มัจจุราชเงียบ
บันทึก เรื่อง ประสบการณ์ของผู้ป่วยเนื่องจากเส้นเลือดแตกในสมอง
สุขภาพของผมโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดีมากเมื่อเทียบกับคนวัย 73 ปีด้วยกัน เพราะผมยอมเสียเงินไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเป็นประจำทุกปีแม้จะเบิกจากทางราชการไม่ได้ เพราะตรวจที่โรงพยาบาล เอกชนค่าใช้จ่ายปีละประมาณสามพันกว่าบาท ผลการตรวจพบว่าผมมีความดันเลือดและคอเลสเตอรอลสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานติดต่อกันนานนับปี แต่ผมก็ประมาทที่ไม่ได้ให้แพทย์รักษาเพราะเห็นว่าร่างกายไม่มีอาการผิดปกติอะไร ไม่เคยปวดหัว ยังเดินเหินคล่องแคล่ว ปีนขึ้นไปตัดกิ่งไม้ได้ ปีนขึ้นไปซ่อมหลังคาบ้านได้ ขับรถไปรับและส่งหลานที่โรงเรียนได้ทุกวันอย่างปลอดภัยแม้อายุจะเจ็ดสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
เมื่อกลางปี 2545 ผมคิดว่าควรจะรักษาเรื่องความดันโลหิตสูงเสียทีเพราะอายุย่างเข้า 73 ปีแล้ว และจะต้องไปสลายต้อกระจกเพื่อเปลี่ยนเลนส์นัยน์ตาเสียใหม่ด้วย จึงไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนใหญ่ที่ทันสมัยและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่ผมเคยตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ แพทย์ก็จ่ายยาราคาแพงที่เขาเห็นว่าดีที่สุดให้ผมไปกินที่บ้านแล้วบอกว่าอีกเจ็ดวันมาตรวจใหม่ พอครบเจ็ดวันก็ไปตรวจ ก่อนเข้าพบแพทย์มีนางพยาบาลมาขอวัดความดันแล้วบอกด้วยสีหน้าวิตกว่า ความดันของลุงสูงมากนะ ต้องรีบรักษาทันที แต่เมื่อเข้าไปห้องตรวจ พอแพทย์วัดความดันเสร็จแล้วก็ยิ้มด้วยสีหน้าสดชื่นและบอกว่าความดันของลุงลดลงมาแล้วแสดงว่ายาได้ผลดี เอายาชุดเดิมไปกินอีกเจ็ดวันแล้วกลับมาตรวจใหม่ พอครบเจ็ดวันก็เหมือนเดิม คือนางพยาบาลแผนกต้อนรับขอวัดความดันก่อนเข้าพบหมอแล้วเตือนอีกว่าความดันของลุงยังสูงอยู่มากนะ จะเข้าขีดอันตรายแล้ว ลุงต้องรีบรักษากินยาลดความดันด่วน แต่พอเข้าพบแพทย์ก็เหมือนเดิม คือเมื่อแพทย์วัดความดันแล้วบอกว่ายาที่ให้ไปได้ผลดีมาก ความดันลดไปเยอะ เอายาชุดเดิมไปกินอีกเจ็ดวันแล้วมาตรวจใหม่ ผมชักไม่แน่ใจว่าเครื่องวัดของหมอคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่าหรือว่าหมอตาถั่ว แต่ไม่กล้าบอกว่า นางพยาบาลหน้าห้องของหมอเขาบอกว่าความดันสูงเข้าขั้นอันตรายแล้ว เพราะผมเกรงว่าหมอจะรู้สึกเสียหน้าเดี๋ยวไปไล่นางพยาบาลออกจากงานก็จะเป็นบาปกรรมแก่ตัวผมเปล่าๆ อีกเจ็ดวันผมไปตรวจตามนัดก็พบสภาพเดิมอีก คือพบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของนางพยาบาลคนเดิม และใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหมอคนเดิม และจ่ายยาขนานเดิมให้ไปกินอีกเจ็ดวัน ผมขอให้เปลี่ยนยาแต่หมอก็บอกว่ายาขนานนี้ดีมากเหมาะกับผมแล้วไม่ควรเปลี่ยน ผมชักสงสัยว่านี่หมอจะเลี้ยงไข้หรืออย่างไร หรือว่าหมอได้เปอร์เซ็นต์จากบริษัทขายยาจึงจ่ายยาแพง ๆ ให้ผมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ผล ผมถามว่าแล้วผมจะต้องกินยาขนานนี้ไปอีกนานเท่าใด หมอบอกว่าต้องกินยาคุมความดันไปจนตลอดชีวิต ผมเริ่มวิตกว่าผมจะต้องจ่ายค่ายาและค่าบริการทางการแพทย์รวมทั้งค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากหูฟังกับเครื่องมือวัดความดันอย่างเดียว สัปดาห์ละเกือบห้าร้อยบาท ไปจนวันตายหรืออย่างไร ผมจึงตัดสินใจไปพบกับแผนกตรวจสุขภาพ ขอให้ตรวจโตยละเอียดที่สุด ยอมเจ็บตัวถูกเจาะเลือดและถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้ตรวจอย่างละเอียดอีกสามพันบาททั้ง ๆ ที่ยังไม่ครบรอบปีที่ตรวจ ผลการตรวจอย่างละเอียด ทั้งการวิเคราะห์เลือดในห้องแลป เอกซ์เรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตลอดจนใช้อุลตร้าซาวด์ตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ ผลปรากฏว่าสุขภาพโดยทั่ว ๆ ไปยังดีมาก ไม่เป็นเบาหวาน ต่อมลูกหมากปกติคือวัดค่า PSA ได้แค่ 2.0 เท่านั้น ปอดปกติ เลือดปกติ กระดูกก็แข็งกว่าคนปกติไม่ได้เป็นโรคกระดูกพรุนเหมือนคนชราทั่ว ๆ ไป วัดความเข้มข้นของมวลกระดูก (Bone Mass Density) ได้ถึง 0.588 กรัมต่อตารางเซนติเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับ 108 เปอร์เซ็นต์ของมาตรฐานปกติของคนในวัยเดียวกัน แสดงว่ามวลกระดูกของผมหนาแน่นแข็งกว่าเกณฑ์เฉลี่ยปกติของคนวัย 73 ปี มาก แต่มีสิ่งที่ผิดปกติอยู่นิดเดียวคือ เส้นเลือดเข้าหัวใจเกือบตีบไปเส้นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นอันตราย มีก้อนเนื้องอกขนาดประมาณ 2.5 ซม. ที่ไตข้างหนึ่ง และมีติ่งเนื้อก้อนขนาดน่าเอ็นดูห้อยอยู่ที่ม้ามด้วยก้อนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงกับจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแต่อย่างใด ที่น่าวิตกคือไขมันในเลือดสูงกว่าปกติคือไขมันคอเลสตอรอล 278 ไขมันดี 65 ไขมันเลว 184 กับความดันโลหิตสูงเกินปกติไปมาก คือ 180/120 อยู่ในขั้นใกล้อันตรายเต็มทีแล้ว ทางแผนกตรวจสุขภาพจะส่งตัวผมไปรับการตรวจรักษาที่แผนกรักษาความดันทันที ผมถามว่าหมอที่จะรักษาชื่ออะไร พอเขาบอกชื่อให้ผมก็ปฏิเสธ บอกว่าเคยรักษากับหมอคนนี้แล้วให้ยามากินแล้วหลอกว่าความดันลดทั้ง ๆ ที่ความจริงความดันไม่ลด จ่ายยาราคาแพงขนานเดิมให้กินติดต่อกันมาสามสัปดาห์แล้ว หรือว่าหมอจะได้ผลประโยชน์จากบริษัทยาเป็นพิเศษ จึงจ่ายแต่ยาขนานนี้ให้ผู้ป่วยความดันสูงทุกคนกินไปจนกว่าจะตาย เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นนายทหารยศพลโท กินยาลดความดันติดต่อกันมานานกว่ายี่สิบปี ผมถามเขาว่าแล้วความดันมันลดหรือเปล่า เขาบอกว่าก็เหมือนเดิมไม่เห็นลดลงมา เขาเคยถามหมอว่ากินไปไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร หมอบอกว่ากินไปเถอะอย่างน้อยก็ไม่ให้ความดันมันสูงไปกว่าเดิม เงินทองก็ไม่ต้องเสียเพราะทางราชการจ่ายให้ทั้งหมด (เขารักษากับโรงพยาบาลของรัฐจึงเบิกได้) เพื่อนผมคนนี้เพิ่งเป็นมะเร็งตับตายไปไม่กี่เดือนมานี่เอง แต่เพื่อนผมอีกคนหนึ่งเป็นนายตำรวจยศพลตำรวจโท กินยาลดความดันมากว่ายี่สิบปีเช่นเดียวกัน เขาเล่าว่าของเขาได้ผลเพราะความดันมันลดเอาลดเอา พอเห็นว่าได้ผลเขาขี้เกียจไปโรงพยาบาลก็ซื้อยาขนานเดียวกับที่หมอสั่งจากร้านขายยามากินเองเป็นประจำ กินจนกระทั่งความดันตัวบนลดจาก 180 เรื่อยลงมาเหลือแค่ 80 มีอาการอ่อนเพลียผิดสังเกตจนหมอตกใจสั่งให้หยุดยา ถ้าความดันสูงขึ้นมาเกินระดับ 120 ถึงจะเริ่มกินใหม่ได้ คนนี้ยังไม่ตาย สองสามเดือนก่อนยังไปกินเลี้ยงเพื่อนร่วมรุ่นกันอยู่ ยังแข็งแรงดีคุยเสียงดังฟังชัดทั้ง ๆ ที่อายุเกือบ 80 ปีแล้ว แสดงว่ายาลดความดันโลหิตมันมีมากมายหลายขนาน แต่ละขนานก็เหมาะกับคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน ตอนนี้กลับมาเรื่องของผมอีกที เจ้าหน้าที่ตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลแนะนำว่า หากผมไม่ต้องการหมอคนนี้ทางแผนกตรวจสุขภาพก็จะส่งไปให้หมออีกคนหนึ่งรักษาแทน ผมก็บอกว่าผมไม่ต้องการเปลี่ยนหมอแต่ผมจะเปลี่ยนไปโรงพยาบาลอื่นดีกว่า
อย่างไรก็ดี ผมก็ไม่ได้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลอื่น คือเลิกกินยารักษาความดันไปเลย คิดว่ากินไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ประกอบกับเห็นว่าไม่มีอาการผิดปกติอะไร ไม่ปวดหัว ไม่มีความเครียด มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข กินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันไปตามปกติ ที่ชอบมากคือแกงฮังเลที่ปรุงด้วยหมูสามชั้น ไข่เจียวหมูสับ หรือเป็ดพะโล้ที่อุดมไปด้วยไขมันซึ่งผมชอบเป็นพิเศษ กินแล้วอิ่มอร่อยสุด ๆ เลย พวกผักต่าง ๆ ผมไม่ชอบแตะต้องเพราะมันจืดชืดไม่มีรสชาด
ผมจำได้ว่าวันที่ 18 9 และ 20 มีนาคม 2546 ผมกินเป็ดพะโล้เป็นอาหารเย็นวันละหนึ่งตัวทุกมื้อ คือวันที่ 18 ผมไปซื้อเป็ดพะโล้จากร้านที่มีชื่อเสียงว่าทำเป็ดพะโล้ได้วิเศษสุดในซอยเสนานิคมมาหนึ่งตัว เพราะวันนั้นไม่มีใครทำอาหารเย็นเนื่องจากภรรยาผมต้องไปทำงานตรวจบัญชี วันที่ 19 ลูกเขยคนโตไปเที่ยวนครปฐม ซื้อเป็ดพะโล้ที่มีชื่อว่าอร่อยที่สุดจากตลาดดอนหวายมาฝากอีกหนึ่งตัว วันที่ 20 ลูกเขยอีกคนกลับมาจากอเมริกามาเยี่ยมและแวะซื้อเป็ดพะโล้ชั้นเยื่ยมจากร้านเป็ดพะโล้แถว ๆ เสาชิงช้ามาฝากอีกหนึ่งตัว รวมสามวันนี่ผมกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายผมอย่างเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่หลอดเลือดแดงในตัวผมมีคราบไขมันเคลือบจนเกือบอุดตันอยู่แล้ว ผมคิดว่าหากไขมันคอเลสเตอรอลจะไปอุดตันจนหลอดเลือดตีบแน่นเลยก็ยิ่งดี จะได้สิ้นลมตายไปอย่างสงบไม่เดือดร้อนเป็นภาระแก่ลูกเมีย ที่ผมกลัวเป็นที่สุดคือการป่วยเป็นอัมพาตช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องถูกทรมานด้วยเครื่องมือช่วยชีพของแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งจะตายก็ไม่ได้ จะหายก็ไม่หาย ดังนั้นก่อนนอนทุกคืนเวลาสวดมนต์ผมก็ขอพรพระให้ผมตายอย่างสงบไม่ทนทุกข์ทรมานเหมือนพ่อแม่ของผมที่เป็นอัมพาตอยู่หลายปีก่อนตาย หรือเหมือนพี่ชายของผมที่เป็นมะเร็งที่ตับต้องถูกเจาะต่อท่อออกทางหน้าท้องระบายหนองออก รวมทั้งการถูกแยงท่อเข้าไปในคอเพื่อดูดเสมหะออกจากปอดซึ่งเจ็บปวดทุรนทุรายแสนสาหัสต้องดิ้นรนจนหมอและพยาบาลต้องกดแขนกดขาไม่ให้ดิ้นเวลาสอดท่อยางลงไปในลำคอจนถึงกระเพาะ ขออย่าให้ผมต้องตายด้วยอาการทุกข์ทรมานเช่นนั้นเลย
