แพทย์วิถีพุทธหมอเขียวพบพระพุทธเจ้าเห็น

หมวดหมู่ของบล็อก: 

แพทย์วิถีพุทธ หมอเขียวพบพระพุทธเจ้าเห็น 


พระพุทธเจ้าเห็น


       ศาสตร์หลายๆแขนงที่นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการสาขาต่างๆค้นพบอันเป็นที่มาของเทคโนโลยีและความเจริญก้าวหน้าต่างๆในยุคปัจจุบัน   แท้ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มาก่อนหน้านี้แล้วนับพันปีครอบคลุมทุกเรื่องทั้งระดับที่ใหญ่ที่สุดอย่างจักรวาล ระดับเซลล์ จนถึงระดับเล็กที่สุดขั้นปรมาณูสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของพระพุทธองค์  ความจริงที่รู้มาจากสัพพัญญุตญาณนั้นมากมายเปรียบเหมือนใบไม้ทั้งป่าแต่ความจริงเหล่านั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อเพื่อจุดหมายของศาสนา สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกแสดงออกมาจึงเป็นเพียงแค่ใบไม้เพียงหยิบมือเดียวที่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์และนิพพาน


หมอเขียวพบ


       ขณะที่จิตใจสงบ วูบหนึ่งของความคิด ชายหนุ่มผู้อยู่ในความมืดมนนึกขึ้นได้ว่า  พระพุทธองค์ให้ความสำคัญอยู่เรื่องเดียว เรื่องเดียวที่เป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา นั่นคือวิถีแห่งความพ้นทุกข์ หนึ่งในความทุกข์นั้นคือความเจ็บป่วย เป็นเหตุบันดาลใจให้หมอเขียวหันมาศึกษาพระไตรฏกโดยการเปิดอ่านทีละหน้าค้นหาว่าในหลักธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์นั้น  มีข้อใดบ้างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เกี่ยวกับความเจ็บป่วย  หมอเขียวคาดการณ์ไม่ผิด...เขามาสะดุดกับประโยคหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ


       ในพระสูตรเล่มที่ 11 หรือสังคีติสูตร ข้อที่ 293 เขียนว่า  การเป็นผู้ทำความสบายให้กับตนเอง คือเป็นผู้มีโรคน้อย มีทุกข์น้อยประกอบไปด้วยเตโชธาตุ  (อุณหภูมิในร่างกาย) อันมีวิบากเสมอกัน ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นอย่างกลางๆ ควรแต่ความเพียร


       ร้อน เย็น คือหลักแรกที่เขายึดไว้ และเมื่อพบคำสอนเรื่อง  “ความสบาย” เพิ่มเติมใน ในกกปสูตรว่า ตัวชี้วัดสุขาพดีคือ มี "พลังชีวิต” หมายถึง สบาย เบากาย มีกำลัง ซึ่งเป็นจุดที่หายจากโรค แข็งแรง อายุยืน ก็ยิ่งทำให้หมอหนุ่มกระจ่างชัดมากกว่าเดิม


      จากสังคีติสูตา พระพุทธเจ้าเห็นว่า การปรับสมดุลร้อน-เย็น จะทำให้มีโรคน้อย มีทุกข์น้อย ซึ่งสอดคล้องกับการปรับสมดุลร้อน(หยาง) เย็น(หยิน) ตามหลักแพทย์แผนจีน การปรับสมดุลร้อนเย็นโดยการปรับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ตามหลักแพทย์แผนไทย ซึ่งมีมาตั้งแต่ดั้งเดิมคนซีกโลกเอเชียใช้วิธีการปรับสมดุลร้อนเย็นเป็นพื้นฐานในการรักษามานานแล้วและใช้ได้ผลมาหลายพันปีโดยมีตัวชี้วัดคือความสบายคือถ้าสบายขึ้นแสดงว่าปรับร้อนเย็นได้ถูกต้องแล้ว  แต่ทำไมแพทย์แผนต่างๆตามที่เขาเคยศึกษามาหลายแขนงจึงใช้ไม่ค่อยได้ผลในยุคสมัยนี้...?   


       พอหวนนึกถึง “จุดสบาย”    ก็เหมือนเห็นแสงสว่างจากปลายทางที่มืดมน  หมอเขียวเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดที่ผ่านมาการแพทย์ทุกแขนงที่เขาเคยทุ่มเทศึกษา จึงต้องพบกับทางตันเหมือนๆกัน  ชนิดที่เอาทุกวิชามามัดรวมกันยังทะลวงทางตันสุขภาพนี้ออกไม่ได้


       ที่ผ่านมาเราใช้การปรับร้อนเย็นมาตามตำราโบราณ ยึดตามตำราต่างประเทศ ที่มีภูมิอากาศไม่เหมือนกัน ซึ่งเหมาะกับยุคสมัยนั้นและเหมาะกับพื้นที่ที่เป็นต้นตำหรับของแพทย์แผนนั้นๆ เช่น


