ฟักแฟงแตงไทย
รูปเก่าๆ เอามาเล่าใหม่ ตามประสาคนเป้นแม่ที่รักลูก และมีข้อมูลเล็กๆน้อยๆเผื่อจะเป็นประโยขน์
กับคุณแม่คุณพ่อคนใหม่ ในอีกหนึ่งมุมมองนะคะ
"ปัจจุบันในนานาอารยประเทศมีผลวิจัยทางสมองมากมาย ทำให้เราทราบว่า การพัฒนาสมองนั้นมีผลกระทบมาจากการอบรมเลี้ยงดู การส่งเสริม การสนับสนุนจากผู้เลี้ยงดู ผู้ปกครองและพ่อแม่ (ร้อยละ 40-70 ) มากกว่าพันธุกรรม (ร้อยละ 30-60 ) และทำให้ทราบว่า เด็กที่เกิดมาแล้วถูกทอดทิ้ง ใยประสาทของเซลล์สมองจะเกิดน้อย ทำให้ความฉลาดน้อยและเรียนได้ช้า ทำอะไรไม่ค่อยไว เฉื่อยชา ขาดเหตุผล แต่เด็กที่ได้รับการกระตุ้นทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย ให้ได้เห็น ได้กลิ่น ได้ยิน ได้รส และได้สัมผัส ตั้งแต่เกิดมาใหม่ๆ โดยเฉพาะด้วยความรักจากพ่อแม่ จะช่วยให้ใยประสาทของเซลล์งอกงาม
ศ.นพ.ประเวศ วะสี"
ความจริงทางประสาทวิทยาเผยให้รู้ว่า ในวัย 2 - 3 ขวบแรกของสิ่งมีชีวิต เด็กตัวเล็กๆ มีความสามารถที่จะเรียนรู้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่าย รวดเร็ว โดยไม่รู้ตัว มีความเพลิดเพลิน สนุกสนาน และกระหายที่จะเรียนรู้วิชา ทักษะ ไปพร้อมๆ กับการละเล่นต่างๆ อย่างไม่สิ้นสุดซึ่งหากการเรียนรู้นี้เกิดขึ้นในวัยเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก บางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่สามารถทำได้เลยเซลล์สมองที่มีใยประสาทจำนวนเท่ากัน ถ้าไม่ได้รับการกระตุ้นตั้งแต่วัยเด็ก จะไม่แตกกิ่งก้านสาขา ทำให้ปัญญาทึบ เรียนยาก เฉื่อยชา ไร้เหตุผล ตรงกันข้าม ถ้าได้รับการกระตุ้นตั้งแต่แรกเกิด จะทำให้ใยประสาทแตกกิ่งก้านสาขา ฉลาด เรียนรู้ง่าย ว่องไว เข้าใจเหตุผลได้มากกว่า วัยเด็ก
คนเราจะคิดทำการสิ่งใด จะฉลาด หรือโง่ คิดผิด คิดถูก หรือตัดสินใจผิดถูก ก็ขึ้นกับการทำงานสั่งการของสมอง เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ว่าสมองทำงานอย่างไร และทำอย่างไรให้สมองคิดได้เร็ว ถูกต้อง ฉลาด และเจริญเติบโตดี
ความรู้ที่พ่อแม่เลี้ยงดูและครูต้องรู้คือ ทำอย่างไรให้เด็กฉลาด โดยเฉพาะในช่วงอายุ 3 ขวบแรก จะเป็นช่วงสำคัญสุดของการพัฒนาของเด็ก ทำไมไอคิวเด็กไทยถึงต่ำ? ทำไมคนไทยต้องอาศัยสมองต่างชาติมาคิดแก้ปัญหาระดับชาติ? ทำไมคนไทยคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ไม่ได้ หรือคิดแตกต่างไม่ค่อยเป็น? สมองคนไทยด้อยกว่าชาติตะวันตกหรือ ?คำตอบคือ เปล่าเลย แต่อยู่ที่การพัฒนาและส่งเสริมต่างหาก