วันที่ 21 มีนาคม 2546 คือวันสุดท้ายแห่งการมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขของผม วันนั้นไม่มีลางบอกเหตุอะไร ตอนค่ำก็นั่งดูโทรทัศน์กับภรรยาและดูเจ้าหลานตัวเล็ก ๆ สองคนมันวิ่งเล่นไล่ปล้ำกันอย่างสนุกสนานเหมือนทุกวัน พอสามทุ่มลูกสาวกับลูกเขยพาลูกของเขากลับบ้านเขาหมดแล้ว บ้านผมก็เงียบสงัดเหมือนอยู่ในป่าช้า สามทุ่มผมก็เข้านอนตามปกติอย่างเคย ครู่เดียวก็หลับ อาจจะส่งเสียงกรนเบา ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ ประมาณตีสามปวดท้องฉี่ ตอนเดินไปเข้าห้องน้ำรู้สึกเหนื่อยผิดสังเกต มีอาการเซไปชนขอบเตียงเล็กน้อย คิดว่าคงเป็นเพราะยังงัวเงียอยู่ ฉี่เสร็จก็เดินกลับไปนอนตามปกติไม่มีอาการเซแต่อย่างใด แต่รู้สึกว่ายังฉี่ไม่สุดและรู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ นอนนึกตรึกตรองดูว่าจะลุกไปฉี่อีกทีหรีอจะรอให้สว่างเสียก่อนค่อยไปฉี่ดี นอนนึกอยู่จนถึงเวลาตีสี่จึงตัดสินใจว่าลุกขึ้นไปฉี่ให้เสร็จเสียเลยตอนนี้ดีกว่า แต่ปรากฏว่าขยับตัวไม่ได้เสียแล้วไม่ทราบว่าเกิดขึ้นตอนไหน เพราะระหว่างตีสามถึงตีสี่ผมยังไม่หลับและไม่มีการปวดศีรษะเลยมันหมดแรงไปเฉย ๆ มันจะเริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ระหว่างตีสามกับตีสี่นี่แหละ แต่แขนทั้งสองข้างยังพอมีแรงอยู่บ้าง จึงยันตัวลุกขึ้นนั่งและพยายามจะลุกขึ้นยืน พอยืนได้เข่าทั้งสองข้างก็อ่อนปวกเปียกจนตัวรูดลงไปกองกับพื้น ใจหายวูบนึกว่าเราคงเป็นอัมพาตเหมือนที่เคยกลัวอยู่ตลอดเวลาแน่แล้ว ร้องเรียกภรรยาให้ช่วยพยุงให้ผมเดินไปเข้าห้องน้ำที เพราะผมเดินไม่ได้แล้วสงสัยว่าจะเป็นอัมพาตครึ่งตัวตั้งแต่ท่อนล่างลงไป ภรรยาผมตกใจพยายามดึงตัวผมลุกขึ้นแต่ดึงไม่ไหวเพราะตัวผมหนัก 68 กิโลกรัม จึงเรียกลูกสาวอีกคนมาช่วยก็ดึงไม่ไหว เขาก็โทรศัพท์ไปที่บ้านลูกสาวคนโต เพียงครู่เดียวลูกเขยคนโตก็ขับรถมาถึงบ้าน จัดการลากผมไปฉี่ต่อในห้องน้ำจนสุด แต่ผมนั่งทรงตัวไม่ได้จะตกจากโถส้วมตลอดเวลา เขาต้องจับตัวผมไว้จึงนั่งได้ ภรรยาผมกับลูกเขยปรึกษากันว่าจะส่งไปโรงพยาบาลไหนดี เพราะมีโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลนัก 3 แห่งด้วยกัน เรื่องโรงพยาบาลของรัฐเช่นจุฬา รามา หรือศิริราชก็อยู่ไกลเกินไป กว่าจะนำตัวผมไปถึงผมคงสิ้นใจตายเสียก่อน เขาปรึกษากันอยู่นานพอสมควร อาการผมก็ทรุดลงไปเรื่อยๆ ตอนนั้นผมคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะเส้นเลือดในสมองตีบ เลือดคงขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่พอ ผมคิดว่าถ้าไปให้หมอรีบฉีดยาขยายหลอดเลือดได้ทันก่อนที่สมองส่วนที่ขาดเลือดจะตายสนิทผมคงหาย จึงบอกว่าจะไปโรงพยาบาลไหนก็รีบไปเสียขณะที่ผมยังพูดได้อยู่ ผมเกรงว่าอีกสักครู่ผมคงจะหมดสติพูดไม่ได้ ลูกเขยก็จับตัวผมเหวี่ยงขึ้นไปขี่คอเขา สองแขนรวบขาผมไว้แล้วก็ค่อยๆ ก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างทุลักทุเลลงไปที่ชั้นล่าง จับตัวผมยัดเข้าไปในรถเก๋งที่บ้าน แล้วขับไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้านทันที เพียงไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว ขณะนั้นร่างกายครึ่งซีกซ้ายของผมเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว
เมื่อรถจอดที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน มีพนักงานเปลเปิดประตูรถยื่นหน้าเข้ามาถามว่าเป็นอะไรมาหรือครับ แล้วก็ตะโกนเรียกเพื่อน ๆ ให้เอาเปลมาด่วน เขาช่วยกันลากผมออกจากรถลงนอนเปลล้อเข็น วิ่งเข้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน มีแพทย์เวรและพยาบาลวิ่งตามเข้ามาช่วยเป็นแถว เขาจัดการให้น้ำเกลือกับเอาท่อ Oxygen มาทิ่มเข้าในรูจมูก ต่อจากนั้นมีเสียงสั่งว่ารีบไปทำ CT scanด่วน เขาลากเตียงเข็นของผมวิ่งลัดเลาะไปมาจนถึงห้องใหญ่ห้องหนึ่ง มีอุปกรณ์การแพทย์มากมายครบครัน ตรงกลางห้องมีกล่องโลหะกลมยาวรูปทรงกระบอกวางอยู่ในแนวนอนมีเตียงยื่นออกมาจากกล่องโลหะ เขาจับตัวผมขึ้นไปวางบนเตียง แล้วกดปุ่มเหมือนในหนังวิทยาศาสตร์ เตียงก็ไหลเลื่อนพาตัวผมเข้าไปในกล่อง เหมือนเข้าไปในอุโมงค์กลม ๆ แคบ ๆ คนที่กลัวความแคบคงเข้าไปไม่ได้ เตียงมันเลื่อนพาตัวผมเข้าไปแค่คอก็หยุดเลื่อน ผมมองสำรวจไปรอบ ๆ ตัว พบว่าส่วนปลายอุโมงค์ตรงหัวของผมเป็นร่องโหว่เป็นวงรอบ มีแสงไฟสว่างเรื่อ ๆ อยู่ในร่องด้วย สักครู่หนึ่งมีเสียงเครื่องยนต์ครางหึ่ง ๆ แล้วอุปกรณ์ภายในร่องโหว่ที่ว่านี่ก็เริ่มหมุนวนไปรอบ ๆ หัวของผม เพื่อทำการ Scan มันสมองอันค่อนข้างจะฉลาดปราดเปรื่องพอสมควรที่อยู่ภายในหัวกะโหลก ใช้เวลาครู่เดียวก็เสร็จ เขาเอาผมออกจากเครื่องแล้วก็พาไปเก็บไว้ที่ห้อง ไอ ซี ยู
ห้อง ไอ ซี ยู ที่ผมได้เข้าไปนอนเป็นห้องโถงกว้างพอสมควร มีเตียงอยู่แปดเตียง ด้านหนึ่งของห้องกั้นเป็นห้องกระจก มีนางพยาบาลนั่งทำงานอยู่เจ็ดแปดคน ผมได้นอนเตียงที่สอง เตียงแรกมีคนไข้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผมนอนส่งเสียงครางจ๋อย ๆ เล่นแก้เซ็งอยู่ ผมนอนอยู่สักครู่มีพยาบาลมาบอกว่าตอนนี้ยังรอผลการล้างฟิล์มเอ๊กซเรย์อยู่ อีกครู่หนึ่งมีนางพยาบาลสองคนเข้ามารูดม่านปิดรอบ ๆ เตียง แล้วบอกว่าจะขอเช็ดตัว พูดเสร็จแกก็ถอดเสื้อกับกางเกงของผมออกเหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน ไอ้ผมตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีประสบการณ์เปลือยกายต่อหน้าหญิงใดนอกจากกับเมียของผม อ่างอาบน้ำตามสถานอาบอบนวดก็ไม่เคยไปรับบริการเลยในชีวิต ดังนั้นจึงรู้สึกเขินเป็นอย่างยิ่ง เขาช่วยกันเอาสบู่น้ำมาละเลงตามแขนขาและลำตัวของผม แล้วก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำ เปียก ๆ มาถู เขาเช็ดถูจนร่างกายสะอาดหมดจดราวกับอาบน้ำให้เจ้าสาวในวันวิวาห์เลยทีเดียว ในช่วงนี้เสียงครางอ๋อย ๆ ของผู้เฒ่าที่เตียงข้าง ๆ ผมเงียบไปแล้ว พอนางพยาบาลสองคนเช็ดตัวเสร็จออกไปแล้วก็มีเข้ามาใหม่อีกสองคน บอกว่าจะขอใส่ท่อสวนปัสสาวะ ทนเจ็บเอาหน่อยนะ ผมไม่เคยถูกสวนท่อปัสสาวะมาก่อนคิดว่ามันคงเจ็บน่าดู ต้องทำใจอดทนไว้ ต่อมาพยาบาลก็เอาสายท่ออะไรเล็ก ๆ แยงเข้าไปในรูปัสสาวะ มันไม่เจ็บเท่าที่คิด เพียงแต่รู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยเท่านั้น ครู่หนึ่งเขาบอกว่าใส่ท่อสวนเสร็จแล้วต่อไปลุงไม่ต้องกลั้นฉี่ มันจะไหลซึมออกมาเองตลอดเวลาจะไม่มีอาการปวดปัสสาวะอีกต่อไปจนกว่าจะดึงท่อสวนออก ไม่นานนักก็มีบุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้หนักอีกคนหนึ่งเข้ามานอนเตียงที่สาม ซึ่งอยู่ถัดจากเตียงผม เป็นหญิงชรา ทราบภายหลังว่าอายุ 96 ปี ป่วยเป็นอะไรผมก็ไม่ทราบ พอขึ้นเตียงเสร็จก็มีพยาบาลเข้ามารูดม่านปิดรอบเตียงแล้วลงมือเช็ดตัวทำความสะอาดเหมือนที่ทำกับผม ต่อมามีเสียงพูดว่าขอสวนปัสสาวะหน่อยนะคุณยาย ต่อจากนั้นได้ยินเสียงคุณยายดิ้นและร้องว่า โอ๊ย เจ็บ พอแล้ว พอแล้ว เสียงพยาบาลพูดว่าทนเอาหน่อยคุณยาย เดี๋ยวก็เสร็จ อย่าดิ้น สวนไม่เข้า ได้ยินเสียงแม่เฒ่านั่นดิ้นขลุกขลัก เสียงพยาบาลเรียกเพื่อนเข้ามาอีกสองคนให้ช่วยกันกดขาคุณยายไว้คนละข้าง เสียงคุณยายตะโกนด่าได้ยินทั่วห้อง ไอ ซี ยู ว่า เจ็บโว้ย บอกว่าเจ็บ มาคราวก่อนฉันจ่ายไปตั้งเจ็ดหมื่นแล้วนะยะ เบา ๆ มือหน่อยไม่ได้หรือ จะเอากันให้ตายคาเตียงกันเลยหรือไง ผมนอนฟังด้วยความสยดสยอง ไม่เข้าใจว่าการสวนท่อปัสสาวะผู้หญิงทำไมมันถึงยากเย็นอย่างนี้ ทำไมของผมถึงสวนได้ง่ายและไม่เจ็บเลย นอนฟังเสียงคุณยายแกโวยวายอยู่ครู่หนึ่ง ผลที่สุดแกก็ตะโกนขึ้นอย่างไม่เกรงใจใครว่า ออกแล้ว ออกแล้ว และเสียงพยาบาลพูดว่าสวนเสร็จแล้ว ต่อไปนี้คุณยายไม่ต้องอั้นฉี่อีกแล้วมันจะไหลออกมาเองทางท่อสวน ผมเลยเดาเอาเองว่าคุณยายแกอาจจะเป็นนิ่วอุดตันในท่อปัสสาวะก็ได้ จึงทำให้สวนไม่เข้าเหตุการณ์ก็สงบเรียบร้อยลงได้ เสียงคุณยายถอนใจอย่างโล่งอกตามมาด้วยเสียงกรนครอก ๆ อย่างเป็นสุข หลังจากนั้นก็มีคนไข้หนักถูกเข็นมาส่งในห้อง ไอ ซี ยู อีกหลายคนจนเต็มทุกเตียง นอนหมดสติมาทั้งนั้น ส่วนมากคงเป็นผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ก่อนรุ่งสางมีแพทย์หญิงคนหนึ่งเข้ามาตรวจอาการของผม บอกว่าผลการตรวจด้วยเครื่อง
CT SCAN พบว่าผมมีเส้นเลือดแตกในสมองซีกขวา มีเลือดออกมาเบียดเนื้อสมอง ทำให้มันสมองบวม ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ต้องรอดูอาการต่อไปก่อนว่าควรจะผ่าเปิดกระโหลกเพื่อดูดเลือดออกและซ่อมเส้นเลือดที่แตกหรือไม่ แต่เส้นเลือดใหญ่ไม่ได้แตก ถ้าแตกก็คงหมดสติและสิ้นใจไปแล้ว นับว่าโชคยังดี ผมบอกหมอว่านับว่าโชคร้ายมากกว่า เพราะผมอยากให้เส้นเลือดใหญ่แตกจะได้ตายไปเลย ไม่ต้องกลายเป็นคนพิการช่วยตัวเองไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้บุตรภรรยาไปจนตลอดชีวิต หมอเอาไฟฉายส่องเข้าไปในดวงตาของผม จับชีพจร วัดความดัน ให้ขยับแขนขยับขา ผมขยับแขนขาข้างขวาได้ถนัดเป็นปกติ แต่ข้างซ้ายยกแขนยกขาไม่ขึ้น ทำได้เพียงกระดิกนิ้วมือและกระดกข้อเท้าได้เท่านั้น หมอถามว่ามีปัญหาในการกลืนน้ำและอาหารหรือไม่ มีปัญหาในการพูดหรือไม่ ผมก็บอกว่าไม่มีปัญหา จะให้พูดประโยคยาว ๆ ก็ได้ หมอฟังเสียงลมหายใจจากปอดแล้วบอกว่าปอดแข็งแรงมากแสดงว่าเป็นคนไม่เคยสูบบุหรี่เลย ถ้าเป็นคนติดบุหรี่จะมีเสมหะค้างอยู่ในปอดมากจนต้องแหย่ท่อเข้าไปดูดเสมหะออกจากปอดเสียก่อน หมอบอกว่าโชคดีที่ผมไม่ติดบุหรี่และไม่เป็นเบาหวาน ทำให้การรักษาสะดวกขึ้น ระยะนี้ให้ผมนอนในห้อง ไอ ซี ยู ไปก่อนเพื่อรอดูอาการว่าจะต้องผ่าตัดสมองหรือไม่ ตอนสายวันนี้จะมีหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดสมองมาตรวจอีกคนหนึ่ง
ตอนสายก็มีนายแพทย์ทหารอากาศหนุ่มรูปหล่อยศนาวาอากาศเอก (เป็นยศเมื่อเจ็ดปีก่อน ปัจจุบันเป็นนายพลอากาศตรีไปแล้ว) จากโรงพยาบาลภูมิพล เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมประสาท ซึ่งเรียนจบแพทย์รุ่นก่อนน้องเมียผม และน้องเมียผมโทรศัพท์ไปตามให้มาช่วยตรวจหรือผ่าสมองให้ด้วยถ้าจำเป็น เขามาดูอาการของผม ดูแล้วบอกว่าเนื่องจากยังไม่ทราบแน่ว่าเลือดที่ไหลออกจากหลอดเลือดที่แตกไปเบียดเนื้อสมองของผมจนกลายเป็นอัมพาตมันหยุดไหลแล้วหรือยัง เพราะในฟิลม์เอกซเรย์เห็นเป็นก้อนสีดำ ๆ เบียดเนื้อสมองอยู่ หากเลือดยังไม่หยุดก็จำเป็นต้องผ่าสมองเพื่อดูดเอาก้อนเลือดออกและซ่อมหลอดเลือดที่แตก ขอให้ผมนอนรอดูอาการอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู ต่อไปก่อน ว่าแล้วหมอก็กลับไป ร.พ.ภูมิพล ส่วนทางโรงพยาบาลเมโยที่ผมรักษาตัวอยู่ก็คงเตรียมการผ่าตัดไว้ให้พร้อม พอหมอทหารอากาศรูปหล่อกลับผมก็เคลิ้มหลับไป ตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสางเห็นภรรยาผมยังนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงในห้อง ไอ ซี ยู ด้วยความห่วงใย ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน มีเจ้าหลานชายคนโตอายุ 9 ขวบยืนน้ำตาซึมอยู่ข้าง ๆ แถมยังมีลูกสาวอีกสองคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงนั่งเฝ้าอยู่ด้วย พอเห็นหน้าลูกหลานและเมียรักมันให้รู้สึกเศร้าใจและหดหู่เหลือกำลัง น้ำตาเจ้ากรรมมันดันไหลพรั่งพรูออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้ ผมสะอึกสะอื้นอยู่พักใหญ่ คิดว่าเราอยู่กันอย่างมีความสุขนานกว่าสี่สิบปีก็ต้องมาตายจากกันเสียแล้ว มันก็แปลกที่ตอนนั้นคนที่ผมคิดว่าผู้ที่จะตายจากผมไปคือครอบครัวของผมทุกคน ไม่ได้คิดตัวผมเองอาจเป็นคนที่ต้องตายจากเขาไป เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงอะไรเนื่องจากไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ส่วนใดของร่างกายเลย เพียงแต่เป็นอัมพาตไปส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่พอนึกขึ้นได้ว่าลูกเมียผมยังแข็งแรงดีทุกคน ตัวผมเองต่างหากที่อาจจะต้องตาย ความหดหู่ก็สร่างซาลงเพราะตอนนั้นผมก็อยากตายอยู่แล้ว
