น้ำหมักชีวภาพ : 5 วันเต็มของคนบ้าการเกษตร ( 5 Days Project)

หมวดหมู่ของบล็อก: 

พฤษาคมปีที่แล้ว ไร่สวนฝัน ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมความฝัน และความคิดที่วาดหวังว่าสักวันจะลาออกจากงานประจำ มาเป็นเกษตรกรเต็มตัว พร้อมวางแผนแบบคร่าวๆ ว่าอีกประมาณ 3-5 ปีน่าจะลาออกได้ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้ทำหลายอย่างที่ไม่เคยทำ อย่างที่เคยได้เล่าไปใน blog ก่อนหน้านี้  แต่ตลอดปีก็ไม่มีครั้งไหนที่จะได้อยู่ที่ไร่และทำงานต่อเนื่องแบบยาวๆ  ส่วนใหญ่ก็ทำงานเกษตรบ้าง เที่ยวบ้าง ผักผ่อนบ้างหรือทที่เรียกว่าอู้ นั่นเอง 55

แต่เดือนนี้ถือเป็นเดือนพิเศษ ครบรอบ 1 ปี เลยลางานบวกติดกับช่วงวันหยุดเพื่อไปเป็นเกษตรกรแบบเต็มเวลา 5 วัน  โดยมีเป่าหมายหลัก คือ การทำน้ำหมักชีวภาพแบบจริงจัง  ก่อนหน้านี้เคยทดลองหมัก ไคโตซาน อย่างที่เคยเขียน blog ไป แต่เนื่องจากยังไม่ครบกำหนดใช้ ก็เลยยังไม่ได้ลองว่าผลเป็นยังไง

ช่วงนี้เชื้อรา และแมลงต่างๆ ก็ระบาดค่อนข้างเยอะ ดอกไม้บางอย่างก็เสียหายตายไปก็มี เลยคิดว่า อย่ากระนั้นเลย น้ำหมักอาจเป็นทางออก พอเริ่มหาข้อมูลก็ได้เจอ น้ำหมัก 7 รส ของอาจารย์ยักษ์ และสารพัดสูตรน้ำหมักชีวภาพในอินเตอร์เน็ต แต่มีน้อยมากที่จะบอกว่าสูตรน้ำหมักที่ว่าได้ผลหรือไม่ และใครที่เคยทำแล้วได้ผลจริง ในระหว่างที่ยังคิดไม่ตกว่าจะทำน้ำหมักอะไรบ้าง แต่คิดไว้ว่ายังไงก็ต้องทำน้ำหมัก 7 รส แน่นอน ก็ต้องทำงานอื่นไปก่อน

วันแรก : เริ่มต้นจากไปรับต้นกล้าพุดซ้อน 500 ต้นที่เคยสั่งซื้อไว้

     

บ่ายๆ ก็ช่วยแม่ถอนหญ้าในสารพัดแปลงผัก แปลงนี้สารพัดสลัด

ด้านล่างนี้ผักแพรวนะคะ

ในระหว่างนั้นพ่อก็ขุดหลุมเตรียมปลูก มังคุดและต้นพุดซ้อน  ตอนเย็นๆ เจ้ามังคุดก็ได้ลงสู่แปลงปลูกแย้ว

เหนื่อยก็มาแอบอู้ พักตรงนี้นิดนึงนะคะ

พอหิวก็ไปหาอะไรกินนิดนึงนะคะ ลูกหว้าแก้หิว กินเข้าไปถึงรู้ว่า มันไม่ได้อร่อยเท่าไหร่ รสชาติฝาด อมเปรี้ยวและอมหวาน นิดเดียว ขอย้ำว่านิดเดียวจริง ๆ คะ ไม่น่าหาเรื่องแย่งอาหารมดแดงเลย แต่ลูกหว้าก็มีสรรพคุณทางยา กินไปแอบบ่นไป แต่ก็กินหมดนะคะ

 

 

ต้นหว้าเขาหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

เริ่มงานวันแรกก็นอนหลังเที่ยงคืนแล้ว เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำน้ำหมักอะไร ตอนกลางคืนก็ทั้งดู youtube อ่านในเน็ต อ่านจนเบลอไปหมด จนสุดท้ายเริ่มจบตรงที่ มานั่งพิจารณาว่าปัญหาของไร่เราคืออะไรกันแน่ จะแก้ที่อะไรก่อน คืนนั้นได้ข้อสรุป ทำน้ำหมัก 7 รสนี้แหละ มันครอบจักรวาลและแก้ได้ทั้งหมดดี แต่มันยากตรงที่ ต้องทำ 7 อย่างนี้แหละ ตอนนั้นก็คิดว่ามันคงไม่ยากเกินไป ได้ข้อสรุปแล้วก็นอนหลับ