สมองคนเราเริ่มก่อตัวตั้งแต่อายุ 2 สัปดาห์ในครรภ์ ปัจจัยที่ได้รับขณะตั้งครรภ์ก็จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองเช่นกัน เช่น แม่ต้องมีอารมณ์ดี ได้รับสารอาหารที่ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ไอโอดีน โปรตีน กรดโฟลิก วิตามิน ไขมันปลา ได้ฟังเพลงที่ชอบ ไม่ได้รับสารพิษ เช่น บุหรี่ เหล้า ได้ความรักและกำลังใจจากสามี เมื่อทารกคลอดออกมา สมองหนักประมาณ 1 ปอนด์ และเจริญเติบโตเต็มที่ 3 ปอนด์ ที่อายุ 18 - 20 ปี โดยจำนวนเซลล์สมองแรกเกิดมีประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ มีใยประสาทประมาณร้อยละ 20 ของผู้ใหญ่ หลังจากคลอดแล้วจำนวนเซลล์สมองไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่จะขยายตัวและเพิ่มสายใยประสาทเพื่อเชื่อมระหว่างเซลล์ใยประสาทมากน้อยขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและการกระตุ้นต่างๆ ยิ่งมีใยประสาทมากยิ่งฉลาด และเรียนรู้ได้เร็ว
ถึงแม้จำนวนเซลล์สมองเท่าเดิม แต่ก็อาจจะสูญเสียการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ด้วยกันได้ ซึ่งเกิดจากเซลล์สมองที่ไม่ได้ถูกใช้ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในวัยที่กำลังเจริญเติบโต (ภายใน 10 ขวบแรก) ซึ่งเราจะสูญเสียความทรงจำ และไม่เกิดการเรียนรู้ของเซลล์กลุ่มนั้น สมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นกับประสบการณ์และสิ่งกระตุ้นต่างๆ ที่สมองได้รับ หากสมองได้รับการกระตุ้นจากการที่ได้ฝึกใช้ความคิดต่างๆ เช่น การแก้ปัญหา จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เด็กก็จะคิดแก้ปัญหาเป็น มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ แต่ตรงข้ามหากไม่ได้ฝึกอะไรเลย เช่น เรียนรู้แบบท่องจำมากมายจนไม่มีเวลาฝึกสมองคิด นานๆ เข้าก็จะคิดไม่ออก
เซลล์สมองที่เกี่ยวกับการเรียนรู้มี 2 อย่าง คือ Neurons และ glial cells ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ส่วนบนของสมองชั้นนอก (neocortex) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเซลล์สมอง 2 เซลล์ ติดต่อกัน โดยผ่านทางสายใยประสาทส่งผ่านข้อมูลซึ่งกันและกัน เซลล์สมองมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1. เซลล์สมอง (cell body)
2. สายใยประสาทรับข้อมูล (Dendrite)
3. สายใยประสาทที่ส่งข้อมูล (axon)