พยาบาลในห้อง ไอ ซี ยู เขาเอาแถบวัดความดันโลหิตมาพันต้นแขนผมไว้ตลอดเวลา บางทีก็ย้ายไปพันที่น่อง และเปิดเครื่องวัดความดันทุก ๆ ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ตัวเลขบอกความดันจะไปปรากฏบนจอภาพซึ่งเขาจะจดบันทึกไว้และมีพยาบาลมาวัดอุณหภูมิทุกชั่วโมง ปรากฏว่าสบายดีไม่มีไข้แต่ความดันขึ้นสูงถึง 203 รุ่งขึ้นนายแพทย์ทหารอากาศก็มาเยี่ยมดูอาการอีก แล้วบอกว่าอาการยังทรงตัวอยู่ ถ้ารุ่งขึ้นอีกวันยังทรงตัวเช่นนี้ก็แสดงว่าเลือดหยุดไหลและไม่ต้องผ่าสมองแล้ว ผมถามว่าหมอรู้ได้อย่างไรว่าเลือดหยุดไหลเพราะหมอไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ทำ Scan ตรวจซ้ำอีก หมอบอกว่าหากยังตกเลือดอยู่ เลือดที่ออกมาจะแห้งเป็นก้อนโตขึ้นและเบียดเนื้อสมองมากขึ้นทำให้คนไข้ซึมลง พูดจาไม่รู้เรื่อง หมดสติ แต่สำหรับผมยังคงพูดเสียงดังฟังชัดเหมือนเดิม ไม่มีอาการเซื่องซึมแต่อย่างใด จึงยกเลิกการผ่าสมองได้ พรุ่งนี้คงให้ออกจากห้อง ไอ ซี ยู ได้แล้ว
ผมบอกหมอว่าผมคิดว่าอาการของผมคงทรุดลงทุกที เพราะเมื่อมาถึงโรงพยาบาลใหม่ ๆ ผมยังกระดิกข้อเท้าซ้าย และยกแขนซ้ายได้ แต่เดี๋ยวนี้ผมยกแขนซ้ายไม่ขึ้น และกระดิกข้อเท้าไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงแค่กระดิกนิ้วมือและนิ้วเท้าได้บ้างเท่านั้น หมอบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา การที่ตอนแรกแขนขาข้างซ้ายยังพอทำงานได้บางส่วนเพราะเส้นใยประสาทในสมองยังพอรับคำสั่งจากสมองได้บ้าง แต่นานไปเมื่อสมองได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง หรือขาดเลือดไปเลย เพราะเลือดไปรั่วออกทางรอยแตกเสียหมด สมองส่วนนั้นก็หยุดสั่งการ ร่างกายส่วนที่อยู่ใต้การควบคุมของสมองส่วนนั้นก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป ผมถามว่าเหตุใดเหลอดเลือดในสมองของผมจึงแตกได้ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เครียด ไม่ปวดหัวเลย นอนอยู่ดี ๆ มันก็หมดแรงไปเองโดยไม่รู้ตัว หมออธิบายว่าคนเราเมื่อแก่ตัวลงและไม่ได้ควบคุมเรื่องอาหารการกิน หลอดเลือดก็แข็งเปราะเพราะมีแคลเซียมไปเกาะเป็นคราบอยู่ที่ผนังหลอดเลือดสะสมอยู่นานนับสิบปี จึงไม่อ่อนนุ่มเหมือนตอนเป็นหนุ่มสาว นอกนั้นยังมีคราบไขมันที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดเข้าไปเกาะผนังหลอดเลือดจนตีบแคบลงอีก ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักบีบตัวแรงขึ้นเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงได้ทั่วร่างกาย ความดันโลหิตจึงสูงขึ้น ยิ่งรูหลอดเลือดตีบมากขึ้น หัวใจก็ต้องบีบตัวให้แรงขึ้นเพื่อเพิ่มความดันเลือดให้สูงขึ้นไปอีก ผลที่สุดหลอดเลือดบางจุดที่เปราะมากก็จะปริแตกออก แต่ถ้ายังหนุ่มสาวและหลอดเลือดยังอ่อนนุ่มอยู่ก็จะสามารถหยุ่นตัวให้เลือดพอจะผ่านไปได้บ้างโดยไม่แตก เว้นแต่จะถูกคราบไขมันอุดตันไปเลย
หลอดเลือดที่มีโอกาสถูกอุดตันหรือแตกง่ายที่สุด คือหลอดเลือดในสมองและหลอดเลือดใหญ่ตอนจะเข้าสู่หัวใจ หากแตกหรือตีบตันถ้าไม่ตายก็เป็นอัมพาตทุกราย
ผมอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู ได้สามวันหมอบอกว่าเลือดหยุดไหลเพราะมีลิ่มเลือดไปอุดรอยที่ปริแตกได้เองแล้ว จึงไม่ต้องผ่าสมอง ส่วนก้อนเลือดที่ตกค้างอยู่บนเนื้อสมองก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น นาน ๆ ไปมันก็จะค่อย ๆ ถูกกำจัดหมดไปเอง อาการของผมปลอดภัยเป็นปกติ (คือเป็นอัมพาตครึ่งซีกไม่เพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้อีกแล้ว) ให้ย้ายไปอยู่ห้องคนไข้พิเศษ ค่าห้องคืนละ 1,300 บาท เพื่อรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดต่อไปได้ ขณะนั้นร่างกายซีกซ้ายของผมหยุดการเคลื่อนไหวหมดแล้ว ผมใช้มือขวาจับแขนซ้ายยกขึ้นดู มันหนักเหลือเกิน คงเป็นเพราะเซลล์ต่าง ๆ ของกล้ามเนื้อที่เคยเกาะเกี่ยวช่วยพยุงกันอยู่มันไม่ช่วยเหลือกันแล้ว มันคงสลบไศลสิ้นพลังไปหมด พอปล่อยมือแขนซ้ายก็ร่วงผล็อยลงมาเหมือนท่อนไม้ ลูก ๆ ลองจับขาซ้ายยกขึ้นปรากฏว่าหนักมาก เมื่อปล่อยมือก็ร่วงตกลงมาเหมือนไม่มีกล้ามเนื้อไม่มีเอ็นยึดรั้งไว้เลย ผมนอนมองแขนซ้ายและขาซ้ายด้วยความเศร้าใจ มันตายสนิทไปแล้ว จะลุกขึ้นนั่งก็ไม่ได้ พลิกตัวก็ไม่ได้ ผมคงจะต้องเป็นง่อยไปตลอดชีวิตแน่ จะต้องมีคนคอยป้อนอาหาร ป้อนน้ำ เช็ดอุจจาระ ปัสสาวะ ไปจนกว่าจะตาย ผมคงทำความลำบากยุ่งยากให้แก่บุตรและภรรยาเป็นอย่างยิ่ง ป่วยอย่างนี้ตายเสียเลยจะดีกว่า ถ้าหากตายได้ผู้ที่เหลืออยู่อาจโศกเศร้าเพียงไม่กี่วันก็เลือนหาย ปัญหามีแต่เพียงว่าเมื่อไรถึงจะตายได้ตามใจนึก เพราะแม้จะขยับตัวก็ยังทำไม่ได้อยู่แล้ว
ผมเคยอ่านหนังสือของศาสตราจารย์ นายแพทย์เกษียร ภังคานนท์ ซึ่งท่านเป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดแตกในสมองซีกขวาเหมือนกัน ท่านรักษาตัวมาแล้วสองปีก็ยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ ตอนนั้นท่านอายุหกสิบปีเศษแล้ว มีตอนหนึ่งท่านเขียนไว้ว่า หากผู้ป่วยอายุต่ำกว่าหกสิบปีจะมีโอกาสฟื้นตัวจากอาการอัมพาตหายเป็นปกติได้มาก แต่หากเป็นเมื่ออายุเกินหกสิบปีไปแล้วแทบไม่มีโอกาสหาย อาจต้องเป็นอัมพาตไปจนตลอดชีวิต อ่านแล้วรู้สึกแทบหมดหวัง เพราะเส้นเลือดผมแตกในสมองเมื่ออายุ 73 ปีคงมีหวังเป็นง่อยไปจนตายแน่นอน แต่แล้วก็ราวกับว่ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น อาการของผมกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแพทย์เจ้าของไข้ของผมยังงงว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ไม่เคยเห็นคนไข้อายุมากขนาดนี้ที่ร่างกายซีกซ้ายเป็นอัมพาตนิ่งสนิทไปแล้วทั้งซีกสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว คนไขับางคนที่หมอทำกายภาพบำบัดให้ตั้งหกปีแล้วยังไม่สามารถกระดิกแขนกระดิกขาได้เลย สำหรับผมนั้นภายในสัปดาห์แรกผมก็กระดิกนิ้วมือได้ สัปดาห์ที่สามผมก็นั่งทรงตัวได้ สัปดาห์ที่สี่ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงลงมาหัดยืนทรงตัวและหัดเดินได้โดยใช้ไม้เท้าพยุงตัว อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาผมก็สามารถเดินเตาะแตะเหมือนเด็กหัดเดินเล่นในบ้านได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า เพียงแค่หกล้มก้นกระแทกพื้นสามครั้ง โดยกระดูกสะโพกไม่แตกหรือหักแต่ประการใดเพราะกระดูกผมแข็งมากดังที่เคยเล่าไว้แล้ว ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังว่าผมรักษาตัวอย่างไร เพราะบางคนตั้งสามปียังลุกขึ้นนั่งไม่ได้
อีกไม่กี่วันต่อมาหมอได้แนะนำด้วยความหวังดีว่าควรจะกลับบ้านได้แล้ว เพราะสุขภาพดีเป็นปกติไม่มีไข้ จะได้ประหยัดเงินค่าห้องได้วันละ 1,300 บาท แล้วมาทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลที่หลังก็ได้ ค่าบริการครั้งละ 200 บาทเท่านั้น ผมจึงต้องออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน แต่ผมไม่สามารถเดินทางไปรับการทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลเนื่องจากเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ นอกจากจะใส่เปลหามไป แล้วผมจะหาใครมาช่วยหามไปโรงพยาบาล ผมจึงต้องขอให้ทางโรงพยาบาลส่งนักกายภาพบำบัดไปทำให้ที่บ้านของผมทุกวัน วันละหนึ่งชั่วโมง เขาคิดค่าบริการเดือนละ 10,000 บาท เมื่อกลับมารักษาตัวที่บ้านจึงต้องมีค่าใช้จ่ายอีกมากมาย คือนอกจากต้องปรับปรุงห้องรับแขกให้เป็นห้องพยาบาลและ ต้องจ้างพนักงานกายภาพบำบัดจากโรงพยาบาลแล้ว ยังต้องจ้างพยาบาลพิเศษจากศูนย์ดูแลคนชรามาเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมงอีกเดือนละ 6,000 บาท เพราะผมช่วยตัวเองไม่ได้เลย และไม่มีคนเฝ้าดูแลเพราะต้องไปทำงานกันหมด รวมแล้วป่วยคราวนี้ครอบครัวผมต้องเอาเงินที่สะสมไว้ระหว่างรับราชการตลอดชีวิตมาใช้จ่ายนับแสน ๆ บาท แทบหมดตัว นี่เป็นเพราะความประมาทของผมแท้ ๆ ที่ไม่ควบคุมเรื่องอาหาร ไม่รักษาความดันเลือดให้อยู่ในสภาพปกติได้
ผมมีข้อมูลที่ขอให้ทุกท่านอ่าน โปรดอ่านให้ละเอียดเพื่อสุขภาพของท่านเอง เป็นข้อมูลจากนิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 290 หน้า 6 ประจำเดือนมิถุนายน 2546 ดังนี้
“นพ. พิชาญ ศรีอรุณ แพทย์อายุรกรรมด้านสมอง กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดของโรคระบบประสาทวิทยา เป็นสาเหตุการตายอันดับสาม และความพิการ มีผู้ป่วยอัมพาตปีละ 150,000 คน ค่าใช้จ่ายในการดูแลประมาณ 100,00 บาทต่อคน ถ้าหากดูแลสุขภาพ ดูแลความดันเลือดไม่ให้สูง งดอาหารเค็ม จะป้องกันผู้ป่วยโรคนี้ได้ปีละ 50,000 คน สามารถประหยัดเงินของประเทศได้ 5,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถป้องกันได้ และถ้ารีบรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการอาจช่วยชีวิตและลดความพิการได้ ดังนั้นหากมีอาการสับสน พูดไม่ออก หรือไม่เข้าใจคำพูด พูดไม่ชัดทันทีทันใด ปากเบี้ยว เกิดอาการชา อ่อนแรงของแขนหรือขาทันทีทันใด โดยเฉพาะซีกหนึ่งซีกใดของร่างกายหรือใบหน้า ตาข้างใดข้างหนึ่งมัว มองไม่เห็นฉับพลัน เห็นภาพซ้อนหรือเกิดอาการคล้ายม่านบังตา ปวดศีรษะอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีอาการซึมลง งุนงง เวียนศีรษะ เสียการทรงตัว ต้องรีบพบแพทย์ภายในสามชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองที่แพทย์สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมองได้ ซึ่งยานี้มีใช้ในโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศไทยแล้ว”
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่ผมลอกมาจากนิตยสารดังกล่าว ใครมีอาการอย่างนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว หากไม่มีเงินก็น่าจะลองใช้บริการบัตรทองสามสิบบาทของกระทรวงสาธารณสุขดู