วันที่สอง : ออร์เดอร์ดอกคัตเตอร์ สะรแหน่ และโหระพา และน้ำหมักมะพร้าว

 ตื่นแต่เช้ามาช่วยพ่อแม่ เก็บดอกไม้และผัก

  

บ่ายแก่ๆ ก็ไปส่งผักในเมือง ภาพนี้เป็น เขาฉกรรจ์ อำเภอที่เป็นที่ตั้งของ ไร่สวนฝัน

บางมุมของเขาฉกรรจ์

เย็นกลับถึงบ้าน ก็เริ่มน้ำหมักแรก ด้วยน้ำหมักมะพร้าว ตอนแรกไม่ได้อยู่ในแผนที่จะทำ แต่เนื่องจากเคยอ่านเจอเรื่อง ยูเรียธรรมชาติจากการหมักมะพร้าว และขณะเดินตลาดก็เห็นว่ามีร้านขายมะพร้าวขูด เลยคืดจะซื้อทั้งน้ำและเนื้อ แต่น้ำมะพร้าวแม่ค้าเททิ้งหมดแล้ว เลยได้มาแต่เนื้อมะพร้าว ได้มะพร้าวมาแล้วลองมาค้นรายละเอียดของสูตรอีกที ปรากฎว่าข้อมูลน้อยมาก แค่บอกว่ามะพร้าว 3 กิโล น้ำ 5ล หมักไว้ 2 คืน แต่ไม่บอกว่าใช้ขนาดเท่าไหร่ ดีจังเลยได้แต่อึ้ง และคิดไปเองว่าเอามะพร้าวมาหมักไว้เฉยๆ 2 วันมันก็ต้องบูด และเปรี้ยว มันจะใช้แน่เหรอ เลยหาทางประยุกต์สูตร ด้วยการใช้หลักการพื้นฐานของการทำน้ำหมักที่อ่านมา คือ ต้องมีจุลินทร์ ซึ่งมีแล้ว คือ EM และมีอาหารจุลิทรีย์ นั้นคือน้ำตาล ดังนั้นก็ประยุกต์สูตรซะเลย = เนื่้อมะพร้าว  3 กิโล+หัวเชื้อ EM 2 ช้อน+น้ำตาลทรายแดง 1 กิโล

 

  

หมักครบ 2 วัน หน้าตาจะเป็นแบนนี้นะคะ

ถ่ายในขณะที่มือเลอะมาก ภาพเลยเบลอ น้ำหมักที่กรองเอากากออกแล้ว พร้อมใช้งาน 

ด้วยความที่ต้องการใช้พร้อมใช้งาน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เลยกรอกใส่ขวด แต่เพราะน้้ำหมักจากมะพร้าวมีแก๊สเปรี้ยว เหมือนการเน่าเสีย เมื่ออยู่ในขวดแก๊สไหลเวียนไม่ได้ เมื่อเปิดขวด เสียงแก๊สจะพุ่งหรือบางขวดก็ระเบิดเสียงดัง คล้ายการเปิดขวดน้ำอัดลมที่ผ่านการเขย่า นิ้วก้อยดีจังสังเวยความไม่รู้นี้ไปเลยได้แผลลวกจากการที่แก๊สพุ่งใส่ หลังจากพยายามเปิดขวดเพื่อเทกลับไปไว้ในถังเหมือนเดิม เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การประมาทและรู้เท่าไม่ถึงการณ์นำความเจ็บปวดมาสู่เราได้เสมอนะเออ

จริงๆ คืนนี้ก่อนที่จะมานั่งทำน้ำหมัก ก็ช่วยแม่ทำกิมจิไปพลางๆ หน้ากิมจิสูตรแม่ก็จะเป็นแบบนี้ละคะ

ใส่กระปุกไว้ 2 วันก็จะเปรี้ยวพอดีทาน จากนั้นก็เก็เข้าตู้เย็นเพื่อเก็บไว้ทานหลายวันค่ะ

วันที่สาม : ออร์เดอร์ดอกสร้อยดอกและเริ่มทำน้ำหมักชีวภาพ

ตื่นแต่เช้าอีกแล้ว มาตัดสร้อยทอง บ่ายๆ ก็ไปส่งดอกไม้

 

