ชีวิตพอเพียง
วันที่ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกจากงานประจำเมื่อ 6 ปีก่อน คำถามที่พรั่งพรูกันเข้ามาจากคนรู้จักคือ "คุณจะไปทำอะไร" คำตอบคือ "ผมจะไปอยู่บ้านสวน ปลูกผักปลูกหญ้ากิน" ซึ่งเป็นคำตอบที่หลายคนไม่เชื่อ ต่างคนต่างคิดไปในแนวทางของตน ส่วนมากจะคิดว่าผมไปอยู่บริษัทคู่แข่ง จนทำให้ผู้บริหารในบริษัทตัดสินใจจ้างผมให้อยู่ต่อในตำแหน่งที่ปรึกษาตลอดมาจนถึงบัดนี้
แต่สาเหตุหลักก็คือ ข้อสงสัยเล็กๆที่ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร จุดหมายที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร ผมมาคิดคำตอบของตนเองขึ้นได้ว่า "ทำไมเราถึงเกิดมา"
ลองมาศึกษาความเป็นอยู่ของคนแบบผมก่อนเกษียณดูนะครับ สำหรับคนทำงานระดับบริหารในบริษัทธุรกิจว่า เดือนๆหนึ่งเค้าทำงานเพื่ออะไร ในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเหล่านั้นในแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ประมาณเดือนละ 30,000 บาท
ค่าผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายในบ้าน ประมาณเดือนละ 15,000 บาท
ค่าอาหารกลางวัน อาหารค่ำ (งานสังสรรค์บางมื้อ) ภาษีสังคม ประมาณเดือนละ 15,000 บาท
รวมทั้งหมดคิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 60,000 สำหรับการเป็นคนทำงานสัปดาห์ละ 5 วันในเมืองหลวง ไม่นับรวมงานสังคมช่วงวันหยุดอีก เปรียบเทียบกับชีวิตความเป็นอยู่ของพ่อแม่ผมที่บ้านนอก ค่าใช้จ่ายโดยรวมในบ้าน ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท
ผมแปลกใจว่า ทำไมพวกเราจึงมาลำบากลำบนทำงานหาเงินมาเพื่อกินเพื่ออยู่แตกต่างกันไปตามสถานะทางสังคม บางคนหาเงินเพื่อประทังชีพไปวันๆ บางคนหาเงินเพื่อสนองกิเลสตัณหาของตนเอง (ผมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้) แล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน
เดิมที่ผมเคยมีความคิดถึงเรื่องการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ตั้งแต่อายุ 40 เป็นต้นมาเราสองคนตายายจึงได้เดินทางท่องเที่ยวศึกษาชีวิตผู้คนตามถิ่นต่างๆมากมาย และก็มาได้ข้อสรุปว่า
"กินเป็น อยู่เป็น เช่นเป็นคน" คือสาระของชีวิต
อย่ากินแบบเทวดา อย่าอยู่แบบเทวดา แค่นี้ก็สุขสบายแล้ว
ทุกวันนี้รายได้จากงานประจำของผมลดลงสี่เท่า แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนมาคือเวลาที่เพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่า เคยมีคนกล่าวว่า "เวลาเป็นสิ่งมีค่า เงินตราซื้อไม่ได้" แต่ผมแลกมาได้ครับ จนถึงขณะนี้ผมยังไม่คิดหารายได้จากทางอื่น ใช้เวลาว่างที่ได้คืนมาในการศึกษาปฏิบัติธรรม สร้างบุญบารมีตามโอกาสและกำลังศรัทธา เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
ในอดีตผมเคยบอกหลายคนว่า "ชีวิตเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะตายได้" ตอนนี้หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้แล้วช่วงหนึ่ง ผมขอบอกแก่ทุกท่านว่า "คนเราเลือกตายไม่ได้ แต่สามารถเลือกที่จะเกิดได้ครับ"
- บล็อกของ ลุงพี
- อ่าน 9776 ครั้ง
ความเห็น
ป้าต่าย
30 เมษายน, 2011 - 10:37
Permalink
ลุงพี
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ ป้าต่ายคิดเหมือนป้าเล็ก...แต่...ตั้งเป้าไว้ 5 ปี ขอเคลียร์สิ่งต่างๆ ที่ทำค้างคาไว้ตอนนี้เหลือเวลาอีก 4 ปี 8 เดือนแล้ว....ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว
คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก
jatupon2524
30 เมษายน, 2011 - 10:45
Permalink
ชื่นชมเช่นกัน
กำลังคิดทำแบบลุงแต่ไม่รู้ว่าคู่ชิวิตว่าไง
คอยๆก้าวคอยเดินอย่างระวังอยู่คะ...หนูอย่างเป็นแบบลุงบางคะแต่ไม่รู้เมื่อไร...
paloo
30 เมษายน, 2011 - 10:47
Permalink
คิด .... อย่างอารยะ นะนี่
ลุงพีครับ ....
ผมไม่ทราบว่า อรหันต์ คิด / เป็น / อยู่อย่างไร?