เรื่องอัมพาตนี่มันเกิดขึ้นแก่เราได้ทุกสถานที่และทุกเวลา มันคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบ ๆ และเข้าโจมตีอย่างฉับพลันทันทีแทบจะไม่มีทางต่อสู้กับมันเลย เปรียบเหมือนถูกภูเขาทั้งลูกถล่มลงมาทับทั้งตัวในพริบตาเดียว แต่กว่าจะย้ายภูเขาออกไปได้ต้องใช้เวลาแซะหินออกทีละก้อนนานชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ ผมทราบมาว่ามีชายคนหนึ่งขี่จักรยานสองล้อจะกลับบ้าน อยู่ดี ๆ ร่างกายก็อ่อนปวกเปียก จักรยานล้มลงข้างถนน พยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นแต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกเลยเป็นต้น ชาวบ้านบอกว่าโบราณเขาเรียกว่าเป็นโรคลมอัมพฤกษ์ต้องส่งไปให้หมอนวดแผนโบราณนวดจับเส้น ทั้ง ๆ ที่เป็นอาการของหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตกแท้ ๆ สำหรับผม ขณะนั้นเวลาได้ล่วงเลยมาแปดเดือนเศษแล้ว ผมยังคงเป็นอัมพาตอยู่ การทุ่มเงินและหมั่นเพียรทนความเจ็บปวดทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกำลังใจที่ได้จากบุตรภรรยาที่ช่วยกันดูแลผมเป็นอย่างดีตลอดมา ทำให้ผมพอจะช่วยเหลือตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้บ้าง ไม่เป็นภาระแก่บุตรภรรยามากเหมือนตอนป่วยใหม่ ๆ แต่ก็ออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีคนพาไป เหมือนถูกกักขังตัวเองอยู่ในบ้าน คิดเสียดายว่าหากหมอคนแรกของโรงพยาบาลแรกที่ผมรักษามีจรรยาบรรณแพทย์ดีพอที่จะจ่ายยารักษาความดันให้ผมถูกต้องทั้ง ๆ ที่ผมทักท้วงแล้ว หากความดันลดลงได้บ้าง ผมคงรักษากับหมอคนนั้นต่อไป ไม่ต้องกลายเป็นคนพิการอยู่จนทุกวันนี้ อย่างไรก็ดีผมเองก็มีส่วนผิดที่ประมาทจนเกินไป คือหลังจากที่บอกเลิกการรักษาจากโรงพยาบาลเดิมแล้ว ผมก็ไม่ได้ขวนขวายหาโรงพยาบาลใหม่ ผัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยไป คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้ ผลัดว่าพรุ่งนี้อยู่เรื่อย ๆ จนไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับผมอีกแล้ว จึงขอแนะนำเพื่อนฝูงและท่านผู้อ่านทุกท่านว่า หากความดันโลหิตของท่านสูงอยู่ในระดับเกินกว่า 120/80 และคอเลสเตอรอลสูงกว่า 200 ก็ควรหาหมอตรวจและรักษาและควบคุมอาหารทันที และหากแน่ใจว่าหมอคนใดรักษาไม่ได้ผล ควรเปลี่ยนหมอเสียใหม่ ชีวิตของเรา – เงินของเราสะสมมาด้วยความเหนื่อยยาก ไม่ได้โกงชาติโกงแผ่นดินมาแม้แต่บาทเดียว อย่าให้เขาสูบเอาไปจนแห้งผาก ปัจจุบันนี้ผมยังต้องกินยาลดความดันและยาลดคอเลสเตอรอลอยู่ทุกวันเพื่อป้องกันมิให้เส้นเลือดแตกซ้ำสองอีก ยาของโรงพยาบาลใหม่นี่ได้ผลมาก ความดันโลหิตของผมซึ่งเคยขึ้นไปถึง 203/180 ได้ลดลงมาเหลือ 106/60 เท่านั้นเอง คอเลสเตอรอลก็ลดต่ำลงเหลือไม่เกิน 200 คงไม่เกิดเหตุการณ์เส้นเลือดในสมองแตกซ้ำอีก แต่ผมก็พิการไปเสียแล้ว ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อย่ารอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เพราะอาจไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับคุณเลยก็ได้
ผมนอนอยู่ห้อง ไอซียู ได้สามวัน หมอเขาเห็นอาการทรงตัวดีอยู่ ก็เลยยกเลิกการผ่าตัดสมอง ให้กินยาบำรุงแทน ให้ผมย้ายถิ่นฐานขึ้นไปนอนที่ห้องพิเศษบนชั้นเจ็ด ห้องเลขที่ 703 ราคาวันละ 1,300 บาท ตอนนี้เขาดึงเอาท่อสวนปัสสาวะออกแล้ว ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย คัน ๆ เพลินดีด้วยซ้ำ
ในห้องพิเศษนี้ร่างกายซีกซ้ายของผมหมดสภาพตายไปแล้วทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องนอนหงายนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง จะพลิกตัวตะแคงซ้าย หรือขวาก็ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น เพราะซีกซ้ายมันหนักมาก ถ้าลูก ๆ เขาช่วยจับพลิกให้ผมนอนตะแคงขวาน้ำหนักตัวซีกซ้ายมันก็จะถ่วงให้หงายกลับมานอนหงายอย่างเดิม ถ้าจับตัวนอนตะแคงซ้ายมันจะพลิกคว่ำไปเลย เขาต้องแก้ปัญหาด้วยการเอาหมอนหลาย ๆ ใบมาอัดไว้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังจนแน่นเพื่อไม่ให้พลิกกลับ ทำให้อึดอัดมากเหมือนถูกอัดเป็นปลากระป๋อง ตอนดึก ๆ เมื่อทุกคนที่นอนเฝ้าหลับหมดแล้วผมก็ใช้มือขวาที่ยังดีอยู่พยายามดึงหมอนออกโยนทิ้งไปทีละใบจนหมด ตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็เห็นผมนอนหงายอย่างเดิมโดยมีหมอนทั้งใบเล็กใบใหญ่ตกเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นห้อง เป็นปริศนาให้ขบคิดว่ามันปลิวออกมาจากเตียงได้อย่างไร หรือว่าอาจมีผีเด็กซน ๆ เจ้าของเตียงมาเล่นซุกซนหยิบหมอนมาขว้างเล่นเกลื่อนห้องก็ได้ แสดงว่าโรงพยาบาลนี้คงมีผีดุน่าดูชมเลยทีเดียว
ที่ห้องพิเศษนี้ทั้งเมียที่แสนดีของผมนั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน และมีลูกสาวของผมผลัดเปลี่ยนกันมาช่วยนอนเฝ้าด้วย นับว่าผมนำความทุกข์ยากมาสู่เมียและลูกเป็นอย่างมาก และแล้วปาฏิหาริย์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในคืนวันที่สอง ก่อนนอนคืนนั้นลูกถามว่าต้องการนอนตะแคงซ้ายหรือตะแคงขวา ผมบอกว่าขอตะแคงด้านซ้ายเพราะเมื่อยด้านขวาเต็มที เขาก็จัดการพลิกตัวผมให้ตะแคงซ้ายพร้อมกับเอาหมอนมาอัดจนแน่นทั้งด้านหน้าอกซ้ายและหลังด้านขวา เพราะเนื่องจากซีกซ้ายผมเป็นอัมพาตจึงมีน้ำหนักมากกว่าซีกขวา ถ้าไม่เอาหมอนยัดไว้ที่อกด้านซ้ายน้ำหนักตัวจะทำให้ผมพลิกคว่ำหน้าลงจนหายใจไม่ออกตายอย่างช่วยตัวเองไม่ได้ พอลูกเขาเอาหมอนมายัดอัดรอบตัวผมเหมือนอัดปลากระป๋องแล้วเขาก็นอนหลับไป ส่วนเมียผมก็นั่งสวดมนต์ภาวนาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทำสมาธิอันเป็นกิจวัตรประจำคืนของเขาไปตามปกติ จนผมเกรงว่าสักวันหนึ่งเขาอาจลาจากผมไปบวชชีก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องตามไปบวชพระอยู่วัดเดียวกัน ตามหลักสากลที่ว่าตาเถรกับยายชีที่เป็นเนื้อคู่กันจะต้องไม่พลัดพรากจากกัน
แล้วอุบัติเหตุอันเป็นเสมือนปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น คือเนื่องจากหมอนใบที่เขาอัดไว้ที่หน้าอกซ้ายป้องกันการพลิกคว่ำมันอ่อนนุ่มไป ฉะนั้น ระหว่างที่ผมหลับมันก็ค่อย ๆ ยุบตัวลงทีละน้อย ร่างกายผมก็ค่อย ๆ คว่ำหน้าลงทางซ้ายทีละน้อยจนนอนทับไหล่ซ้ายและแขนซ้ายหมดทั้งแขนแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เลือดคงไหลเข้าไปที่ไหล่และที่แขนไม่ได้ จะนานกี่ชั่วโมงก็ไม่ทราบที่ร่างกายส่วนนี้ขาดเลือด ไอ้ผมก็ไม่รู้สึกอะไรเพราะผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวผมมีอยู่ซีกเดียวเท่านั้นคือซีกขวา ส่วนซีกซ้ายมันตายสนิทไปแล้ว ประมาณสองยามผมตื่นขึ้นมารู้สึกร้อนอึดอัดมาก จึงพยายามใช้มือขวาเอื้อมไปดึงหมอนใบเล็กใบน้อยที่ค้ำยันอยู่ด้านหลังออกโยนทิ้งไปทีละใบจนเกลื่อนพื้นห้องไปหมด แล้วใช้แขนขวาเหนี่ยวราวเตียงดึงตัวเองให้นอนหงาย พอนอนหงายได้สำเร็จ ไหล่ซ้ายและแขนซ้ายก็หลุดพ้นจากการถูกกดทับ ผมรู้สึกซู่ซ่าวูบขึ้นมาทั้งหัวไหล่และแขนตลอดแขน รู้สึกเหมือนมีเลือดปริมาณมากฉีดวิ่งจากไหล่ลงไปตามแขนจนถึงปลายนิ้วมือ พออาการซู่ซ่าวิ่งไปถึงปลายนิ้วมือผมก็กระดิกนิ้วมือซ้ายได้ทันทีและกำมือแบมือได้ด้วย ผมดีใจมากปลุกให้ลูกมองดูมือผมเพื่อเป็นพยานโดยด่วน เพราะผมเกรงว่าประเดี๋ยวพอเลือดฉีดเข้ามาเลี้ยงเต็มที่แล้วมันจะกระดิกไม่ได้อีก ลูกรีบเปิดไฟดูพอเห็นผมกระดิกนิ้วมือซ้ายได้ก็ดีใจปลุกเมียผมลุกขึ้นมาดูอีกคน ทั้งคู่ก็ดีใจกันใหญ่ หลังจากนั้นผมก็นอนกระดิกนิ้วมือเล่นบ้าง กำมือและแบมือเล่นบ้างจนสว่าง ที่ผมเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็เพราะว่าการฟื้นสภาพด้วยวิธีปิดหลอดเลือดจนทำให้เลือดหยุดไหลเข้าไปเลี้ยงร่างกายส่วนที่หมดสภาพไปแล้วสักสองสามชั่วโมง แล้วเปิดให้เลือดไหลวิ่งกลับเข้าไปใหม่อย่างรวดเร็ว จะช่วยทำให้ร่างกายส่วนนั้นกลับฟื้นคืนสภาพชึ้นมาได้และส่งกระแสไฟฟ้าไปตามเส้นใยประสาทย้อนขึ้นไปกระตุ้นให้สมองที่ควบคุมอวัยวะส่วนนั้นเริ่มทำงานได้อีกทีละน้อย คิดว่าวิธีนี้เป็นอุบัติเหตุที่ยังไม่มีการทดลองนำมาใช้ในสาระบบของการแพทย์ปัจจุบัน แต่การไปปิดกั้นหลอดเลือดนาน ๆ มันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แทนที่จะเป็นผลดีกลับอาจทำให้อวัยวะส่วนนั้นตายสนิทไปเลยก็ได้
แสดงว่าสมองของผมเริ่มฟื้นตัวรับคำสั่งได้แล้ว แต่ยังสั่งการช้าไม่ทันใจ เช่นสั่งให้กำมือ มันจะรอสักครู่กว่าจะส่งกระแสไฟฟ้ามาบังคับให้มือกำ ครั้นพอสั่งให้แบมือก็เช่นกัน มันไม่ยอมแบทันที ครู่ใหญ่ ๆ มันถึงจะแบออกได้อย่างช้า ๆ ทำได้แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมนอนกำมือแบมือพยายามเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆเพื่อกระตุ้นสมองให้ทำงานฉับไวขึ้น แม้จะต้องเค้นสมองอย่างหนักในการออกคำสั่งแต่ละครั้งจนเหนื่อยใจ แต่ก็ทำได้เร็วขึ้นทุกที
เมื่อกำมือแบมือได้คล่องขึ้นแล้ววันต่อ ๆ มา ผมก็ฝึกกระดกข้อมือและฝึกยกแขนซ้ายชูขึ้น มันยากมาก ต้องเค้นสมองสั่งอย่างเต็มที่กว่าจะยกมือซ้ายให้พ้นจากพื้นเตียงได้เพียงเล็กน้อย เหนื่อยทั้งกายและใจ คล้าย ๆ เวลาเรายกของหนักมาก ๆ เราต้องเบ่งออกกำลังเต็มที่กว่าจะยกได้ ในที่สุดผมก็สามารถยกแขนซ้ายขึ้นได้ทีละน้อย ๆ สูงขึ้นทุกวัน ตอนนั้นเวลาใช้มือขวาจับมือซ้ายยกขึ้นจะรู้สึกว่าไม่หนักเหมือนเดิม แสดงว่ากล้ามเนื้อแขนซ้ายเริ่มฟื้นตัวแล้ว ผมฝึกทุกวันจนยกแขนตั้งฉากกับลำตัวได้ และกำมือแบมือได้เร็วขึ้นเกือบเท่ามือขวา สร้างความประหลาดใจและความดีใจให้แก่ญาติมิตรที่มาเยี่ยมเยียนเป็นอย่างยิ่ง นักกายภาพบำบัดก็แปลกใจเพราะตามปกติคนอัมพาตครึ่งซีกถ้าฟื้นสภาพจะฟื้นจากร่างกายส่วนล่างคือจากปลายเท้าขึ้นมาก่อน แต่กรณีของผมแปลกกว่าคนอื่น ๆ เพราะคืนสภาพจากท่อนกลางลำตัวคือจากแขนขึ้นมาก่อนขา ซึ่งผมเดาว่าคงจะเป็นเพราะผมไปนอนทับแขนและไหล่จนขาดเลือดก็ได้
นอนอยู่ห้องพิเศษได้ห้าวัน หมอก็มาบอกว่าหากต้องการกลับบ้านก็กลับได้แล้ว เพราะอาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่มีไข้ ไม่มีอาการชักเกร็งเหมือนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแตกในสมองรายอื่น ๆ กลับไปพักฟื้นที่บ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายดีกว่า แล้วมาทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลทุกวันหรือวันเว้นวันก็ได้เพื่อเร่งการฟื้นสภาพให้เร็วขึ้น เสียแต่ค่าทำกายภาพบำบัดประมาณครั้งละ 250 บาทเท่านั้น ไม่ต้องเสียค่าห้อง อีกวันละ 1,300 บาท แต่ผมมาคิดดูว่าหากจะต้องมาโรงพยาบาลทุกวันหรือแม้เพียงบางวันคงมีปัญหามาก เพราะผมเดินไม่ได้แม้จะจับตัวให้ลุกนั่งก็ยังนั่งทรงตัวไม่ได้ จะเอาตัวมาโรงพยาบาลได้อย่างไร คงต้องขอให้ทางโรงพยาบาลส่งรถพยาบาลมารับมาส่งกันทุกวัน เสียค่าใช้จ่ายอีกมากแน่ ๆ และยุ่งยากกับคนทางบ้านด้วย ก็เลยขอให้ทางโรงพยาบาลจัดนักกายภาพบำบัดไปทำให้ที่บ้านทุกวันทำทุกวันไม่เว้นวันเสาร์อาทิตย์ เขาก็ตกลงโดยคิดค่าบริการครั้งละ 500 บาท สัปดาห์ละเจ็ดวัน เดือนหนึ่ง ๆ ก็ต้องจ่ายค่าบริการประมาณหมื่นห้าพันบาท เมียผมก็ตกลงตามนั้นเพราะตอนนี้เขาเป็นคนตัดสินใจแทนผมทุกเรื่อง ทางโรงพยาบาลก็จัดหานักกายภาพบำบัดฝีมือดีให้หนึ่งคนเป็นคนที่เก่งทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติชื่อสุชาติ เพราะก่อนที่เขาจะเริ่มดึงแขนดึงขาและจัดกล้ามเนื้อให้ เขาจะอธิบายทฤษฎีการเคลื่อนไหวของร่างกายให้ฟังจนผมง่วงแทบหลับ พอเห็นผมนอนตาปรือจะหลับเขาก็ปลุกขึ้นมาฟังต่อ แต่ก็ได้ประโยชน์มากเพราะเขาอธิบายหลักการและสาธิตขั้นตอนในการลุก การนั่ง และการก้าวเดินได้ดียิ่ง เพราะถ้าผมไม่ได้ฟังการอธิบายและการสาธิตอย่างละเอียดของเขา ผมก็คงลุกนั่งลุกยืนไม่ถูกวิธี พอลุกขึ้นนั่งทีไรก็หงายหลังล้มก้นกระแทกพื้นเตียงทุกที