ส่งดอกไม้เสร็จ ก็ถึงเวลาภาระกิจน้ำหมัก เดินดูถังกันตั้งหลายร้าน ตอนแรกจะซื้อถังหมัก 100ล 7 ถัง แต่ราคาถังหมักมันแพงเหลือเกิน หลายร้อยมาก เลยตัดสินใจลดขนาดถังลง เป็นเล็ก 16ล และเอาแบบไม่แพง ถังละ 100  3 ถัง และถัง 60ล ราคา 350 บาท 1 ถัง จากนั้นก็ต้องไปซื้อ หัวเชื้อ EM และน้ำตาลซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหมัก  เนื่องจากต้องการลดความเสี่ยงเรื่องสารพิษตกค้างในกากน้ำตาล เลยใช้น้ำตาลแดงแทน ซึ่งราคาจะสูงกว่ากากน้ำตาล

น้ำหมักอย่างแรกก็ได้เริ่มขึ้นด้วย นั่นคือ น้ำหมักรสจืด : เพื่อการบำรุงดินและล้างสารพิษในดิน หมักจากผักรสจืด เช่น ผักบุ้ง กระถิ่น ผักโขม ดีจังใส่ต้นกล้วยด้วยเพราะอยากให้มันมีสรรพคุณบำรุงลำต้น เพราะที่ไร่เป็นพืชต้นและใบค่อนข้างเยอะ โดยมีสัดส่วนคือ ผัก 3 กิโล น้ำตาล 1 กิโล น้ำ 20 ล ถ้าต้องการหมักมากกว่านี้ก็เพิ่มตามสัดส่วน เนื่องจาก น้ำหมักสรจืดเป็นพื้นฐานที่ทำให้ดินแข็งแรง ตามคอนเซ็ปอาจารย์ยักษ์ "เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช" เลยตั้งใจหมักเยอะ และสามารถนำไปเป็นหัวเชื้อ EM ขยายทำอย่างอื่นได้ด้วย

กว่าน้ำหมักรสจืดจะเสร็จก็เย็นย่ำ เพราะต้องเดินหาวัตถุดิบ และนั่งสับให้เป็นชิ้นเล็ก ซึ่งทั้งหมดนี้แม่ก็มาช่วยทำตลอด แต่ด้วยความบ้าของดีจัง มันไม่จบแค่นี้ เพราะตอนนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว เหลือเวลาแค่ 2 วันแต่เพิ่งทำน้ำหมักได้แค่อย่างเดียว อย่ากระนั้นเลย ทำอีกอย่างตอนกลางคืนละกัน  นั้นก็คือน้ำหมักใบมะละกอเพื่อแก้โรคราสนิมน้ำค้างในสร้อยทอง และช่วยไล่แมลงด้วย  เช่นเดิม ข้อมูลของสูตร แตกต่างหลากหลาย บางสูตรก็บอกว่าใช้ใบมะละกอ1 กิโล น้ำ 5 กิโล บางสูตรก็บอก 5 กิโล น้ำ 5 ลิตร คือมันแตกต่างกันมาก และบางสูตรก็บอกว่าาทำเสร็จใช้ได้เลย บางสูตรก็บอกให้หมักไว้ก่อน 24 ชม สัดส่วนในการใช้ บ้างก็บอกไม่ต้องผสมน้ำแล้ว บ้างก็บอกใช้ 4-5 ช้อนต่อน้ำ 20ล มันเป็นอะไรที่ไม่รู้จะเชื่อใคร เลยเชื่อตัวเอง

