ทุนการศึกษา
เมื่อครั้งข้าพเจ้า ต้องจากถิ่นมาตุภูมิ เดินทางไปพำนัก ณ ต่างแดน เพื่อศึกษาศิลปะวิทยาการ (สำนวนหนังตะลุง ... น่ะขะรับ ) ที่จริงก็ไปเข้าเรียน ปวช. นี่ละ แต่ข้าพเจ้าภูมิใจในสถานศึกษานี้ .... มาาาาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้น ในการเปลี่ยนวิถีชีวิต ของข้าพเจ้า จากหลังเท้า เป็น หน้ามือ จากผู้ที่มีผลการเรียน 50.01 % (ผ่านเกณฑ์ หวุดหวิด) ซึ่งอยู่ในอันดับ โหล่ รองโหล่ หรือ เกือบรองโหล่ เสมอมา ขณะเรียนอยู่ระดับมัธยม ให้ขึ้นมายืนอยู่ในระดับผู้เรียนที่มีผลการเรียน อันดับนำในคณะ ....
ไว้ว่าง ๆ จะเอามุมความไม่เอาไหนของข้าพเจ้า มาเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ (ไม่อายครับ ก็เรื่องจริง เพียงไม่ผ่านจอเท่านั้น) หากไม่เบื่อกันเสียก่อน ...
วันนี้ ขอเล่าเรื่องทุนการศึกษา ก่อนครับ
ครั้งเมื่อข้าพเจ้ากำลังศึกษา อยู่ในระดับ ปวช. - ปวส. ทุนการศึกษาหลัก ของข้าพเจ้า ก็รับจากคุณพ่อ แต่ละเดือน ไม่เกิน 300.- บาท ซึ่งทุนจำนวนนี้ เป็นค่าใช้จ่ายทุก ๆ หมวดงบประมาณ ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าเล่าเรียน(รวมถึงค่าเรียนพิเศษ A.U.A.ด้วย) ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าอาหาร ค่าเครื่องนุ่งห่ม และรักษาโรค (หากเจ็บป่วย) รวมทั้งค่านันทนาการด้วย (หากอยากร่วม) จากงบ ฯ แค่นี้ จึงต้องรัดเข็มขัดจนเอวแทบขาดเชียวล่ะ อาหารเช้า ข้าวต้มกุ๊ย หรือไม่ก็ข้าวยำ กลางวัน ส่วนมากก็อาหารว่าง (นั่งห้องสมุด อ่านหนังสือ) ตอนค่ำ ขนมดู หรือขนมขี้มอด ตามด้วยน้ำหลาย ๆ แก้ว ... ก็อิ่มครับ
กระบวนการหาทุนการศึกษาเสริม จึงเกิดขึ้น หากได้ทุนมาโดย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ข้าพเจ้า ทำได้ ไม่ว่า ปั่นสามล้อ ต่อยมวย ตักส้วม .... และ หนึ่งในที่มาของทุนพิเศษ คือ ขับรถเครื่องรับจ้าง ระหว่างปิดภาคเรียนปลายปี
การหาทุนโดยขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีเรื่องประทับใจ หลายเรื่อง มักเป็นเรื่องระหว่างผู้ว่าจ้าง กับผู้รับจ้าง
รถที่ข้าพเจ้าใช้ เป็นรถขนาดเล็ก ความจุเพียง 50 ซี.ซี. ซึ่งผู้ที่ใช้รถขนาดนี้ มีไม่กี่คัน ส่วนใหญ่ จะใช้รถขนาด 90 ซี.ซี. ขึ้นไป ซึ่งเขาบรรทุกผู้โดยสาร ได้ถึงเที่ยวละ 5 คน (ผู้โดยสารส่วนมากเป็นกรรมกรเหมืองแร่)
วันหนึ่ง ขณะพวกเรารวมกลุ่มรอผู้ว่าจ้าง อยู่หลังสถานีรถไฟ ชายสูงวัยคนหนึ่ง เดินตรงมาหากลุ่มเรา ... หลาย ๆ คน เริ่มเตรียมรถ ส่วนข้าพเจ้ายืนพิงรถ อยู่ในกลุ่มที่ไม่กระตือรือร้นนัก เพราะประสบการณ์ สอนว่า ลูกค้าจะเลือกรถคันใหม่ และใหญ่ก่อน
ลูกค้า เดินมาหยุดใกล้ ข้าพเจ้า แต่ ... มองข้ามไหล่ข้าพเจ้าไปที่กลุ่มเราคนหนึ่ง ที่นั่งคร่อมรถ 125 ซี.ซี. แล้วส่งคำถามตามไปว่า
“เหมืองทวด ไปไหม?”
“ไป” ... ผู้ถูกถาม ตอบสั้น ๆ
“แล้ว สู เคยล้ม ไหม?” คำถามที่สอง ถูกส่งตามไปจากคนถามคนเดิม
“เชื่อได้เลย .... ตั้งแต่รับจ้างมา ไม่เคยล้ม เลย” ตอบ พร้อมบอกคุณภาพ
ชายคนนั้นพะยักหน้า สีหน้าเฉย ๆ ลดสายตาลงมองข้าพเจ้าที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วหลุดคำถามสั้น ๆ ออกมา
“แล้ว สู ละบ่าว เคยล้มไหม?”
