ทดลองหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์
ตั้งใจไว้หลายวันแล้ว ว่าจะหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ใช้เอง หลังจากที่เคยทำใช้เองเมื่อครั้งยังอยู่บ้านเมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว แต่หาวัตถุดิบไม่ได้ .... ก็เลยเอาไว้ก่อน จนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ...ได้ของมาครบ วันเสาร์หยุดงานก็เลยได้ฤกษ์งามยามดี เอาลงถังเสียที ..... วัตถุดิบที่ผมเคยใช้หมักมีดังนี้...
ลูกยอ 2 กก. มะเฟืองหวาน 2 กก. กล้วยน้ำว้าสุก 2 กก. สับปะรด 2 กก. กากน้ำตาล 1 กก. น้ำมะพร้าว 10 ลิตร .
น้ำมะพร้าวจะมากน้อยกว่านี้ก็ได้ตามแต่ของที่จะมี ถ้าได้น้ำมะพร้าวเยอะ ก็จะได้ปริมาณหัวเชื้อเยอะ ตามไปด้วย เมื่อสมัยครั้งยังอยู่ที่บ้าน ผมเคยหมักครั้งนึงประมาณ 20-30 ลิตร เพราะวัตถุดิบทุกอย่างไม่ต้องซื้อยกเว้นกากน้ำตาล ก็เลยจะทำเท่าไหร่ก็ได้ (ถ้าไม่ขี้เกียจสอยมะพร้าว) แต่มาอยู่ในเมืองวัตถุดิบต้องซื้อเกือบทุกอย่าง ก็เลยทำแค่พอได้ใช้ ....
เมื่อครั้งอยู่ที่บ้านผมเคยใช้ทั้งจุลินทรีย์ทำเอง และ EM ของคิวเซ แต่ พด. ของกรมพัฒนาที่ดินยังไม่เคยใช้แต่บอกได้เลยว่า หัวเชื้อที่ทำเอง กับ EM คิวเซ คุณภาพที่ออกมา ไม่ว่าจะเอาไปทำปุ๋ยหมักแห้ง ปุ๋ยหมักน้ำ นำหมักไล่แมลง หรือ ฮอร์โมน ต่าง ๆ ประสิทธิภาพ ไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย สาเหตุที่ทำให้ต้องทำจุลินทรีย์ใช้เอง มันเริ่มมาจาก คุณพ่อ ท่านได้ไปอบรม เกษตรธรรมชาติ คิวเซ ที่สระบุรี มาแล้วนำมาประยุกต์ใช้ ที่บ้าน ตอนนั้น หัวเชื้อEM ลิตรละ 30 กว่าบาท .... แต่ต่อมาไม่นาน หัวเชื้อ EM ขึ้นราคาเป็นลิตรละ 70 บาท (ซื้อจากร้านที่เขารับมาขาย) เป็นสิ่งที่ดี สำหรับการเกษตรแบบธรรมชาติที่ญี่ปุ่นนำเข้ามาเผยแพร่ แต่สุดท้ายมันก็คือ ธุรกิจ ที่เขาได้เงินกลับประเทศ อย่ากระนั้นเลย ทำไมเราไม่ศึกษา เกษตรธรรมชาติ แบบฉบับไทย ๆ ดูบ้างละ .... เมื่อศึกษา ก็ได้รู้ว่าจริง ๆ ของไทยเราก็มีตั้งเยอะแยะหลายสูตร หลายวิธี ไม่จำเป็นต้องพึ่งญี่ปุ่น หรือต่างชาติเลย แต่ทำไม คนเราถึงไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร แต่ก็เข้าใจ ว่าโดยส่วนใหญ่ นิสัยคนไทย จะเชื่อและตาม ต่างชาติ มากกว่าคนไทยด้วยกันเอง อะไรที่มาจาก ต่างชาติ ต้องดีเสมอ (มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรอ) ...กลับมาที่ EM ลิตรละ 70 บาท (ไม่แน่ใจว่าราคาตอนนี้เป็นอย่างรัย ) ถ้าผมต้องการ 20 ลิตร ผมต้องใช้เงิน 1400 บาท .... แต่ถ้าหมักเอง ....อย่างมากผมก็เพิ่มวัตถุดิบเป็น 2 เท่า ใช้กากน้ำตาล 2 ลิตร ลิตรละ 10 บาท รวมต้นทุน แค่ 20 บาทเอง เพราะ มะพร้าว เอาจากสวน กล้วย เอาจากสวน สับปะรด เอาจากสวน ลูกยอ ขอข้างบ้าน มะเฟือง ขอข้างบ้าน ...หมักเป็นหัวเชื้อเสร็จ ก็แบ่งไปให้ข้างบ้าน เป็นค่าลูกยอ กับ มะเฟือง ได้อีก ....พอจะเห็นความแตกต่างของต้นทุนกันแล้วนะครับ ...ร่ายยาวเลยมาดูกันครับ ผลงาน....