คือในระหว่างที่เก็บใบมะละกอ ค่อนข้างเชื่อไปในสูตร 5:5 ในสูตรเขาให้ขยี้ใบมะละกอแช่น้ำ แต่ดีจังคิดว่ากว่าจะขยี้ได้ 5 โล มือคงไปก่อนแล้วเพราะยางมะละกอ แม้จะใส่ถุงมือก็ไม่น่ารอด เลยปรับเป็นเอามาปั่น แต่ในระหว่างปั่น น้ำ 5 ลิตรมันไม่พอ เพราะในระหว่างปั่นก็ต้องมีน้ำหล่อเลี้ยง เลยต้องปรับสูตรเป็น น้ำ 20 ล คล้ายสูตรแรก (เนื่องจากเก็บใบมะละตอนเย็นและทำตอนกลางคืนเลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้นะคะ) และแบ่งเป็น 2 ถัง คือถังแรกเป็นใบมะละกอเพียว ส่วนถังที่สองผสมยาฉุน จริงๆ ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ปาไปหลังเที่ยงคืนแล้วและหมดสภาพมาก  จริงๆ ตั้งใจว่ารุ่งขึ้นจะตื่นเช้าเพื่อเอาไปฉีด แต่อีกใจก็ลังเลว่ายังไม่ได้ทดลองเลยว่าจะใช้สัดส่วนเท่าไหร่ รุ่งขึ้นเลยตัดสินใจยังไม่ฉีด แต่เอาไปทดลองรดผักดูก่อนว่าจะเป็นอะไรไหม ซึ่งก็ต้องใช้เวลาเป็นวันถึงจะรู้ผล ซึ่งพอวันุร่งขึ้นผักไม่เป็นอะไร เลยสรุปได้ว่า ใช้ฉีดไปบนผักแบบไม่ต้องผสมน้ำได้เลย

สรุปสูตรที่ 1 คือ : ใบมะละกอ 1 กิโล +น้ำ 5 ลิตร หมักไว้ 1 วัน และพ่นตอนเช้าหรือแดดอ่อนได้เลย

สรุปสูตรที่ 2 คือ : ใบมะละกอ 1 กิโล +น้ำ 5 ลิตร +ยาฉุน/ยาเส้น 2 ขีด หมักไว้ 1 วัน และพ่นตอนเช้าหรือแดดอ่อนได้เลย

 

วันที่สี่ : น้ำหมักฮอร์โมนผลไม้ดอกไม้ +และน้ำหมักไล่แมลง

จริงๆ ตามแผนที่คิดไว้ วันนี้ต้องทำน้ำหมัก อีก 6 รส ให้ครบ นั้นคือ

- รสขม : ไล่แมลง เช่น บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร ฯลฯ

- รสฝาด : ป้องกันเชื้อรา เช่น กล้วยดิบ เปลือกมังคุด มะรุม เปลือกแค ฯลฯ

- รสเมาเบื่อ : ไล่แมลง กำจัดหนอน เพลี้ย เช่น กลอย สะเดา ฝักคูณ น้อยหน่า ยาฉุน สาปเสือ ฯลฯ

- รสหอมระเหย : ไล่แมลง : ขิง ข่า ตะไคร้ กระเพา ยูคา มะกรูด ฯลฯ

- รสเผ็ดร้อน : ไล่แมลง เช่น พริก ดีปลี เครื่่องแกง ฯลฯ

- รสเปรี้ยว :ไล่แมลง ทำให้ไข่แมลงฝ่อ เช่น ตะลิมปิง มะเฟือง สับปะรด มะนาว ฯลฯ

แต่เพราะฝนตก เลยทำให้ไปเก็บวัตถุดิบไม่ได้ เลยต้องเปลี่ยนแผนมาทำฮอร์โมนผลไม้ และน้ำหมักไล่แมลงโดยใช้เหล้า และอย่างอื่นแทน

เริ่มที่น้ำหมักฮอร์โมนผลไม้และดอกไม้ เพื่อบำรุงดอกให้ดอกติด และบำรุงผลให้ผลเติบโตและมีรสชาติดี

สูตร : ผลไม้สุก 6 กิโล +ดอกไม้ที่หาได้+ น้ำตาล ครึ่งกิโล + หัวเชื้อ EM 2 ช้อน +น้ำ 5ล หมัก 15 วัน

ขนาดใช้ 4 ช้อนโต๊ะ/ น้ำ 20 ล

ส่วน ตอนกลางคืนก็ทำน้ำหมักอีก 2 สูตร นั่นคือ

1.สูตรกาแฟ+ยาฉุน+มะพร้าว

2.เหล้าขาว+น้ำส้มสายชู+EM+น้ำตาล

เนื่องจากตอนทำสองสูตรนี้ ทำไปพร้อมๆ กัน เลยไม่ได้้ถ่ายรูป ถ้าได้ทดลองแล้วได้ผลดี จะเอามาแชร์ในโอกาสหน้าคะ

วันที่ 5 : น้ำหมักมูลวัว หรือปุ๋ยคอกชีวภาพ

ในที่สุดวันสุดท้ายก็มาถึง ทำให้ต้องยกยอดน้ำหมัก 6 รสที่เหลือไปครั้งหน้า แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลา เลยทำอันที่ง่ายก่อน นั้นคือ น้ำหมักมูลวัว