แต่ บันทึก ของลุง บ่งชี้ความคิดของอารยะ เชียวล่ะ
เกิดมาทำไม? คือคำถามของ พุทธศาสนิกโดยแท้ ... ขอบคุณ ที่เขียนบันทึกนี้ ครับ
นับถือ ... ครับ นับถือ
สายพิน
30 เมษายน, 2011 - 11:04
Permalink
คุณลุงพี
คุณลุงพี วิถีชีวิตที่เลือกได้กับเลือกไม่ได้ เชื่อว่าชีวิตเป็นไปตามแรงกรรม และความเชื่อว่าแรงกรรมปัจจุบันมีผลเยอะนะค่ะ มโนกรรม การคิด วิธีการคิด สุดท้ายเป็นเรื่องที่หันกลับมาทบทวนกันได้อย่างดีว่าเป็นเรื่องสัมมาทิกฐิด้วยยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ ส่วนตัวเองออกจากงาน กว่าจะออกก็คิดนานนะคะ หลายคนก็ว่าเสียดายทั้งความรู้ ตำแหน่งหน้าที่ (ทั้งที่ใช่วาจะมีตำแหน่งใหญ่ เป็นแต่วาทุกวันนี้งานหายากคนตกงานเยอะ) และอนาคต ออกจากงานมาใหม่ๆก็ปรับตัวกันเยอะ แต่เห็นเลยว่าสถานการณ์ทำให้รู้จักใช้เงินได้เป็นขึ้น ...เรียนรู้ชีวิตพอเพียงได้มากขึ้น ...ขอบคุณบล็อกนี้นะคะ คุณลุงพี
วิศิษฐ์
30 เมษายน, 2011 - 11:47
Permalink
ลุงพี
ถ้าอย่างนั้นผมก็โชคดีที่สุดครับ...ไม่ต้องทำงานมีเงินเดือน...มีวัดอยู่ในอำเภอดังๆอยู่ 4 วัด ทั้งหมดเป็นเจ้าอาวาส และเป็นลูกศิษฐ์ของหลวงตามหาบัว...มีวัดป่านาคำน้อย วัดป่าภูก้อน วัดป่าบ้านนาแค วัดป่าบ้านเพิ่ม...ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ มีเวลาให้ลูก ให้ครอบครัว มีเวลามากได้ปลูกผักปลูกต้นไม้ที่ตัวเองชอบได้มีเพื่อนดีๆในบ้านสวนพอเพียง...ผมโชคดีจริงๆครับ ลุงพี..และโชคดีจริงๆที่ได้มารู้จักลุงพี..ครับ..
ลุงพี
30 เมษายน, 2011 - 12:51
Permalink
คุณวิศิษฐ์
อ่านกระทู้นี้แล้วผมขนลุกซู่ (เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นเอง เวลามีปิติ) ผมเคยไปวัดป่าภูก้อน วัดป่าโนนสว่าง (ปากทางเข้าวนอุทยานแห่งชาตินายูง-น้ำโสม ผมไปเที่ยวและนอนพักแรมมาแล้ว) วัดป่าบ้านนาคำน้อยยังไม่แน่ใจว่าเคยไปมารึยัง
พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง
ป้าเก๋
30 เมษายน, 2011 - 12:26
Permalink
ชอบมากค่ะ
มาชื่นชม และรู้สึกดีที่ได้อ่านค่ะ
อัญชณา
30 เมษายน, 2011 - 12:35
Permalink
ลุงพี
ชอบวิธีการคิดการปฏิบัติของลุงพีค่ะ...ขอชื่นชมด้วยใจจริงค่ะ
ถือว่าอัญโชคดี ที่ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองมากมาย เกิดมา...ก็เห็นพ่อทำนาทำสวนเลี้ยงลูกควบคู่กับการทำงานรับราชการ...กินอยู่อย่างพอเพียงมาโดยตลอด
จารึก จันทร์เกตุ
30 เมษายน, 2011 - 12:37
Permalink
ลุงพี
ขอบคุณครับลุงพี..ที่มีข้อคิดดีๆ ผมเองก็เคยทำงานในษริษัท มีเงินเดือนมากพอสมควร ตำแหน่งผู้จัดการ (ใหญ่ใหมครับ) เวลาทำดีมีผลงานเขาก็ยกยอ แต่เมื่อไหร่ไม่มีผลงานก็โดนด่าเหมือนหมูหมา อยู่ในเมืองกรุงต้องแต่งตัวโก้ ต้องใช้แบรนด์ มีการแข่งขันกันสูงทางวัตถุ ง่ายๆโทรศัพท์นี่ต้องมีรุ่นใหม่ล่าสุด ตกรุ่นไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ผมใช้เครื่องละพันสองครับโดยไม่ต้องอายใคร เพราะผมมีบ้าน มีรถ มีทีดิน ที่ทำสวนแบบพอเพียง และมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ต้องแข่งกับใคร เท่านี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ
แต่ถ้าป่านนี้ผมยังเป็นลูกจ้างเขาอยู่ในเมืองหลวงคงจะมีแต่หนี้บัตรเครดิตเหมือนเพื่อนๆที่ทำงานด้วยกันครับทุกวันนี้พวกเขายังถอนตัวไม่ขึ้นเลย ครับ
"จะปลูกทุกอย่างที่กิน จะกินทุกอย่างที่ปลูก"
สร
10 มิถุนายน, 2011 - 15:24
Permalink
โทรศัพท์เครื่องละ 1,200 แพงไป
sorn07(แอ๊ด)gmail(ดอท)com
หน้า