สับปะรด ไปซื้อมาลูกนึง ขอเปลือกมาด้วย มะพร้าวซื้อ กล้วยซื้อ นมเปรี้ยวซื้อ น้ำตาลทรายซื้อ ลูกยอเพื่อนเอามาให้จากสระแก้ว มะเฟือง ต้องขอบคุณพี่สายพิณมาก ๆ ครับ ที่ส่งให้มา แถมในกล่อง มีเมล็ดงาขี้ม้อน กับกิ่งมะเฟืองชำมาด้วย ขอบคุณอีกครั้งครับ ...
ที่ผมตั้งชื่อบล๊อก ว่า "ทดลอง" ก็เพราะว่า ที่ผมเคยทำแล้วได้ผลดี ก็เฉพาะ ตามสูตรที่กล่าวมาข้างต้น แต่ที่เห็นจะมี ฝักคูน เปลือกมังคุด และ นมเปรี้ยว ที่จะใส่เพิ่มเข้าไป .... สาเหตุที่จะใส่เพิ่ม ...
นมเปรี้ยว เค้าคือจุลินทรีย์ ดี ๆ อยู่แล้ว นำ้ไปเลี้ยงดูให้ออกลูกออกหลาน ต่อน่าจะเป็นผลดี (จากการที่ได้อ่านและคิดมั่ว ๆ เอา)
ฝักคูน เคย อ่านเจอมาว่าสามารถใช้แทนกากน้ำตาลได้แต่ยังไม่เคยทดลอง (ผมจำไม่ได้จริง ๆ ว่าอ่านเจอที่ไหน ต้องขอโทษด้วยครับ ) ผมก็เลยเอามาทดลองดูซะเลย ว่าจะเป็นอย่างไร ถึงจะแทนกากน้ำตาลไม่ได้ แต่ก็คงมีประโยชน์ บ้างละน่ะ (คิดเข้าข้างตัวเอง อิอิ)
เปลือกมังคุด อันนี้ เป็นความบังเอิญที่ แฟนซื้อมังคุด มากิน ผมก็เลยบอกว่า เปลือกไม่ต้องทิ้งนะ จะลองเอามาหมักดู ...(สรุป มั่วเอา ฮ่า ๆๆ )
วิธีการก็หั่น กล้วย สับปะรด มะเฟือง ลูกยอ เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ถุงปุ๋ย ตามด้วยน้ำมะพร้าว เนื้อก็เอากินครับ แล้วใส่ในถังอีกที นี่ครับ ออกมาแล้ว ...
ยังเหลือของอีก 3 อย่าง ที่ไม่เคยใส่ แต่อยากลองดู ตามที่บอกไปแล้ว...
งั้นก็เอา นมเปรี้ยวใส่ไปก่อน ....ตามด้วยเปลือกมังคุด ...
ต่อไปก็ฝักคูน ...ตอนแรก ก็ใช้สันมีด ทุบ ๆ ให้มันแตก ช้าจังไม่ทันใจวัยรุ่นเลย ก็เลยต้องใช้อาวุธประจำบ้าน ..เสือครับ ..."เสือกะบาก" ....
ได้เสือกะบาก มาคราวนี้ ง่ายเลย ทุบเอา ๆ ๆ ๆ อย่างเมามัน ..... แกะเอาเมล็ดกับ....อะลูมิไร้ ที่ดำ ๆ นั่นแหละครับ ....
ถ้าใครจะลองใช้ฝักคูน หมัก แนะนำว่า ให้เอาฝักที่สุกใหม่ ๆ ถ้าเก็บจากต้นเลยยิ่งดี เพราะฝักที่ร่วงนาน ๆ แล้วข้างในจะแห้ง แถมบางที อาจจะได้ทำปุ๋ยหมักจากสัตว์ ไปด้วย ดังรูปข้างล่างนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ทิ้งไปเถอะครับไม่ต้องเสียดาย
ฝักคูน แกะไปแกะมา ช้า จริง ๆ ไม่ทันใจวันรุ่นอีกแล้ว บวกกับ แมลงที่ไม่ได้รับเชิญในรูปด้านบน ก็มาเต็มไปหมด งั้นก็ไม่ต้องแกะแล้ว ทุบให้แตกแล้วใส่เลย เดี๋ยวก็คงสลายเองแหละน่ะ .....