สูตร : มูลวัว 1 กระสอบ +สับปะรด 3 ลูก + น้ำตาล 2 กิโล +รำ 1 กิโล + EM 1ลิตร + น้ำ 100ล หมักไว้ 3 เดือน

ปริมาณการใช้ : 5-10 ช้อน/20 ล

ครบ 5 วันของการเป็นเกษตรเต็มตัว เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เพราะทำงานตลอดตั้งแต่เช้า ยันดึก พ่อต้องเรียกทุกคืนว่่าเสร็จหรือยัง จะนอนหรือยัง เพราะจะทำงานอยู่บนบ้านอีกหลัง แยกกับบ้านที่นอน แต่ก็มีความสุขมาก และใน 5 วันนี้ก็ได้ประสบกาณ์มากมาย  เช่น

1.ทำทีละน้อย ให้เชี่ยวชาญแล้วค่อยทำเยอะ ตอนที่ทำน้ำหมักรสจืด มันเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก เพราะจะสัดส่วนน้ำผิด และเริ่่มด้วยการทำในโอ่ง 100ล ครั้งแรกใส่ผักน้อยไป น้ำเยอะไป วันหลังเลยต้องเพิ่มผัก เพิ่มน้ำตาล จนได้สูตรที่แน่นอน พอมาวันอื่นๆ ก็เริ่มชัดเชี่ยวชาญมากขึ้น

2.ก้าวทีละก้าว กินข้าวทีละคำ หมายถึงทำครั้งละ 1 อย่าง เสร็จแล้วค่อยทำอย่างอื่น แต่ดีจัง ทำงานเอกชน ถูกฝึกมาตลอดว่าต้องทำงานหลายอย่างให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด สรุปคือ ต้องทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ เลยติดนิสัย ทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน  มันก็ทำได้ แต่มันกินพลังเกินไป เลยบอกตัวเองต้องพยายามทำทีละอย่าง

3.มั่นใจว่าชอบในการทำเกษตรแน่นอน และวางแผนจริงจังที่จะออกมาเป็นเกษตรภายใน 3 ปีข้างหน้า

สำหรับวันนี้ คงเป็นบล๊อกที่ยาวมากอีกอันนึ่ง ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกบ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ...

https://www.facebook.com/dreamforestfarm/

 

ความเห็น

เวลามีค่า ไปแล้วเอากลับมาไม่ได้

จากที่เล่ามา ได้งานเยอะนะครับ "แม้จะหนักก็พร้อม สู้ถ้าใจรัก" สู้ต่อไป

..โอกาสไม่ได้มีทุกวัน..

 

เก่งจริงๆค่ะ น้องดีจัง....(ไม่ปล่อยเวลาไปกับความหวั่นไหว ของวัยทีน เลย) ทำตลอด 5 วันเต็ม ...ชอบจัง เลย มี order ดอกไม้ แล้ะผัก ..ใครนะ ว่า พอเพียง ไม่พอกิน...ถ้าทำอย่างจริงจังกันทั้งครอบครัว ก็พอกิน พอเก็บ ด้วย...อ้าว...แล้วเวลาน้องดีจัง มาทำงาน ...มีคนไปส่งดอกไม้ เหรอคะ ..จะหาโอกาส ไปกินกิมจิ ฝีมือแม่ สักครั้ง

 

พี่บัว มาทำนาโยนโดยกันไหมค่ะ คาดว่าน่าจะประมาณ เดือน กค

ขอบคุณค่ะ น้อง ดีจัง ...น่าสนใจค่ะ นาโยน ทำแบบไหนหนออน้อง....ลองรวบรวม พรรคพวก ก่อน นะคะ 

อยากชมไร่ดอกไม้ และผักสลัด ค่ะ ..สดชื่น มากๆ....น้อง เก่งจัง

ขอบคุณมากค่ะ มาช่วงทำนาโยนดีไหมคะ น่า จะ กค

เก่งมากครับ ทำได้หลายอย่าง...ลูกหว้า ถ้าไม่อร่อยเท่าที่ควร ก็ปรับเปลี่ยน เป็นไวน์หว้า ดีไหมครับ

จงเตือนตน ด้วยตนเอง

ขอบคุณมากค่ะพี่สุนทร เห็นพี่ทำน้ำหมักเหมือนกัน มีข้อแนะนำให้มือใหม่หัดทำบ้างไหมคะ

หน้า