เซลล์สมองจะเกิดการเรียนรู้โดยข้อมูลที่เราได้รับจากสัมผัสทั้ง 5 คือ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น สัมผัสผิวกาย จะส่งผ่านเข้าสู่สมอง จากเซลล์สมองส่งผ่านทางสายใยประสาทส่งข้อมูล ไปยังสายใยประสาทรับข้อมูลของเซลล์ประสาทสายใยตัวรับ โดยจะมีจุดเชื่อมระหว่างกัน เมื่อมีข้อมูลผ่านมาบ่อยๆ จะทำให้จุดเชื่อมนี้แข็งแรง ซึ่งเซลล์สมองแต่ละเซลล์จะเชื่อมกัน 5,000 - 10,000 เซลล์และมีตัวเชื่อมประมาณ 1 ล้านล้าน
เด็กๆ จะสร้างใยประสาทได้เร็วและง่ายกว่าผู้ใหญ่ และยิ่งใช้บ่อยๆ ใยประสาทก็จะแข็งแรงมากขึ้น ข้อมูลก็จะเดินทางได้เร็วขึ้น ทำให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราจะเห็นว่าเด็กๆ จะเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ใน 2 - 3 ขวบแรก สมองจะเรียนรู้อย่างรวดเร็วมาก และจะพัฒนาระบบประสาทที่เกี่ยวกับการหายใจการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว การมองเห็น และการได้ยิน
เสียงก่อนอย่างอื่นใด
กระบวนการของการรับส่งข้อมูลในสมองจะเป็นแบบกระแสไฟฟ้า-สารเคมี โดยภายในเซลล์ประสาทจะเป็นไฟฟ้า ส่วนระหว่างเซลล์ประสาทจะเป็นสารเคมี เซลล์สมองมกระแสไฟฟ้าที่สามารถทำให้หลอดไฟ 25 วัตต์ติดได้ ประจุไฟฟ้าในเซลล์สมองจะมีทั้งบวกและลบ ซึ่งในผนังเซลล์สมองจะมีช่องทางให้ประจุไฟฟ้าเหล่านี้เข้าออกได้ ประจุบวกอยู่นอกเซลล์ ประจุลบอยู่ในเซลล์ ถ้า 2ข้างสมดุลกันก็จะอยู่ในระยะพัก เมื่อมีการกระตุ้นโดยข้อมูลต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาก็จะทำให้ประจุไฟฟ้าเหล่านี้ไม่สมดุลกัน เกิดกระแสไฟฟ้าส่งพลังงานออกมากระตุ้นใยประสาทต่อไปยังจุดเชื่อม ซึ่งจะมีสารเคมีหลั่งออกมาเพื่อนำข้อมูลไปสู่เซลล์สมองอีกอันหนึ่ง
Next: EQ กับความสำเร็จในชีวิต รศ.พญ.นิตยา คชภัคดี http://artforkidsinfo.multiply.com/journal/item/1
- บล็อกของ สวนฟักแฟงแตงไทย
- อ่าน 4277 ครั้ง
ความเห็น
witlessness
15 กันยายน, 2010 - 17:46
Permalink
ขอบคุณครับ สุดยอดคุณแม่
ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับข้อมูลดีๆ
สวนฟักแฟงแตงไทย
15 กันยายน, 2010 - 18:05
Permalink
หวัดดีค่ะ
คุณลูกชื่อน้อง..อะไรเอ่ย
ท่าทางซนไม่เบานะคะ แต่ซนนี่ดี เด็กซนชอบเรียนรู้
chai
15 กันยายน, 2010 - 17:50
Permalink
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดี เด็กๆน่ารักกันทุกคนเลยเมื่อวาน
ดูข่าวเขาว่าเด็กไทยI.Q.ต่ำอยู่ท้ายๆของเอเซียเลยเห็นแล้ว
น่าตกใจนะครับในฐานะที่เขาเป็นอนาฅตของชาติ
ทำความดีนะครับ จะได้มีความสบายใจ msn/krawmovie@hotmail.com
สวนฟักแฟงแตงไทย
15 กันยายน, 2010 - 18:03
Permalink
ขอบคุณเช่นกันค่ะ
เรามาพยายามสนับสนุนเด็กไทย ให้มีศีลธรรมนำไอคิว กันดีกว่า..ดีไหม