รุ่งขึ้นอีกวันผมก็จะกลับบ้าน ทางบ้านต้องเตรียมการกันอย่างฉุกละหุก “ปุ๋ย”ลูกสาวคนที่สามซึ่งปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์อยู่ที่ธรรมศาสตร์ก็ไปขอยืมเตียงพยาบาลจากญาติสามีของเขามาหนึ่งเตียง “แว่น” ลูกเขยคนโตออกตระเวนหาซื้อเก้าอี้ล้อเลื่อนและเก้าอี้สามขาเจาะรูสำหรับถ่ายอุจจาระ “แป๋ว” ลูกสาวคนที่สี่ซึ่งทำงานอยู่ที่ กลต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และดูแลตลาดตลาดหลักทรัพย์) ก็ไปขอยืมที่นอนลม ยี่ห้อซันเก้น แมท ราคาราว ๆ สองหมื่นบาทของเพื่อนมาปูบนเตียงเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ คนอื่น ๆ ที่เหลือก็ช่วยกันจัดห้องรับแขกเสียใหม่เปลี่ยนสภาพให้เป็นห้องนอน เมียผมก็สั่งทำห้องน้ำเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งห้องติดกับห้องรับแขกเป็นการด่วนทั้ง ๆ ที่บ้านผมก็มีห้องน้ำอยู่แล้วถึงสี่ห้อง ห้องน้ำที่ทำใหม่เป็นห้องน้ำที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการด้วย และสั่งเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศในห้องรับแขกซึ่งกลายเป็นห้องนอนไปแล้วเสียใหม่เพราะเครื่องเดิมใช้มานานกว่ายี่สิบปี หมดสภาพจนซ่อมไม่ไหว หมดเงินไปอีกรวมทั้งสิ้นมากกว่าหนึ่งแสนบาท ทำกันรวดเร็วดุจเนรมิต แต่เงินก็พร่องไปดุจเนรมิตเช่นกัน ดีที่เมียผมเป็นนักบัญชีที่มีใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีอนุญาตของสำนักงาน ก.บ.ช. จึงสามารถรับงานตรวจบัญชีบริษัทห้างร้านหาเงินเข้ามาจุนเจือสะสมเข้ากองทุนฉุกเฉินสำหรับครอบครัวเพิ่มเติมไว้อีก เพราะเพียงเงินบำนาญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รัฐบาลจ่ายให้เราสองคนแต่ละเดือนไม่เพียงพอแน่ ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลทั้งค่าห้องและค่ายาจ่ายไปหลายหมื่นบาทเบิกได้ประมาณสี่พันบาทเท่านั้น แต่ดีที่แป๋วสามารถเอาไปเบิกที่สำนักงาน กลต. ได้อีกครึ่งหนึ่ง ส่วนค่าบริการนักกายภาพบำบัดอีกเดือนละหมื่นห้าพันบาทเบิกไม่ได้เลย นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่พยาบาลที่มาช่วยดูแลคนป่วย ซึ่งจ้างมาจากศูนย์รับดูแลเด็กและคนพิการอีกหนึ่งคน ค่าจ้างเดือนละแปดพันบาทให้มาเป็นพี่เลี้ยงเฝ้าดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะตอนกลางวันเมียไปตรวจบัญชี ส่วนลูก ๆ ก็ไปทำงานกันหมด กลางคืนลูก ๆ ก็ต้องดูแลครอบครัวของเขา จะทิ้งครอบครัวมาเฝ้าดูแลให้ทุกคืนได้อย่างไร เมียผมตอนกลางวันก็ต้องไปทำงานตรวจบัญชี คร่ำเคร่งอยู่กับตัวเลขตลอดวัน กลับมาตอนเย็นกว่าจะขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดสาหัสถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยทรุดโทรมท่าทางร่อแร่มาทีเดียว หากจะต้องมานอนเฝ้าผมตอนกลางคืนอีก สุขภาพร่างกายคงทนไม่ไหว ไม่ช้าคงเครียดจนเส้นเลือดแตก ตีบ หรืออุดตัน เป็นอัมพาตไปอีกคน ออกนึกเสียดายที่ตอนผมเป็นอธิบดี และเป็นรองปลัดกระทรวงพาณิชย์อยู่นานนับสิบปีไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่รีดไถบริษัทห้างร้าน หรือแอบยักยอกเบียดบังเงินงบประมาณแผ่นดินมาสะสมไว้ใช้ในยามเจ็บไข้วัยชราเลยแม้แต่บาทเดียว มีแต่เงินเดือนทั้งของผมและของเมียเท่านั้นที่ช่วยกันเก็บสะสมเป็นทุนไว้ใช้ในยามชรา แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว หมดสิทธิคอรัปชั่น น่าเสียดายจริง ๆ
ในที่สุดผมก็ถูกหามกลับมานอนพักฟื้นที่บ้าน ในระหว่างที่ป่วยอยู่นี้ก็มีเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานในอดีตมาเยี่ยมให้กำลังใจกันหลายคน เช่นคุณศุภกิจ นิมมานนรเทพ อดีตรองอธิบดีกรมทะเบียนการค้า ต้นตำหรับการฝึกพลังลมปราณรักษาสุขภาพอันลือลั่นอยู่ในขณะนั้น ได้มาอธิบายและสาธิตการเดินลมปราณเพื่อเพิ่มพลังให้ดู ผู้ตรวจกิจจา จันทน์หอมไกล ซึ่งเกษียณอายุราชการจากกระทรวงพาณิชย์ไปก่อนผม ขณะนั้นอายุ 80 ปี แต่ก็ยังแข็งแรงมีสุขภาพดี ทราบว่าผมเป็นอัมพาตก็โทรศัพท์มาถามอาการแล้วได้นำยาไทยรักษาอัมพาตที่มีผู้เล่าลือว่ารักษาหายมาหลายคนแล้ว นำมาจากจังหวัดอ่างทองมาให้ถึงบ้านสิบกว่าห่อ แต่คงมีส่วนผสมพริกไทยมาก กินเข้าไปแค่ห่อเดียวร้อนท้องร้อนคอแทบไหม้กระเพาะ ไอ้ผมก็แพ้ของเผ็ดจัด เสียด้วยจึงต้องเก็บรอไว้ชั่วคราวก่อน และยังมีผู้ตรวจไชยยา ธรรมนิยม อายุกว่าแปดสิบสุขภาพทรุดโทรมเต็มทีเดินไม่ค่อยจะไหวแล้วก็อุตส่าห์ให้ลูกหลานขับรถมาส่งแล้วพยุงเดินเข้ามาเยี่ยมถึงบ้าน คุณวิริยา ไชยคุปต์ อดีตเลขานุการของผมสมัยที่ผมเป็นรองปลัดกระทรวง ก็นำสามีคือคุณโยธิน ณ บางช้าง ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ช่วย ส.ส. และเป็นเลขานุการของท่านประธานรัฐสภา นำของเยี่ยมมาให้ที่บ้าน ยังมีอีกหลายท่านที่ผมมิได้นำมากล่าวไว้ในที่นี้ แต่ผมก็ซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของเพื่อนฝูงและอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนที่มาเยี่ยมด้วยตนเองหรือโทรศัพท์มาเยี่ยมอีกหลายราย
มีผู้มาเยี่ยมอีกคนหนึ่งซึ่งผมต้องขอกล่าวถึงไว้ด้วย เพราะเป็นผู้มีส่วนให้ผมซึ่งอายุมากถึง 73 ปีแล้วสามารถฟื้นตัวจากอาการอัมพาตครึ่งซีกได้รวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง ผู้นั้นคือหลานชายผมเองชื่อนายนิติ วิริยา (หนุ่ย) ซึ่งไปทำมาหากินเป็นข้ารัฐการของรัฐบาลอเมริกันมีหน้าที่เป็นพนักงานตรวจคนเข้าเมืองอยู่ในอเมริกานานกว่าสามสิบปีจนครบเกษียณได้รับบำนาญของรัฐบาลสหรัฐแล้วจึงได้เดินทางกลับประเทศไทย
เมื่อหนุ่ยกลับจากสหรัฐใหม่ ๆ ยังไม่ได้พบกัน วันหนึ่งผมบังเอิญพบเขาเดินช๊อปปิ้งอยู่ที่ห้างโลตัส ถนนรามอินทรา ร่างกายเขาทรุดโทรมมาก เดินขาลากเหมือนหมดแรง มีเด็กสาวทำหน้าที่เป็นพยาบาลพี่เลี้ยงคอยเดินตามเฝ้าดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ผมคิดว่าหนุ่ยคงติดโรคเอดส์มาจากสหรัฐ แต่ถามดูได้ความว่าเป็นโรคข้อเสื่อมหมดทั้งตัว รักษามาหลายโรงพยาบาลในอเมริกาแล้วไม่หาย ทนปวดข้อเวลาอากาศหนาวไม่ได้จึงต้องเดินทางกลับมาฝากชีวิตไว้ในเมืองไทย
หลังจากนั้นหลายปีต่อมาผมไม่พบหนุ่ยอีกเลย จนผมเส้นเลือดแตกในสมองกลายเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก หนุ่ยได้ข่าวก็มาเยี่ยมที่บ้าน ตอนนี้ร่างกายกำยำแข็งแรงมาก แถมหิ้วเมียสาวสวยมาอวดด้วยคนหนึ่ง หนุ่ยเล่าว่าไดัไปซื้อที่ปลูกบ้านอยู่ในหมู่บ้านป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ อากาศในป่าสะอาดสดชื่นมาก ไม่มีฝุ่นละอองหรือควันพิษเหมือนอากาศในเมืองกรุง ฤดูหนาวมีดอกกระเจียวบานสวยมาก หนุ่ยได้ไปทำความรู้จักคุ้นเคยพบปะพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านป่าแถบนั้นแทบทุกวัน เอายาเพิ่มพลังเพศไวอากร้าไปให้ผู้ใหญ่บ้านทดลองกินดูบ้าง จึงเป็นที่สนิทสนมคุ้นเคยคุยถูกคอกันดี เขาได้ยกน้ำชามาให้ดื่มระหว่างพูดคุยกัน น้ำชาของเขามีรสหวานอ่อนๆ ไปเยี่ยมคุยกับชาวบ้านหลังไหนเขาก็ยกน้ำชาอย่างเดียวกันมาให้ดื่มทุกบ้าน หลายเดือนต่อมาอาการปวดกระดูกและปวดตามข้อของหนุ่ยก็หายไปเฉย ๆ โดยไม่ได้กินยาอะไรเลย ร่างกายก็แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย แม้อากาศที่นั่นจะหนาวเย็นจัดมากในฤดูหนาวก็ไม่ปวดข้อปวดกระดูกเลย สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเพราะน้ำชาของชาวบ้านป่าที่หนุ่ยซดเข้าไปทุกวันนั่นเอง จึงถามชาวบ้านว่าน้ำชาที่ดื่มเป็นชาอะไรจะไปซื้อมาชงดื่มเองบ้าง ได้ความว่าไม่ใช่น้ำชา แต่เป็นน้ำสมุนไพรผสมกันหลายชนิดที่ชาวบ้านไปตัดมาจากในป่าลึก เอามาตากแห้งแบ่งใส่ห่อเก็บไว้ต้มกินแทนน้ำชา ชาวบ้านแถบนั้นจึงมีร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีกันทุกคน หนุ่ยขอเจียดซื้อแบ่งปันมาสองสามห่อ เขาก็แบ่งขายให้ในราคาห่อละห้าสิบบาท เอามาต้มแจกให้เพื่อนฝูงและแม่ของหนุ่ยที่ข้อเข่าอักเสบเดินไม่ได้มาหลายปีแล้วดื่มดู ไม่นานนักแม่ของหนุ่ยก็หายปวดเข่าลุกขึ้นเดินได้ เพื่อนที่สุขภาพไม่ดีเช่นบางคนเป็นเบาหวานก็หายจากโรคที่เป็นหมด แต่ที่ไม่หายก็อาจจะมีเหมือนกัน เขาเรียกว่าเป็นเรื่องของลางเนื้อชอบลางยา
หนุ่ยเอาน้ำสมุนไพรต้มใส่ขวดห่อผ้าขนหนูเพื่อเก็บความร้อนไว้ เดินทางจากบ้านป่าในจังหวัดชัยภูมิมาให้ผมลองดื่มดู เผื่อว่าโชคดีอาจรักษาอัมพาตได้บ้าง ผมดื่มดูรู้สึกว่าหวานดีไม่มีรสเผ็ดก็ขอสมุนไพรอย่างว่านั่นมาต้มดื่มเองบ้าง หนุ่ยเดินทางกลับชัยภูมิไปเอามาให้ผมอีกห้าห่อ ผมก็ต้มดื่มทุกวัน ร่างกายก็แข็งแรงดีขึ้นทุกวันจนนักกายภาพบำบัดแปลกใจ บอกว่าผมฟื้นตัวขึ้นมากกว่าเดิมทุกวันที่มาทำกายภาพบำบัดให้ เรียกว่าหายวันหายคืนกันเลยทีเดียว ไม่เหมือนคนไข้คนอื่น ๆ ที่เขาทำกายภาพบำบัดให้ ซึ่งอายุน้อยกว่าผมแต่ไม่มีความก้าวหน้าเลย บางคนสามปี หกปี ก็ยังเดินไม่ได้