        แพทย์แผนจีน เกิดในเมืองหนาว จุดสบายของเมืองหนาว คือ อุ่นสบาย เพราะฉะนั้นแพทย์แผนจีนจีงใช้สมุนไพร ฤทธิ์ร้อนเช่น โสม งาดำ  หรือฝั่งยุโรปก็จะใช้พวกแครอต ฟักทอง กะหล่ำปลี บีทรูท ซึงให้พลังงานสูง ให้ความร้อนสูง ซึ่งรักษาโรคในบ้านเขาได้ดีเพราะกินเข้าไปตอนหนาวๆแล้วอุ่นสบาย      แต่เมืองไทยเป็นเมืองร้อนพอเรายึดตำราเหล่านี้เป็นคัมภีร์ไปกินของฤทธิ์ร้อนตามแบบเขามันเลยไม่เย็นสบาย รักษาไม่ได้ผล


         ส่วนแพทย์แผนไทย ใช้สมุนไพรฤทธ์เย็นผักบุ้ง ตำลึง บวบ ฟักแฟง  แต่ก็มีฤทธิ์ร้อนอย่างพริก ข่า ตะไคร้ เข้ามาผสมพอๆกันเพราะอากาศเมื่อก่อนไม่ร้อนมาก ซึ่งต่างกับสมัยนี้อุณหภูมโลกสูงขึ้นมลพิษมากขึ้นแต่ป่ากลับลดลงรวมถึงพฤติกรรมมนุษย์ที่มีแนวโน้ม ร้อนขึ้น ทุกวัน ตำราในสมัยก่อนจึงใช้ไม่ค่อยได้ผลแล้ว การรักษา เพื่อให้เกิดจุดเย็นสบาย จึงต้องปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นเข้ามารักษามากขึ้น


การรักษาสมัยนี้ไม่เพียงรักษาทางด้านร่างกายให้เกิดความสบายเพียงเท่านั้น ระดับความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะปัจจุบันไม่ต่างจากไฟประลัยกัลป์เผาผลาญร่างกายและจิตใจให้เสื่อมลงเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆได้มากมาย ตามหลักแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธหรือวิถีธรรมนั้น จึงใช้ธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งทุกประโยคล้วนเป็นทางดับทุกข์นั้นมาบูรณาการร่วมกับข้อดีของแพทย์ทุกๆแผนกลายมาเป็นแพทย์แผนใหม่ของโลก  นั่นคือ แพทย์วิถีพุทธ หรือแพทย์วีถีธรรม จากการทดลองของหมอเขียวพบว่าสามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่ต้นเหตุได้ดีกว่าทุกๆแผนที่หมอเขียวเองใช้รักษามาสามารถฝ่าทางตันปัญหาสุขภาพที่ค้างคาอยู่ในใจเขามาช้านาน นับว่าเป็นหลักการแพทย์แนวเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพึ่งตนเองอย่างแท้จริง ดังคำกล่าวที่ว่า  หมอที่ดีที่สุดคือการเป็นหมอรักษาตัวเอง เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ต้นเหตุอย่างแท้จริงนอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืนแล้วยังช่วยลดภาระของแพทย์แผนปัจจุบันได้เป็นอย่างดี หมอเขียวได้แนะนำวิธีดูแลรักษาสุขภาพตามหลักแพทย์วิถีพุทธ หรือวิถีธรราม ไว้อย่างละเอียดสามารถค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติมได้จากเวบหมอเขียว   www.morkeaw.net


ที่มา : เรียบเรียงมาจาก  หนังสือไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น


       โดย ทันตแพทย์สม สุจีรา และหนังสือ หมอเขียว โดย เรปณัสย์ พุ่มริ้ว 


 


ธรรมชาติบำบัด ปรับสมดุล(ร้อน-เย็น) แบบสุขภาพดีวิถีพุทธ


       คือ การดูแลสุขภาพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงตามหลักแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธ(บุญนิยม)เป็นการดูแลสุขภาพที่นำเอาจุดดีของวิทยาศาตร์สุขภาพแผบปัจจุบัน แผนไทย แผนทางเลือก และ แผนพื้นบ้านรวมถึงหลัก 8 อ.เพื่อสุขภาพที่ดีของสถาบันบุญนิยมมาบริหารจัดการองค์ความรู้ ประยุกต์ผสมผสานบูรณาการด้วยพุทธธรรมะ และ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยให้เหมาะสมและสามารถแก้ไขหรือลดปัญหาสุขภาพที่ต้นเหตุ ณ สภาพสังคมสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันซึ่งมีเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติ คือ...
       ประหยัด
       เรียบง่าย
       ได้ผลเร็ว
       แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
       พึ่งตนเองได้
       ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นเป็นหลัก


ที่มา: www.morkeaw.net

ความเห็น

ขอบอกว่าอ่านจนจบนะคะ..สำหรับตัวเองก็ยึดแนวทางนี้ ปรับสมดุลร่างกาย ร้อน-เย็น ตามธรรมะ-ชาติ...ไม่ฝืน ค่ะ ทางสายกลาง..คือ..ความจริง..พยามยามดูแลตัวเอง..ช่วยเหลือผู้อื่น..ช่วยได้แค่ไหน..ก็แค่นั้น เพราะทุกคนต้องช่วยตัวเองด้วย  ไม่ใช่รอให้คนอื่นช่วยอย่างเดียว...ทางสายนี้..คือความจริง หมายถึงหลักความพอเพียง และ หลักแห่งการมีสมดุล ทั้งร่างกายและจิตใจ...ทุกคนต้องฝึกค่ะ..ต้องอดทน..และมีความเพียร...