ข้าพเจ้า ไม่ติดใจในคำถาม ว่าเขาถามทำไม แต่ก็ตอบออกไป
“ล้มไปเมื่อวานนี่เอง ไปส่งเขาที่คลองปราบ ขากลับ(เที่ยวกลับ) หลบหลุม ลื่นรากยาง คลาน เลย”
“เหมืองทวดไปไหม?” เขาถามด้วยคำถามที่เคยถามเพื่อนข้าพเจ้ามาเมื่อกี้
ข้าพเจ้าเปลี่ยนอารมณ์ จากที่เฉย ๆ เป็น งง ๆ ... แหงะหน้าไปดูเพื่อน เห็นเพื่อนพะยักหน้า
“ไป” ตอบอย่างเลื่อนลอย จับอารมณ์ไม่ติด ก็ งง ... ครับ
“เท่าไร” เขาถามราคา
“คนเดียว 6 ถ้า สองคน 10” ข้าพเจ้าบอก ค่าโดยสาร แล้วถามกลับ “ไปกี่คน
“คนเดียว” เขาตอบ แล้วบอกต่อ “เออ ... ไปกับสูนั่นแหละ ... บ่าว ... นู้น ไม่ไป ยังไม่รู้สา (ไม่ประสา หรือ ไม่มีประสบการณ์) สู รู้สาแล้ว เพิ่งล้มมาใหม่ เมื่อวานเอง”
ข้าพเจ้า ขึ้นคร่อมรถ สตาร์ท รอเขาขึ้นนั่งเรียบร้อย ออกรถ แต่ยัง งง ๆ เขาคิดของเขาได้ไง
ถนน ที่ไปเหมืองทวด สมัยนั้น เป็นถนน ดิน ถมด้วยหิน และ ทราย จากรางแร่ เหมืองฉีด หลุม บ่อ จึงมีเยอะ บางแห่ง ก็หล่มลึก และลื่นมาก เพราะเป็นดินเหนียวสีแดง ผู้โดยสาร จึงต้องลงเดินบ่อย ยิ่งถ้าโดยสารรถยนต์ Jeep รับจ้าง ต้องช่วยเข็ญ รถเป็นช่วง ๆ ด้วย ซึ่งผู้โดยสาร ก็ยินยอมพร้อมใจ เป็นอย่างดี น่าจะเรียกว่า รถบรรทุกสัมภาระ มากกว่ารถโดยสาร
ข้าพเจ้า ขับไปได้ระยะหนึ่ง หลังจากผู้โดยสารท่านนั้นลง เดิน แล้วให้ข้าพเจ้าขับไปรอ ให้เขามานั่งต่อ กี่ครั้ง จำไม่ได้ ก็ได้ยินข้อเสนอ
“เอาพรรค์นี้ ไหม บ่าว .... เราขับเอง ให้สูนั่งท้าย ค่าจ้างเราให้สูเท่าเดิม”
“พรือ ..(ทำไม)” ข้าพเจ้าถาม งง ๆ
“ก็เราเสีย 6 บาท เดินซะมากกว่า สูได้ 6 บาท ขี่รถตลอด” เขาอธิบาย
เราเลยสับเปลี่ยนหน้าที่ กันตรงนั้น ข้าพเจ้า นั่งคิดไป ก็ขำไป
... เขา คิดของเขาได้ ไง เนียะ ...
- บล็อกของ paloo
- อ่าน 3433 ครั้ง
ความเห็น
ไอรินลดา
27 มิถุนายน, 2011 - 08:51
Permalink
ทุนการศึกษา
ใช่ค่ะ คิดได้ไง แต่ก็เป็นความคิดที่ถูกนะคะลุงพะโล้
เป็นผู้โดยสาร ต้องจ่ายเงิน และในระหว่างทางต้องลงเดิน และช่วยเข็นรถ
ส่วนคนขับ ขับอย่างเดียว ไม่ต้องเดิน ได้เงินอีกต่างหาก
ดูไปดูมา เหมือนผู้โดยสารจะลำบากซะกว่า
อ่านไป หัวเราะไปค่ะ ขำๆ ตอนเช้า จะได้มีพลังในการทำงานค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ รักษาสุขภาพทั้งคุณลุงและคุณป้าค่ะ
sothorn
27 มิถุนายน, 2011 - 09:29
Permalink
หรอยๆๆ
หลกจริง :uhuhuh:
BeeFuu
27 มิถุนายน, 2011 - 09:36
Permalink
ลุงพะโล้
หนุกดีจังค่ะ:uhuhuh:
"ความสุขของชีวิตในวันนี้ คือทำตามวิถีพอเพียงของพ่อ"
RUT2518
27 มิถุนายน, 2011 - 12:21
Permalink
ลุงพาโล
คนซ้อนได้ตัง ตลกครับ
ตั้ม
27 มิถุนายน, 2011 - 14:02
Permalink
สุดยอดเลยลุงพะโล้
ไอ้ตอนท้ายๆ..นี่คล้ายๆของผมสมัยทำงาน..คือผมขับมอไซค์ตั้งแต่เรียนชั้น มศ1.จนเด๋วนี้ก็ยังใช้อยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งจากตึกเพลินจิตเซ็นเตอร์(ชิดลม) ผมต้องรีบไปรับลูกที่ฝากเลี้ยงที่ รพ.เซนต์หลุย สาทร (daycare) รถติดบรรลัยเลยเรียกมอไซค์รับจ้าง แต่โชคร้ายเจอมอไซค์มือใหม่(เพิ่งมาขี่รับจ้างที่ กทม.) นั่งซ้อนแล้วเสียวและหวั่นว่าจะเกิดอุบัติเหตุเพราะฝีมือไม่เข้าขั้น เลยบอกเขาว่า เด๋วพี่เพิ่มให้อีก 20 บาท แต่ขอพี่เป็นคนขี่นะ น้องซ้อนแทนแล้วกัน..เค้าทำหน้างงๆแต่ก็ยอม..ตอนหลังเลยได้เป็นมอไซค์รับจ้างคู่ใจเวลาเร่งด่วนโดยผมขับเองเค้าซ้อน แต่ดีที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มแล้ว เพราะน้องมันเชื่อฝีมือ
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
หน้า