นอกจากดื่มน้ำต้มสมุนไพรที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามและทำกายภาพบำบัดโดยนักกายภาพบำบัดจากโรงพยาบาลแล้ว ยังมีการทำกายภาพบำบัดโดยนักกายภาพบำบัดมือสมัครเล่นฝีมือดีอีกด้วย คือ แป๋ว ลูกสาวคนที่สี่ของผม แม้จะเรียนจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของไทยถึงสองมหาวิทยาลัย คือจบปริญญาตรี(พาณิชยศาสตร์บันทิต) จากธรรมศาสตร์ และปริญญาโท (บริหารธุรกิจมหาบันทิต) จากจุฬา แต่ก็ยังมีความสามารถพิเศษอื่น ๆ อีก เช่นพูดจาสื่อสารกับหมาก็ได้ ครั้งหนึ่งเมื่อหมาขี้เรื้อนตัวโปรดของเขารุ่นแรกชื่อเจ้าหยองตาย แป๋วร้องไห้เศร้าโศกฝันถึงมันเจ็ดวันเจ็ดคืนราวกับว่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ตายพร้อมกันทั้งห้าคน จนถึงวันที่เจ็ดวิญญานเจ้าหยองคงสงสารเจ้านายที่ร้องใหัถึงมันทุกคืนไม่มีหยุดมันจึงกลับมาหา คืนนั้นมีเสียงหมาแถวบ้านหอนกันโหยหวนรับกันป็นช่วงๆ ทุกบ้าน แม้แต่หมาจรจัดหน้าบ้านผมก็ผสมโรงหอนเยือกเย็นไปกับเขาด้วย และแล้วในความมืดสลัวแป๋วก็เห็นเจ้าหยองเดินข้ามาในห้องนอน กระโดดขึ้นมานอนบนเตียงเบียดกับแป๋ว ซึ่งแป๋วยังนอนไม่หลับเพียงแต่กำลังสลึมสลืออยู่จึงใม่รู้ว่าเป็นความฝันหรือความจริง เผลอคิดไปว่าเจ้าหยองยังไม่ตาย ก็เลยนอนกอดเจ้าหยองจนหลับไปถึงรุ่งสว่าง ตื่นเช้าขึ้นมาเจ้าหยองหายไปแล้วเหลือแต่รอยยับย่นของที่นอนตรงที่มันนอนเมื่อคืน แป๋วคิดว่าเจ้าหยองมันคงมาร่ำลาไปสู่สุขคติแล้วจึงหายเศร้าและไปทำสังฆทานให้มันที่วัดข้างบ้าน ยังมีอีกตัวหนึ่งคือเจ้าซุป ที่แป๋วรักมันมากถัดจากเจ้าหยอง ทุกเช้าก่อนขับรถไปทำงานจะต้องทักทายพูดร่ำลากับเจ้าซุป หมาเกือบจะขี้เรื้อนพันธุ์เทศ(บาล) ตัวโปรดรุ่นที่สองอีกตัวหนึ่ง สั่งเสียว่าให้ทำตัวให้เรียบร้อยนะลูกนะ อย่าออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน เดี๋ยวจะถูกรถชนตาย ตอนเย็นพอได้เวลาแป๋วจะกลับบ้าน เจ้าซุปจะวิ่งไปนั่งเฝ้ารอรับที่หน้าประตูรั้ว พอเห็นรถเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามาในถนนซอยหน้าบ้าน เจ้าซุปจะตะกุยตะกายประตูพร้อมทั้งส่งเสียงไชโยโห่ร้องต้อนรับเป็นภาษาหมาดังลั่นได้ยินกันทั้งซอย พอรถเข้ามาจอดในบ้านมันจะวิ่งวนไปรอบ ๆ รถอย่างดีใจพร้อมเห่าหอนไปด้วย ส่วนแป๋ว ก็จะลงจากรถลงมานั่งยอง ๆ ส่งเสียงเห่าหอนประสานกับเสียงหมา จนแยกไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นเสียงหมา เสียงไหนเป็นเสียงของบัณฑิตปริญญาโทจากจุฬา เพราะเห่าหอนได้เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เมื่อเห่าหอนคุยกันจนพอใจแล้วแป๋วก็เดินเข้ามาในตัวตึก เจ้าซุปจะวิ่งตามเข้ามาด้วย ต่อมาก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องคอยถีบมันออกไปนอกห้อง และยังมีอีกตัวหนึ่งชื่อเจ้าปุ๊กหมาไร้ประวัติไร้เผ่าพันธุ์รุ่นที่สามที่มันหลงไหลแป๋วเอามากๆ คงจะเป็นเพื่อนเก่ารักกันมาตั้งแต่อดีตชาติ แต่ชาติก่อนมันคงทำบาปไว้มากชาตินี้จึงเกิดเป็นหมาไม่อาจตามมาเกิดเป็นคนได้ หรืออาจเป็นเจ้าหยองกลับมาเกิดให้แป๋วเลี้ยงดูอีกชาติหนึ่งก็ได้ มันถึงได้หลงรักแป๋วเจ้านายของมันเอามาก ๆ เพราะถ้าแป๋วยืนนิ่ง ๆ เผลอไม่ระวังตัวเมื่อไร มันจะวิ่งมายืนข้าง ๆ แล้วยกขาข้างหนึ่งพร้อมกับปล่อยฉี่พุ่งออกมารดกางเกงแป๋วเปียกตั้งแต่เข่าลงไปจนถึงปลายเท้า แม้แป๋วจะตะโกนตวาดไล่ไป มันก็ยังยืนอมยิ้มเขย่งขาข้างหนึ่งปล่อยฉี่พุ่งออกมารดกางเกงแป๋วจนโชก เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของไม่ให้หมาตัวอื่นมายุ่งกับนายของมันเป็นอันขาด
เมื่อนักกายภาพบำบัดจากโรงพยาบาลเมโยมาทำกายภาพบำบัดให้ผมที่บ้าน แป๋วก็จะจดจำวิธีการและท่าทางไว้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะขนาดจดจำเสียงเห่าหอนของหมาจนสามารถเห่าโต้ตอบกันได้เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนยังทำได้ แป๋วทำกายภาพบำบัดให้ผมซ้ำอีกสองสามรอบหลังจากที่นักกายภาพ ฯ กลับไปแล้ว เรียกว่าทำกายภาพบำบัดกันวันละหลายรอบเลยทีเดียว
นอกจากนี้ผมยังมีการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ อีกด้วย เช่นพลังกายทิพย์ นวดฝ่าเท้า และนวดแผนโบราณ คือ ปุ๋ย ลูกสาวคนที่สาม ซึ่งนอกจากจะได้ทุน King Scholarship ไปเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยม McDuffie ที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐแมสซาจูเซ็ท สหรัฐอเมริกา พอจบชั้นมัธยมที่นั่นแล้วก็ไปเรียนต่อจนจบปริญญาตรีสาขาวิศวะฯ จากมหาวิทยาลัยบอสตัน รัฐแมสซาจูเซ็ท กับปริญญาโทวิศวะฯ จากมหาวิทยาลัย Pittsburgh ในรัฐเพนซิลเวเนีย แล้วกลับมาเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รุ่นบุกเบิก ต่อจากนั้นก็ได้ทุนบินไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษจนจบปริญญาเอกสาขาวิศวะฯ จากมหาวิทยาลัย Nottingham ในประเทศอังกฤษอีกด้วย เมื่อได้ทุนเรียนฟรีจนจบทุกระดับปริญญาไม่มีปริญญาอะไรที่สูงกว่านี้ให้เรียนต่ออีก ปุ๋ยก็กลับมาเรียนวิชาพลังกายทิพย์จากสถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพจนจบหลักสูตรพัฒนาจักระ แล้วจึงแอบไปเรียนวิชานวดฝ่าเท้าจากสำนักไหนก็ไม่ทราบ ปุ๋ยได้นำพลังที่เรียนรู้ทั้งพลังกายทิพย์และพลังนวดฝ่าเท้ามารักษาอาการอัมพาตให้ผมทุกวัน ตอนนี้จะแอบไปเรียนพลังอะไรต่ออะไรอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
ในเรื่องการนวดแผนโบราณนั้น เรื่องเดิมมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหญิงอายุสัก 15 –16 ปี ชื่อสำราญมาจากจังหวัดสกลนครมาสมัครทำงานที่บ้านผม เมียผมก็จ้างไว้ให้ทำหน้าที่ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน เด็กคนนี้เป็นเด็กขยัน พอว่างจากงานบ้านแกก็มาช่วยเมียผมทำครัว จนทำกับข้าวได้หลายอย่าง เมียผมเลยมอบหน้าที่ให้เป็นแม่ครัวเสียเลย แกก็เริ่มพัฒนาฝีมือทำครัวขึ้นเรื่อย ๆ โดยเอาตำราทำกับข้าวที่ผมสะสมไว้มากมายหลายสิบเล่มมาฝึกทำตามตำรา วันคืนผ่านไปเป็นเดือน เป็นปี แกก็เริ่มแตกเนื้อสาวเปล่งปลั่งขึ้นตามธรรมชาติ แต่แกก็ไม่สนใจชายใด ไม่สนใจเรื่องเพศศึกษาเหมือนสาววัยรุ่นบ้านอื่น ไม่ออกไปเที่ยวหาแฟน ขลุกทำงานอยู่แต่ในบ้านผม อยู่มาปีหนึ่งตอนอายุราว ๆ 18 –19 เห็นจะได้ แกก็ขอลาไปเยี่ยมบ้านที่สกลนคร จะไปงานบุญวันเข้าพรรษาที่โน่น แกกับญาติพี่น้องทำอาหารไปถวายพระที่วัด บังเอิญมีพระภิกษุหนุ่มรูปหล่อรูปหนึ่งเกิดติดเนื้อต้องใจสาวนางนี้จึงได้แต่จ้องมองไม่วางตา แม้สมภารจะสะกิดให้สำรวมตัวสักหน่อยก็ไม่ได้ผล พอพระหนุ่มรูปนี้ฉันอาหารเสร็จและญาติโยมที่มาทำบุญเริ่มกลับกันแล้ว ภิกษุหนุ่มสุดหล่อรูปนี้ก็เที่ยวสอบถามชาวบ้านว่าครอบครัวที่มาทำบุญที่วัดเมื่อสักครู่มาจากหมู่บ้านใด พอสืบทราบแน่ชัดแล้วอีกไม่กี่วันต่อมาท่านก็ลาสิกขาบท เดินทางไปหมู่บ้านนั้นทันที ตระเวนสอบถามชาวบ้านว่าสาวรุ่นรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ชาวบ้านฟังลักษณะรูปร่างที่พี่ทิดอธิบายแล้วก็ปรึกษากันว่าน่าจะคือคนที่ชื่อสำราญ ก็บอกว่าน่าจะชื่อสำราญ แต่ตอนนี้เดินทางกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯแล้ว ทำงานอยู่บ้านใครก็ไม่รู้แถวถนนลาดพร้าว พอได้ความพี่ทิดก็รวบรวมเงินได้ก้อนหนึ่งเดินทางเข้ากรุงเทพฯทันที หวังจะตามหาสาวในฝันให้พบ แต่กรุงเทพมันกว้างใหญ่กว่าสกลนครมาก ประชากรนับสิบล้านคน เสาะถามหาเท่าไรก็ไม่มีใครรู้ จึงไปหาห้องเช่าอยู่แถวถนนลาดพร้าว ซอย 80 (บ้านผมอยู่ซอย 53 ห่างกันไม่กี่ซอย) แต่งานอาชีพในกรุงเทพ ฯ หายากมาก พี่ทิดหนุ่มจึงต้องไปเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์มาคันหนึ่งไปเข้าร่วมกับวินมอเตอร์ไซด์ขี่รถรับส่งผู้โดยสารในซอยหารายได้เลี้ยงชีพไปวัน ๆ เวลาผ่านไปสามปีเศษก็ยังตามหากันไม่พบ แต่ทั้งคู่ชอบฟังเพลงลูกทุ่งจากวิทยุเสียงสามยอดซึ่งโฆษกเป็นชาวสกลนครเหมือนกัน วันหนึ่งโฆษกประกาศขอลาบวช จะกลับไปบวชที่บ้านเดิมที่สกลนคร แฟนเพลงคนใดจะร่วมทำบุญก็ขอให้ไปมอบปัจจัยร่วมบุญที่สถานีวิทยุเสียงสามยอด สำราญไปไม่ถูกก็ชวนเพื่อนชื่อจอยพาไปมอบซองร่วมงานบุญที่สถานีวิทยุเสียงสามยอด พอไปถึงหน้าสถานีวิทยุก็พบพี่ทิดหนุ่มสุดหล่อซึ่งมามอบเงินร่วมงานบุญเหมือนกันกำลังเดินกลับออกไปพอดี หากช้าไปอีกนาทีเดียวก็คงต้องควานหากันอีกหลายสิบปีจนแก่เฒ่า พี่ทิดพอสบหน้าสาวสำราญถึงกับตลึงแทบสลบ ก็อุตส่าห์ควานหาแทบพลิกแผ่นดินมากว่าสามปีเพิ่งมาพบได้วันนี้เอง แต่สำราญจำทิดหนุ่มไม่ได้ เพียงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนหนอ เพราะตอนพบครั้งแรกพี่ทิดยังห่มผ้าเหลืองอยู่ พี่ทิดของเรารีบแนะนำตัวกับจอยว่าชื่อสมรัก มาจากสกลนคร พอรู้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็คุยกันได้ แต่เป็นการคุยกับจอยเสียมากกว่าคุยกับสำราญ เพราะเวลาหันมาจะคุยกับสำราญทีไรใจมันสั่นตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ก่อนจากกันหนุ่มสมรักได้ขอที่อยู่ของจอยไว้แทนที่จะขอที่อยู่ของสำราญ พอจากกันแล้วคงนึกสาปแช่งตัวเองว่าทำไมกูเสือกไปขอที่อยู่ของจอยแทนที่จะขอที่อยู๋ของสำราญทั้ง ๆ ที่กูสืบหามาตั้งสามปีแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ส่งจดหมายไปคุยกับจอยหลายฉบับจนจอยเกือบจะเข้าใจผิดว่าเขาจีบจอย เพียงแต่สงสัยว่าทำไมในจดหมายจึงพร่ำรำพรรณถึงแต่สำราญคนเดียวมื่อจอยบอกสำราญว่าสงสัยว่าสมรักคงชอบสำราญ สำราญก็ไม่สนใจ บอกว่าถ้าชอบสำราญจริงทำไมไม่ขอที่อยู่ของตนกลับไปขอที่อยู่ของจอยแล้วเขียนจดหมายถึงจอยคนเดียว นิสัยอย่างนี้เชื่อถือไม่ได้ ผลที่สุดจอยทนรำคาญไม่ไหวเพราะไม่เห็นจีบตนสักทีจึงเขียนจดหมายบอกตำบลที่อยู่ของสำราญที่จังหวัดสกลนครให้สมรักทราบ เพราะจอยไม่ทราบตำบลที่อยู่ของสำราญในกรุงเทพ พี่ทิดสมรักที่เพิ่งริอ่านรักผู้หญิงเป็นครั้งแรกจึงเขียนจดหมายส่งไปถึงสำราญโดยตรงที่สกลนคร แม่ของสำราญได้รับจดหมายผู้ชายส่งมาจากกรุงเทพถึงลูกสาวของตนก็เปิดตรวจเซ็นเซ่อร์ตามระเบียบ แล้วเก็บซุกจนลืมไปเลย คงคิดว่ามันอยู่กรุงเทพด้วยกันทำไมถึงเสือกส่งจดหมายมาให้กูที่สกลนครให้เสียเวลา พี่ทิดผู้อกหักรอจดหมายตอบด้วยความทุกข์ระทมก็ไม่มีสักฉบับ หารู้ไม่ว่าแม่ของสำราญไม่ได้ส่งต่อมาให้สำราญที่กรุงเทพให้สิ้นเปลืองค่าแสตมป์สองบาท จวบจนเวลาได้ล่วงเลยมาอีกหนึ่งปี สำราญขอลากลับไปเยี่ยมบ้านที่สกลนคร แม่จึงบอกว่ามีผู้ชายชื่อสมรักเขียนจดหมายมาถึงนานหลายเดือนแล้วเก็บไว้ที่ไหนก็จำไม่ได้ แม่คิดว่าเขาคงจดหมายถึงเอ็งที่กรุงเทพด้วยแล้วกระมัง เมื่อรู้ความจริงว่าต่างคนต่างไม่รู้ที่อยู่ที่กรุงเทพซึ่งกันและกัน สองแม่ลูกและพี่ ๆ น้อง ก็ช่วยกันค้นหาเป็นการใหญ่ว่าแม่ซุกไว้ที่ไหน จนในที่สุดจึงพบว่าแม่เก็บซุกไว้ในกองขยะจนกระดาษซีดเหลืองกรอบ ในจดหมายได้รำพรรณถึงความคิดถึงที่มีต่อสำราญและแจ้งที่อยู่กับเลขหมายโทรศัพท์ให้ทราบ และขอให้สำราญโทรศัพท์ไปหาด้วย เมื่อสำราญกลับมาอยู่ที่บ้านผมที่กรุงเทพ ก็โทรศัพท์ไปหาพี่ทิดสุดหล่อคนนี้ทันที พอได้รับโทรศัพท์และทราบที่อยู่ของสาวในฝัน เขาก็รีบมาซุ่มดูที่หน้าบ้านของผม จนทราบแน่ว่าสำราญอยู่บ้านนี้ต้องปลอดภัยดีแน่ เพราะบ้านนี้มีแต่ลูกสาวสี่คน ไม่มีลูกชายเลย เมียเจ้าของบ้านก็สวย เจ้าของบ้านคงไม่มายุ่งกับสำราญแน่ เมื่อสำราญเห็นสุดหล่อหนุ่มมาซุ่มอยู่หน้าบ้านก็ออกไปคุยด้วย อีกสี่วันต่อมาพี่ทิดก็ขอแต่งงานทันที สำราญก็ตกลง แต่ขอให้ส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอที่สกลนคร เมื่อพี่ทิดส่งขบวนขันหมากไปสู่ขอกับพ่อแม่ของสำราญที่สกลนคร ปรากฏว่าบรรดาพ่อแม่พี่น้องของสำราญ พอเห็นหน้าอันหล่อเหลาและท่าทางสุภาพอ่อนน้อมของสมรักก็ยกลูกสาวให้ทันที แต่สำราญขอเวลาหมั้นกันหนึ่งปีเพื่อดูใจก่อนเพราะเพิ่งพบกันได้สี่วันเท่านั้น ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอ หนึ่งปีต่อมาความรักของทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จได้แต่งงานกันสมความปรารถนาของหัวใจหนุ่ม สำราญก็ลาออกไปจากบ้านผมไปอยู่กับสามีและช่วยสามีหารายได้เลี้ยงครอบครัวด้วยการไปฝึกทำงานเป็นหมอนวดแผนโบราณอยู่ในกรุงเทพ และโทรศัพท์มาเยี่ยมเยียนลูกสาวของผมซึ่งเขาเป็นเพื่อนสนิทกันเป็นประจำ
