู่ จืดก็ช่าง ให้อิ่มท้องก่อนเป็นดี
ทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายอิ๊ด
30 พฤศจิกายน, 2010 - 13:27
Permalink
รายการผู้หญิงถึงผู้หญิง
วันนี้รายการนี้ก็นำมาออกอากาศค่ะ..
#แตกต่าง.แต่.ไม่แตกแยก#
หน้า