เมื่อไม่ฝืนธรรมชาติก็ไม่เป็นทุกข์ 


ไม่ร้อนนัก ไม่เย็นนัก เป็นอย่างกลางๆ ควรแต่ความเพียรครับ


:embarrassed:

วิถีพอเพียงคือวิถีแห่งความสุข

ชอบบทความนี้มากค่ะ  เพราะว่าทำอยู่ ไม่คิดว่า  จะมีหลักฐานการคิดแนวนี้  เพราะป้าเล็กได้จากสมาธิ จะไม่อยู่กับความทุกข์  เมื่อเจอความทุกข์  จะหาทางแก้ไขโดยเร็ว  ไม่อาคาด  ไม่เคียดแค้น  ไม่ยึดติด  ชอบความพอดี  ชอบสบายๆ  ไม่ชอบมากเรื่อง   ไม่ชอบกำหนดกฎเกณฑ์  ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  กินอยู่อย่างพอเพียง  อยู่อย่างธรรมดาๆ  ปล่อยวาง  ไม่ตามติด  ไม่จุ้จี้ 

ผู้ที่  ชอบใช้คำหยาบ  ชอบบังคับคู่ครอง  ชอบทำตาขวาง  ชอบตะคอก  มักจะมีโรคภัยเยอะ

แต่อย่ามองข้ามจุดอันตราย  คือ  ผู้ที่  ไม่ชอบระบายอะไรเลย   ทนทุกอย่างทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิตได้   อันนี้ก็โรคภัยเยอะอีกค่ะ

แสดงว่าป้าเล็กเป็นคนที่มีพลังในตัวเอง...  คือพลังชีวิต  เบากายสบายใจครับ


อย่างนี้ปลูกอะไรก็งดงาม  อยู่ใกล้ผู้ใด ผู้นั้นก็รักครับผม


:cheer3:

วิถีพอเพียงคือวิถีแห่งความสุข

น้องก็อ่านการกัวซาและดื่มน้ำย่านางค่ะของหมอเขียวค่ะ  แต่ยังไม่ได้ปฎบัติตาม  เนื่องด้วยขี้เกียจเป็นหลักค่ะ  เป็นคนที่ทำตามคนอื่นได้ทุกเรื่อง  ยกเว้นเรื่องนำของเข้าปาก  น้องทานอะไรยากมาก  การเริ่มทานอะไรที่ผิดจากที่เคยทานต้องทำใจนานมาก  จนไม่ได้เริ่มทานน้ำย่านางสักที  แต่โหวตให้กับบทความค่ะ  ดีมากเลย

ขอบคุณสำหรับคำชมครับ น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสูตรของหมอเขียวที่มีย่านางเป็นหลักผมเองก็เพิ่งเริ่มหัดทานเหมือนกัน โดยเริ่มจากการปลูกเองและคั้นเอง หากได้ทานอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะช่วงที่เกิดภาวะร้อนเกินจะเป็นผลดีต่อสุขภาพมากเลยครับ ขอเอาใจช่วยครับ


:admire:

วิถีพอเพียงคือวิถีแห่งความสุข

มีคนยืนยันหนักแน่น คงต้องลองคื่มดูบ้างแล้วค่ะ สู้ สู้ค่ะ ให้กำลังใจตัวเอง และขอบคุณมากค่ะ

กำลังอ่านเลยค่ะ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น  อ่านแล้วดีค่ะ

อ่านให้จบครับแล้วจะเข้าใจความจริงแห่งจักรวาลและจะศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นด้วยครับ


:depressed:

วิถีพอเพียงคือวิถีแห่งความสุข

สวัสดีค่ะ คุณYo - ขอบคุณค่ะที่นำสิ่งดีๆมาแบ่งปัน / การมองโลกในแง่ดี  เห็นใครได้ดีเราก็ยินดีแล้วสุขใจไปกับเขาด้วย เห็นเพื่อนมีความรักเราก็มีความสุข ทิพย์ว่าสำคัญที่สุดคือมีจิตใจที่ดี แล้วอะไรๆรอบตัวเราก็ดีตาม แม้กระทั้งการงานถ้าตั้งใจทำงานที่เรารักงานก็จะออกมาดี  แม้กระทั้งการปลูกผักถ้าเรารักจะปลูกพืชผักนั้นๆ ทิพย์เชื้อว่าพืชผักที่เราลงมือปลูกจะรับรู้และจะให้ผลผลิตที่ชืนใจกับเรา ทิพย์คิดแบบ positive ในชีวิตประจำวัน     :beg:

ชีวิตที่เรียบง่ายกับความพอใจในสิ่งที่มี

หน้า