หลังจากนั้นอีกหกปีต่อมา เมื่อผมต้องนอนอยู่ในห้องไอซียู เมียผมต้องนอนเฝ้าจึงมีปัญหาว่าไม่มีใครทำความสะอาดบ้านและทำอาหารที่บ้าน เพราะก่อนป่วยผมเป็นคนปัดกวาดเช็ดถูบ้านและเมียเป็นคนทำกับข้าว เนื่องจากเราไม่สามารถหาคนทำงานบ้านที่ไว้ใจได้เท่ากับสำราญ พอดีวันนั้นสำราญโทรศัพท์มาคุยที่บ้าน เมียผมจึงบอกว่าที่บ้านกำลังเดือดร้อนเพราะผมป่วยหนัก อยากให้สำราญกลับมาช่วยทำงานที่บ้านอย่างเดิม สำราญก็ตกลงใจมาช่วยทันทีโดยหอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าทิ้งสามีให้ร่อนเร่ว้าเหว่อยู่ตามลำพัง ส่วนลูกสาวซึ่งขณะนั้นอายุสี่ขวบแล้ว ส่งไปให้ตาและยายเลี้ยงที่สกลนคร ครอบครัวของผมจึงพ้นวิกฤติไปได้
สำราญมารอบสองนี้ นอกจากทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารทุกมื้อแล้ว พอว่างลงก็ใช้วิชาหมอนวดแผนโบราณมานวดให้ผมวันละสองครั้งเช้าเย็นทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อของผมแข็งแรงได้เร็วขึ้น เมื่อผมอาการดีขึ้นมากแล้ว สำราญจึงขอตัวลากลับไปอยู่ดูแลสามีและลูกสาวที่สกลนคร (จนกระทั่งอีกเจ็ดปีต่อมา คือเมื่อเดือน มีนาคม 2553 นี่เอง ผมต้องไปเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำ bypass หัวใจอีก ผมจึงโทรศัพท์ไปหาสำราญขอให้กลับมาช่วยภรรยาผมดูแลบ้านและทำครัวให้ด้วย เพราะภรรยาผมต้องไปเฝ้าดูแลผมที่โรงพยาบาล สำราญขณะนั้นช่วยสามีทำไร่ปลูกพริกปลูกผักปลอดสารพิษขายอยู่ที่สกลนคร ธุรกิจกำลังก้าวหน้าดีมาก แต่เมื่อนำความไปปรึกษาสามีของเขาว่าครอบครัวผมกำลังตกอยู่ในความลำบากยุ่งยาก สามีของสำราญซึ่งคุ้นเคยกับครอบครัวของผมดีจึงขอให้สำราญรีบเดินทางเข้ากรุงเทพมาช่วยดูแลครอบครัวของผมทันที และอยู่ช่วยงานบ้านจนผมมีอาการดีขึ้นมากจึงกลับไปอยู่ที่สกลนคร ผมรู้สึกซึ้งในน้ำใจของสำราญซึ่งเป็นคนอิสานที่มีความซื่อสัตย์มาก เพราะคนอิสานเมื่อไปทำงานอยู่บ้านใครและมีความจงรักภักดีกับนายจ้างของตนแล้วก็ไม่มีวันทอดทิ้ง เมื่อทราบว่านายจ้างเก่ากำลังตกอยู่ในความยากลำบากก็จะทิ้งบ้านของตนเดินทางมาช่วยดูแลทันที)
สองสัปดาห์ผ่านไป นักกายภาพบำบัดพยายามฝึกให้ผมใช้มือซ้ายให้คล่องแคล่วขึ้นทัดเทียมกับมือขวา แต่ขาข้างซ้ายไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย ผมพยายามใช้อำนาจสะกดจิตที่เคยเรียนมาสะกดจิตตัวเองสั่งให้หัวแม่เท้ากระดิกอยู่หลายวันจนผลที่สุดรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆวิ่งไปสู่นิ้วโป้ง แต่ยังไม่ยอมกระดิก อีกสองสามวันต่อมาก็เริ่มกระดิกหัวแม่เท้าได้ ผมรู้สึกดีใจมากพยายามสั่งให้กระดิกทั้งห้านิ้วและพยายามกระดกฝ่าเท้าให้ได้ รวมทั้งพยายามยกขาซ้ายขึ้นด้วยจนสำเร็จ นักกายภาพบำบัดเห็นความคืบหน้าอย่างรวดเร็วก็แปลกใจว่าจะเป็นผลของสมุนไพรไร้ชื่อนั้นใช่หรือไม่ จึงได้ฝึกให้ผมลุกขึ้นนั่งทรงตัว ใช้เวลาอีกสองวันผมก็นั่งทรงตัวได้ไม่โงนเงน เขาจึงให้ลงมาฝึกยืนทรงตัวข้างๆเตียง ใช้เวลาอีกสองวันก็ยืนทรงตัวได้ เขาจึงให้หัดเดินทันทีโดยให้เกาะเก้าอี้ผลักไปข้างหน้าพร้อมกับก้าวขาตามเก้าอี้ไป ในสัปดาห์ที่ห้านักกายภาพก็ช่วยหาซื้อไม้เท้าชนิดปลายมีสี่แฉกราคาอันละ 315 บาทมาให้ผมหัดเดิน หัดได้สองวันก็ให้ลองเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้า ซึ่งผมก็เดินเตาะแตะได้เหมือนเด็กหัดใหม่แข่งกับหลานสาวอายุสองขวบเศษ แต่ก็แพ้มันทุกที หลานมันก็พยายามดึงมือผมให้เดินให้ทันกันแต่ไม่สำเร็จ
พอหัดเดินลงจากตัวตึกไปขึ้นรถบนถนนที่โรงรถได้แล้วผมก็คิดว่าจะไปฝึกทำกายภาพที่ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ในความดูแลของกรมการแพทย์ อยู่ที่ซอยติวานนท์ 14 เลยโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ไปเล็กน้อย เพราะข้าราชการเบิกค่ารักษาได้ทั้งหมด ทำให้ประหยัดเงินค่าใช้จ่ายได้อีกเดือนละกว่าหมื่นบาท เพราะผมลดการฝึกที่บ้านจากฝึกทุกวันเหลือเพียงสัปดาห์ละหนึ่งวัน
วันแรกที่ไปที่ศูนย์สิรินธร ผมออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมงเช้า ไปถึงมีคนไข้เต็มหมดแล้วล้วนแต่คนพิการมาจากทั่วประเทศไทยทั้งสิ้น มีป้ายติดไว้ว่าวันนี้รับคนไข้ใหม่ได้ 51 คน ผมเป็นคนที่ 46 ถ้ามาข้ากว่านี้คงต้องรอวันหลัง คนไข้ใหม่ต้องไปกรอกแบบพิมพ์ลงทะเบียน มีคนป่วยคนหนึ่งเป็นคนจีนมากับลูกสาว นั่งกรอกแบบฟอร์มอยู่โต๊ะเดียวกับผม ผมอยากรู้ว่าแกเป็นอะไรก็พยายามเลื่อนเก้าอี้ล้อเลื่อนเข้าไปใกล้ๆ แกก็พยายามเลื่อนหนี คงจะอายความพิการของแก ผมก็เลยถามแกดังๆว่าเป็นอะไรไป แกก็มีท่าทีผ่อนคลายขึ้น ตอบว่าเป็นโรคเส้น เป็นมาหกปีแล้ว เริ่มเป็นทีแรกยืนอยู่ดีๆก็แข้งขาอ่อนไปหมดล้มลงแล้วลุกขึ้นยืนอีกไม่ได้เลย เพื่อนบ้านบอกว่ามีหมอเก่งทางจับเส้นรักษาหายมาหลายคนแล้ว มีคลินิกอยู่ในซอยโชคชัย 4 ลาดพร้าว ลูกสาวแกก็พาไปหาหมอที่คลินิก หมอตรวจแล้วบอกว่าเป็นโรคเส้นอ่อน (แต่ผมคิดว่าแกเป็นโรคเส้นเลือดแตกในสมองมากกว่า) หมอบอกว่านวดไม่กี่ทีก็หายแต่แกนวดมาหกปีแล้วไม่หายเสียเงินไปมาก ยิ่งนวดไปอาการยิ่งทรุดลงทุกทีคือมือสั่นกระตุกอยู่ตลอดเวลา ลูกสาวแกไปปรึกษาเพื่อนๆแนะนำว่าให้ไปโรงพยาบาลดีกว่าเสียเวลาไปตั้งหกปีแล้ว และแนะนำว่าควรจะมาที่ศูนย์สิรินธร แกจึงพาเตี่ยมาวันเดียวกับผม พอกรอกแบบฟอร์มเสร็จผมก็ไปยื่นแบบแล้วรอเรียก อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเขาก็เรียกให้ผมไปรอการจัดคิวพบแพทย์ มีคนไข้รออยู่มากมายแล้ว ผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็นว่าเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่ มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เด็กสี่ขวบก็มี ผมพยายามเลื่อนเก้าอี้ไปใกล้ๆคนที่พอจะมีหน้าตาเป็นมิตร แต่ทุกคนเลื่อนเก้าอี้หนีไปหมด พอดีมีเด็กหนุ่มหน้าเศร้าคนหนึ่ง แม่เขาเข็นเก้าอี้มารอคิวอยู่ข้างๆผม ผมก็ถามว่าเป็นอะไรไปยังหนุ่มแท้ๆ อย่าวิตกไปเลยอีกไม่ช้าคงหาย เขาตอบว่าคงไม่หายหรอกลุง ผมคงจะตายในไม่ช้า เพราะเป็นโรค M.S. ผมฟังไม่ชัดก็บอกว่า M.S.มันจะทำให้ตายได้ยังไง ผมก็ M.S.เหมือนกันอายุ 73 ปีแล้วและคิดว่าผมคงจะหายในไม่ช้า คุณเป็นมานานเท่าไหร่แล้ว เขาบอกว่าเป็นตั้งแต่อายุสามขวบรักษามาจนอายุ 24 อาการหนักลงทุกวัน ผมบอกว่าทำไมคุณจบ M.S.เร็วนักแค่สามขวบเท่านั้นเอง ผมเรียนจบเมื่อเกือบอายุสามสิบและเพิ่งเป็นอัมพาตเมื่อสองเดือนนี้เอง เขาถามผมว่า M.S.ของลุงแปลว่าอะไร ผมก็บอกว่ามาจากคำว่า Master of Science แปลว่าวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา ของคุณจบจากมหาวิทยาลัยไหนจึงเรียนจบได้ตั้งแต่สามขวบ ผมฟังผิดไปหรือเปล่า หนุ่มโชคร้ายผู้นั้นบอกว่า M.S.ของเขาไม่ใช่ตัวย่อชื่อปริญญา แต่เป็นชื่อย่อของโรค Multiple Sclerosis ทั้งครอบครัวมีเขาเป็นเพียงคนเดียว ผมรู้สึกหดหู่ใจแทนเจ้าหนุ่มคนนี้มาก เพราะM.S.ของเขามันไม่ใช่โรคแต่เป็นความบกพร่องหรือความพิการของสมอง ปัจจุบันนี้แพทย์ทั่วโลกยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ผู้ป่วยจะเริ่มจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพลีย กลายเป็นอัมพาตและเสียชีวิตในที่สุด ตอนนี้แกเป็นอัมพาตไปทั้งตัวแล้ว ใกล้ตายเต็มที แต่แม่แกก็พยายามดิ้นรนหาทางต่อชีวิตให้ลูก รู้ว่าที่ไหนมีหมอรักษาอัมพาตได้แกก็พาลูกชายตะรอน ๆ ไปทั่ว พอดีเจ้าหน้าที่เรียกผมไปต่อคิวพบแพทย์ชื่อแพทย์หญิงยิ่งสุมาลย์เป็นรายที่ 16 จึงต้องเลิกคุยกัน แต่ระหว่างรอพบแพทย์ผมก็ได้คุยกับผู้ป่วยเคราะห์ร้ายอีกหลายคน ส่วนมากเป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตกแทบทุกคน แพทย์หญิงยิ่งสุมาลย์ตรวจอาการอัมพาตของผมแล้วก็ส่งผมไปห้องทำกายภาพบำบัด และทำกิจกรรมบำบัดและอบไฟฟ้าทันที ที่ห้องภายภาพบำบัดมีผู้ป่วยรอขึ้นเตียงแน่นไปหมด เตียงไหนว่างก็รีบแย่งลงไปนอนเลย ผมนั่งเก้าอี้ลังเลอยู่พักหนึ่ง คนไข้เตียงหนึ่งเห็นผมเป็นคนไข้ใหม่ ก็แนะนำว่าอย่ารอเฉยๆถ้าเห็นเตียงไหนมีคนไข้ลุกออกไปให้รีบลงนอนแทนทันที พอดีมีเตียงหนึ่งว่างผมก็ลงไปนอน สักครู่ก็มีนักกายภาพหญิงมาแนะนำตัวว่าชื่อกุลธิดา เป็นนักกายภาพประจำตัวผม มาถามอาการว่าแขนซ้ายทำอะไรได้บ้าง ผมก็บอกว่าทำได้หลายอย่าง เช่น แคะขี้มูกเล่นในเวลาว่างบ้าง เกาขาเล่นบ้าง คุณกุลธิดาเป็นคนอารมณ์ดี พูดเสียงเบาๆน่ารัก ชื่อก็เหมือนชื่อเมียผมด้วย เวลาแกดัดแขนดัดไหล่ผม แกจับอย่างทะนุถนอมมาก พอบอกว่าเจ็บแกก็หยุด ผิดกับเตียงข้างๆซึ่งเป็นหญิงเชื้อสายจีน เส้นโลหิตในสมองซีกซ้ายตีบ เป็นอัมพาตด้านขวา พอถูกนักกายภาพดึงแขนขวาให้ตึงแกร้องโหยหวนเหมือนจะถูกฆ่า สามีต้องพยายามเอามือปิดปากไว้เพราะอายคนอื่น แต่นักกายภาพก็ยังคงดัดดึงต่อไป ผมถามคุณกุลธิดาว่าเหตุใดจึงไม่หยุดการดึงเพราะแกร้องโหยหวนอย่างนั้น ได้รับคำตอบว่าแกอาจจะไม่เจ็บมากจริงหรอก คงเป็นเพราะสมองบางส่วนพิการไม่สามารถคุมอารมณ์ได้ เจ็บนิดหน่อยก็ร้องโวยวาย เจอะอย่างนี้มาหลายรายแล้ว ผู้ป่วยรายนี้เพิ่งเป็นมาได้เดือนเศษ อายุ 68 ปี สามีอายุ 66 ปี เพิ่งเส้นเลือดในสมองแตกมาได้เดือนเศษ ตอนหลังเรานอนคุยกัน พอแกทราบว่าผมอายุ 73 ปีและป่วยมาสองเดือนแล้ว ตอนนี้ลุกนั่งและเดินได้บ้างแล้ว แกก็ดีใจว่าแกคงอาการดีขึ้นเร็วอย่างผมบ้าง