หนูนา
15 กันยายน, 2010 - 18:08
Permalink
เตรียมตัวก่อน
เตรียมตัวแม่ก่อนตั้งท้องก็ช่วยได้นะ เพราะตอนนี้เขามียาที่ให้แม่กินก่อนจะท้อง หกสัปดาห์ เพื่อเพื่มโฟเลท เหล็กแคลเซียม โปรตีน เพื่อให้เป็นอาหารสำรองในตัวแม่ก่อนจะแบ่งให้ลูกช่วงที่ท้อง เพิ่มไอคิวได้ด้วย และช่วยป้องกันปัญหาแม่ที่ท้องตอนอายุมากได้ด้วย เพราะคนสมัยนี้จะท้องก็จะได้วางแผนก่อน
น้อย สวนบุรีรมย์
15 กันยายน, 2010 - 22:06
Permalink
เรื่องโฟเลทนั้นกินผักใบเขียวท
เรื่องโฟเลทนั้นกินผักใบเขียวทุกวันก็ได้แล้วครับ แต่ถ้ากินแต่กระเพราหมู ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ก็คงไม่พอ
สวนเกษตรบุรีรมย์การเกษตรแบบเสาร์เว้นเสาร์ เน้นที่เราปลูกเองกินเอง
บริการจัดทำและดูแลเว็บไซต์ ถูก ดี มีประสิทธิภาพ
แก้ว กุ๊ก กิ๊ก
15 กันยายน, 2010 - 20:25
Permalink
รุปน่ารักค่ะ
ไม่รู้คนไหนเป็นฟักแฟง คนไหนเป็นแตงไทย แต่ว่าน่าเอ็นดูทุกรูปเลย
มานี มานะ วีระ ชูใจ
15 กันยายน, 2010 - 20:48
Permalink
ขอบคุณครับ...
รู้ไว้ใช่ว่า...ลูกสาวผม สองขวบครึ่ง...ครับ
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ตั้ม
15 กันยายน, 2010 - 21:24
Permalink
กระต่ายดำ..เมมไว้เลย
เห็นด้วยอย่างมากกะคุณสวนฟักแฟง..ลูกสาวผมพูดเก่ง กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น..น่าจะเป็นเพราะ..ตอนเด็กๆที่เขาหัดพูด..ผมจะใช้วิธีอัดเสียงเค้า พูดคุยกะเค้า..เค้าจะชอบและสนใจฟังมาก พอโตเข้ารร.อนุบาล ระหว่างเดินทางไปหรือกลับบ้าน(รถติดมาก) ผมก็จะให้เค้าฟัง จส.100 แล้วให้หัดรายงานสภาพการจราจร หัดเล่านิทาน หัดเป็นโฆษกคุย เช่นวันนี้ให้ลูกทำรายการแม่บ้านเจียวไข่ ให้บอกวิธีการทำ..พูดคุยสนุกสนานกันพ่อแม่ลูกอยู่ในรถ ไม่เครียดด้วย..พออ่านหนังสือได้ พอรู้ภาษาอังกฤษบ้างก็เล่นเกมส์ในรถ..พอรถติดเจออป้ายโฆษณาก็ถามว่ามีศัพท์อะไรที่เค้ารู้บ้าง..ถ้าตอบได้เกิน 3 ถือว่าเค้าชนะ..และเค้าก็ชนะทุกที..ผมว่านะ..เราสอนเค้าได้ทุกที่ ฝึกได้ทุกโอกาส หากสนใจและหยิบฉวยเรื่องรอบตัวมาสอนเค้า..ไม่ปล่อยให้เวลาหมดไปกับความหงุดหงิดของสภาพการจราจร
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
ลุงพูน
15 กันยายน, 2010 - 21:32
Permalink
คุณกระต่าย
เวลาขับรถไปกับลูก ผมมักจะเปิดเพลงฟัง ก็เพลงแบบที่ผมจัดอยู่ในบ้านนี้แหละครับ ตอนหลังผมอยากให้ลูกฟังเพลง Classic ผมก็เหามาเปิดให้ฟังแล้วถามว่า เพลงนี้เป็นไงบ้าง ลูกตอบว่า ก็เคยฟังตอนเด็กๆ แสดงว่าเพลงที่ผมเปิดฟังนั้นเขาก็จำได้ จนกระทั่งโต
หน้า