ยังมีคนไข้อีกหลายคนที่ผมหาโอกาสไปคุยด้วย ทีแรกส่วนมากไม่ยอมคุย มักจะหลบสายตาเมื่อรู้ว่าเราจะพูดด้วย ผมรู้ว่าเขาอายในความพิการของตัวเอง แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรจะอายเพราะเราก็พิการด้วยกันทั้งนั้น ในห้องกายภาพบำบัดนี้พวกเราก็ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกอยู่ในนรกขุมเดียวกันแล้วจะอายกันไปทำไม พอได้พูดคุยกันซักครู่ก็เป็นกันเองขึ้น แม่ชีคนหนึ่งมาจากเชียงรายนั่งกินข้าวอยู่ดี ๆ ก็ล้มหงายตกเก้าอี้ไปเฉยๆ ปรากฏว่าเส้นเลือดในสมองตีบอุดตัน พูดจาไม่ได้อ่อนเปียกไปทั้งตัว ทางโรงพยาบาลที่เชียงรายส่งต่อมาทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์นี้ ต้องหามกันร่องแร่งขึ้นเครื่องบินมาเลยทีเดียว มีอีกหลายคนเช่นชายคนหนึ่งท่าทางยังหนุ่มแน่นนั่งทำกิจกรรมบำบัดอยู่โต๊ะเดียวกับผม ผมกำลังใช้สไลด์บอร์ดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของไหล่ ส่วนผู้ชายคนนี้นั่งปั่นจักรยานมืออยู่ตรงข้าม มีภรรยาสาวสวยนั่งเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ผมถามว่าป่วยเป็นอะไร ดูยังหนุ่มอยู่แท้ๆ ได้รับคำตอบว่าเขาอายุ 44 ปี เส้นโลหิตตีบในสมอง เป็นมาสองปีแล้ว และนี่เป็นการตีบครั้งที่สอง ผมถามว่าความดันสูงใช่หรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ใช่หรอก เขาคงป่วยเพราะเป็นคนดีเกินไป ผมถามว่าเป็นคนดีทำไมถึงป่วย เขาบอกว่าเพราะเขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวผู้หญิง พระเจ้าจึงลงโทษเขา ถ้าหายคราวนี้เขาจะเอาทุกอย่าง ผมก็บอกเขาว่ามันก็แปลกเพราะผมเองก็ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ไม่เที่ยวผู้หญิงเหมือนกัน แต่อยู่ดีๆเส้นโลหิตในสมองก็แตก หรือว่าพระเจ้าคงเกลียดหน้าผมด้วยเหมือนกันทั้ง ๆที่ผมนับถือศาสนาพุทธ ไม่มีเรื่องของพระเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม เส้นเลือดในสมองผมแตกมาสองเดือน ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เมียชายคนนั้นพูดกับสามีของเขาว่าคุณไม่ได้ป่วยเพราะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะเป็นคนดีเกินไปหรอก ทีเพื่อนคุณตั้งหลายคนที่กินทั้งเหล้า สูบทั้งบุหรี่ เที่ยวโสเภณี เส้นเลือดแตกบางคนก็ตายไปเลย บางคนก็ยังไม่หายจนบัดนี้ แต่ของคุณเพิ่งแค่สองปีก็ดีขึ้นมากแล้ว ดูลุงคนนี้สิเป็นคนดีเหมือนคุณแค่สองเดือนเขาก็เดินได้แล้ว อย่าไปโทษพระเจ้าเลย สามีแกได้ฟังแล้วก็ยังคงนั่งทำหน้าอมทุกข์ และปั่นจักรยานมือต่อไป ยังมีผู้ป่วยอีกหลายคนที่ผมคุยด้วยมีประวัติการป่วยน่าสนใจมากแต่จะเล่าให้หมดทุกคนก็ยาวเกินไป
ในห้องกิจกรรมบำบัด นักกายภาพครูฝึกประจำตัวผมชื่อคุณแอร์ เป็นคนน่ารักมาก เพิ่งจบวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขากายภาพบำบัดจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาให้ผมฝึกทำกิจกรรมบำบัดหลายอย่าง เช่นให้ปั่นจักรยานมือ เขี่ยลูกคิด ดึง Putty เลื่อนกระดานสไลด์บอร์ด และฝึกเดินเกาะราว ต่อมาให้ฝึกเดินโดยใช้ walker แต่การใช้ walker เดินมันไม่สะดวกสำหรับผมเพราะมันกระโดกกระเดก ขามักจะสะดุดก้าน walker เสมอ ผมเลยยกมันพาดบ่าเดินเท้าเปล่าไปเลย ต่อมามีหมวยคนหนึ่งที่มาเฝ้าแม่คนที่ร้องโหยหวนเวลาถูกดัดแขน ถามผมว่าลุงเดินได้เก่งแล้วนี่ทำไมต้องมาแบก walkerให้มันหนัก ผมก็บอกว่าครูฝึกเขาสั่งให้ใช้ walker ผมก็ใช้ แต่ที่ไม่ได้ใช้เกาะเดินเพราะเห็นว่าใช้แบกสะดวกดีกว่าเพราะมันทำให้ทรงตัวได้ดีกว่าเดินตัวเปล่า ซึ่งครูฝึกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขาเป็นคนอารมณ์ดีน่ารักมาก คนไข้ในห้องมองผมด้วยความอัศจรรย์ ผมเลยเป็นที่รู้จักของคนไข้แทบทั้งห้อง
มีคนไข้หญิงคนหนึ่งผิวขาว สวย หมวย อึ๋ม ท่าทางอาย ๆ มานั่งรอคิวทำกิจกรรมบำบัดอยู่กับชายกลางคนซึ่งคงเป็นพ่อ เพราะอุปกรณ์ฝึกยังไม่ว่าง ผมเห็นครั้งแรกตกใจคิดว่าเป็นเพื่อนสาวของผมคนหนึ่ง เพราะผิวขาวสวยเหมือนกัน หุ่นก็พอๆกัน จึงพยายามหาโอกาสไปสัมภาษณ์ จนวันสุดท้ายที่ผมจะต้องทำกิจกรรมบำบัดเนื่องจากแพทย์หญิงยิ่งสุมาลย์ให้ผมเลิกมาบำบัดได้เพราะเดินได้คล่องและใช้มือซ้ายได้ดีแล้ว เช้าวันนั้นผมเห็นสาวสวยผู้นี้แอบขึ้นบันไดหลัง หลบไปนั่งรอทำกิจกรรมฝึกแขนขวาด้วยการเขี่ยแถวลูกคิดอยู่คนเดียวก่อนห้องเปิด พอห้องเปิดผมก็เข้าไปยึดโต๊ะนั่งเขี่ยลูกคิดคู่กับแกที่โต๊ะเดียวกัน ถือโอกาสถามเรื่องอาการป่วยของแกว่าแกดูยังสาวสวยมากป่วยเป็นอะไรไป แกบอกว่าแกอายุ 26 ปี จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก มาหางานทำอยู่กรุงเทพ พ่อแม่แกก็ดีใจที่ลูกจบปริญญาตรีจะได้มีงานทำไม่เป็นภาระกับครอบครัวอีก วันหนึ่งแกรู้สึกไม่สบายจึงนั่งแท็กซี่จากบ้านเช่าไปที่โรงพยาบาลจุฬา ตอนเดินไปขึ้นแท็กซี่ก็ยังดีๆอยู่ ระหว่างทางรู้สึกเพลียขึ้นทุกทีก็คิดว่าอาจจะถูกคนขับแท็กซี่รมยาสลบก็ได้ พอถึงโรงพยาบาลลงจากรถไม่ได้ ทั้งแขนทั้งขาหมดแรงไปเฉยๆต้องเรียกบุรุษพยาบาลหามเข้าโรงพยาบาล ผลการตรวจปรากฏว่าเส้นเลือดแดงที่ก้านสมองตีบ กลายเป็นอัมพาตทันทีโดยไม่มีอาการล่วงหน้ามาก่อน พ่อแม่แกที่เคยหวังจะพึ่งแกจึงต้องย้ายบ้านจากพิษณุโลกเพื่อมาดูแลแกที่กรุงเทพ ผมถามว่าความดันสูงหรือไม่ ไขมันสูงหรือไม่ เครียดเพราะผิดหวังเรื่องแฟนหรือเปล่า แกบอกว่าความดันปกติ ไขมันปกติเพราะตรวจสุขภาพทุกปี ไม่เคยผิดหวังเรื่องความรัก เพราะยังไม่เคยรักใครและไม่มีใครมาบอกรักสักคน ทั้งๆที่ก่อนป่วยหุ่นแกดีกว่านี้อีก ไม่ทราบว่ามันเป็นไปได้ยังไง รักษามาสี่ปีแล้ว แค่พอจะเดินได้บ้างแต่แขนขวายังเคลื่อนไหวไม่ได้ เห็นแล้วน่าสงสารแกมาก ไอ้โรคอุบาทว์นี่ทำให้หนุ่มสาวที่จะเป็นกำลังของชาติในอนาคตต้องหมดสิ้นอนาคตไปเลย
ผมเข้าใจว่าแกคงกินอาหารใส่ผงชูรสมากเกินไปเป็นประจำก็ได้ เพราะผงชูรสมีคุณสมบัติทำให้เลือดข้นเป็นลิ่ม หากมีหลอดเลือดส่วนใดในร่างกายตีบกว่าปกติ ไขมันในเลือดจะไปพอกหลอดเลือดส่วนนั้นให้ตีบแคบลงทุกทีเป็นเวลาหลายปีจนถูกลิ่มเลือดที่เหนียวหนืดเพราะผลของผงชูรสอุดตันได้ในที่สุด ผมเคยอ่านพบว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งชอบตำส้มตำกินทุกวัน เวลาตำส้มตำแกก็ตักผงชูรสใส่ลงไปครั้งละหนึ่งช้อนโต๊ะ ไม่กี่ปีต่อมาก็กลายเป็นอัมพาตทั้งตัวเพราะหลอดเลือดสมองอุดตัน ทั้งๆที่ความดันและไขมันปกติ แต่รายนั้นไม่ได้รักษาเนื่องจากเป็นคนจนอยู่ในชนบทจึงกลายเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต
มีอยู่วันหนึ่งผมลงไปรับประทานอาหารกลางวันที่สวนอาหารของศูนย์สิรินธร พบผู้สูงอายุท่าทางภูมิฐานท่านหนึ่งกำลังนั่งทานอาหารอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน มีญาติมิตรและเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศูนย์นั่งร่วมอยู่ด้วย ขณะนั้นมีผู้ป่วยอัมพาตรายอื่น ๆ ที่กำลังทานอาหารอยู่ก่อนแล้วได้โบกมือทักทายผมเกรียวกราวเพราะคุ้นเคยกันดี ผมก็สอบถามดูว่าท่านผู้สูงอายุท่านนั้นเป็นใครจึงทราบว่า เป็นบิดาของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น คือคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์) เส้นโลหิตในสมองซีกขวาตีบมาสองปีแล้วมาฝึกทำกายภาพที่นี่ ขณะนี้อาการดีขึ้นมากแต่ยังใช้มือซ้ายจับส้อมไม่ได้ แสดงว่าโรคหลอดเลือดตีบหรือแตกนี้ไม่เลือกชั้นวรรณะ ผู้ดีมีจนมีโอกาสเป็นเท่าเทียมกันหมด เมื่อเป็นแล้วโอกาสหายแทบไม่มีหรือมีน้อยมาก
รวมเวลาที่ผมทำกายภาพอยู่ที่ศูนย์สิรินธรสองสัปดาห์ เขาก็ไม่ยอมให้ผมอยู่เพราะอาการของผมดีขึ้นมากจนอุปกรณ์ฟื้นฟูสภาพแทบไม่มีประโยชน์สำหรับผมแล้ว และยังมีคนไข้หนักกว่าผมรอคิวอยู่อีกมาก อนึ่ง ผมมีข้อสังเกตอยู่ข้อหนึ่งว่า เท่าที่ผมคุยกับคนไข้นับสิบคนที่ศูนย์ ได้ความจริงข้อหนึ่งว่าหลายคนตีบหรือแตกเป็นครั้งที่สอง จึงพอสรุปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดตีบหรือแตกมีโอกาสจะเป็นซ้ำอีกได้ในระยะเวลาประมาณไม่เกินสิบสองปี การเป็นซ้ำครั้งที่สองจะหนักกว่าเดิมและโอกาสฟื้นสภาพจะน้อยมาก
สุดท้ายนี้ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้แม้จะยังมีเรื่องที่น่าสนใจเล่าอีกมากก็ตาม และขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านปลอดภัยจากโรคหลอดเลือด มีสุขภาพพลานามัยดีตลอดจนสิ้นอายุขัย สำหรับผมขณะนี้ร่างกายซีกซ้ายคืนสภาพได้เกือบ 100 % แล้ว อนึ่ง ผมขอแถมอีกนิดเพราะยังจบไม่ลง คือท่านคงจำข้อมูลที่คุณหมอท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในแต่ละปี มีคนไทยป่วยเกี่ยวกับโรคหลอดเลือด ต้องเสียชีวิตหรือเป็นอัมพาตประมาณ 150,000 คน ท่านคิดหรือไม่ว่ามัจจุราชเงียบอาจใส่ชื่อของท่านคนใดคนหนึ่งลงในบัญชี 150,000 คนนี้ในปีใดปีหนึ่งแล้วก็ได้ ผมคนหนึ่งละที่โดนเข้าไปก่อนแล้ว ผมคิดว่าต่อไปนี้เราควรป้องกันตัวไว้ก่อนด้วยการงดกินอาหารเค็มจัด งดเนื้อสัตว์ติดมัน กินผักมากๆ งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายให้มาก ตรวจสุขภาพเป็นประจำกินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะเจ้ามัจจุราชเงียบตัวนี้มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเราก็หมดสภาพ หมดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ แต่ต้องใช้เวลานานนับเดือนนับปีกว่าจะหลุดพ้นกลับคืนสภาพเดิมของเราได้
แม้หวังตั้งสงบ จงตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ จะได้สู้ริปูสลาย
ด้วยความปรารถนาดีจาก
เฉลิมศักดิ์
อดีตอธิบดีกรมทะเบียนการค้า อดีตรองปลัดกระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ
เหตุการณ์ในบันทึกทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 ปัจจุบันผมหายเกือบเป็นปกติแล้ว เพราะพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา แต่พอจะเป็นปกติก็เกิดเป็นโรคหัวใจขึ้นมาอีก โดยเส้นเลือดสำคัญ ๆ ที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจถูกแคลเซี่ยมอุดตันหมดทั้งสามเส้น แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ด้วยความสามารถของแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดให้ผมสี่เส้น จึงรอดชีวิตมาได้ ผมอาจเป็นคนดีเกินไปพระเจ้าจึงไม่ชอบหน้าผม และพยายามสรรหาโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงมาให้ผมตลอดเวลา เหมือนดังที่คนไข้คนหนึ่งพูดด้วยความน้อยใจว่า เพราะเขาดีเกินไปไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวโสเภณี จึงถูกพระเจ้าลงโทษ อย่างไรก็ดี โดยที่ผมนับถือพุทธสาสนา ไม่มีเรื่องของพระเจ้ามาเกี่ยวข้องให้คุณให้โทษ ดังนั้นหากพระเจ้ามีจริงท่านคงไม่ยุ่งกับผมซึ่งเป็นคนนอกศาสนาก็ได้.
- บล็อกของ Niyom
- อ่าน 9345 ครั้ง
ความเห็น
แดง อุบล
6 สิงหาคม, 2010 - 11:03
Permalink
ยาว
ให้ความรู้ค่ะ ขอบคุณที่บอกเล่าค่ะ
"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"
Nee
6 สิงหาคม, 2010 - 11:06
Permalink
ขอบคุณสำหรับ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่นำมาให้อ่าน อ่านมาตั้งแต่เช้า พร้อมทำงาน ได้ครึ่งเดี่ยวเดี่ยวกลับมาอ่านต่อ
หน้า