เอาละใส่ไปแล้วมานั่ง พิจารณา งานมันสอนคนอีกแล้ว น้ำมะพร้าวเรามีนิดเดียว แล้วอย่างนี้ฝักคูนกับเปลือกมังคุดมันจะย่อยสลายมั้ยเนี่ย เพราะอยู่ข้างบนน้ำไม่ถึง แต่ถ้าน้ำท่วมถึงทั้งหมดคงไม่เป็นรัย ถ้าใครจะลองทำสูตรนี้ แนะนำให้ ใส่ฝักคูน ลงไปก่อนนะครับ แล้วค่อยตามด้วยของที่สลายง่าย ๆ อยู่ด้านบน เอ้า คลุกเคล้ามันสักหน่อยแล้วกัน ถึงจะช่วยได้ไม่เยอะ แต่ก็คงได้บ้าง ได้แค่ประมาณนี้ ..
ถึงจะบอกว่าฝักคูนใช้แทนกากน้ำตาลได้ แต่ยังไม่เคยเห็นใครทำ (หรือทำแล้วแต่ไม่รู้) ผมก็เลยต้องกันไว้ก่อนว่างานนี้ทำออกมาแล้วต้องใช้ได้ ก็เลยใช้น้ำตาลทรายแดง ประมาณ 0.5 กิโลกรัม แทนกากน้ำตาล เพราะไม่มีกากน้ำตาล จริง ๆ ใครจะทำน้ำหมัก แล้วไม่มีกากน้ำตาล ก็ไม่ต้องไปหาให้วุ่นวายหรอกครับ น้ำตาลทราย นี่แหละใส่ไปเลย ใช้น้อยกว่า กากน้ำตาลด้วย เพราะอะไร .... ในส่วนประกอบของกากน้ำตาล นั้น มันจะมี น้ำตาล อยู่ประมาณ 50-70% แล้วแต่คุณภาพของกากน้ำตาล เราใช้น้ำตาลเพื่อต้องการไปเลี้ยงจุลินทรีย์ (ฝ่ายดี) ให้เติบโต และ ขยายพันธ์ เพื่อให้เราได้นำไปใช้งานต่อไป ซึ่งน้ำตาล ก็มี 3 ประเภท ก็คือ กลูโคส ซูโคส ฟรุกโตส (อย่าถามลึกไปลงไปอีกนะครับ ผมก็ไม่รู้ เพียงแต่แอบพักลักจำ มาแค่ั้นั้นเอง) ซึ่งน้ำตาลทั้ง 3 ประเภท ก็จะช่วยให้จุลินทรีย์ (ฝ่ายดี) เค้าเติบโตได้ แต่ถ้าน้ำตาลน้อยไป จุลินทรีย์ (ฝายเลว) ก็จะเข้ามาทำงานย่อยสลาย แทน ซึ่งเราเอามาใช้ประโยช์ ไม่ได้ ... ทีนี้ถ้าเราใช้น้ำตาลแทนกากน้ำตาล ก็เท่ากับว่า 100% เป็นน้ำตาล เวลาใส่เราก็ใส่ตามสัดส่วนของกากน้ำตาล เช่นสูตรบอกว่า ใช้กากน้ำตาล 1 กก. (ในกากน้ำตาล มีน้ำตาล แค่ 50%) แต่เราใช้น้ำตาล เราก็ใช้แค่ 0.5 กก. ( ผมคิดมั่วเอาเองนะ ได้ผลหรือไม่หรือไม่รออีก 30 วัน)
ใส่น้ำตาลไปแล้วครับ
เอาน้ำก้นถังมาราด ๆ สักหน่อย
เสร็จแล้วก็ผูกปากถุง ปิดฝา แล้ววางไว้ในที่ร่ม (จุลินทรีย์เค้าเป็นสิ่งมีชีวิต เจอแสงแดดจัด ความร้อนจัดก็ตาย) ปิดฝาทิ้งไว้ 30 วัน ก็กรองเอาแต่น้ำ (ของผมไม่ต้องกรอง เพราะใส่ถุงปุ๋ย แค่คั้นเอาน้ำออกจากถุงก็ใช้ได้แล้ว) เก็บไว้ใช้งานได้นานเป็นปี ส่วนกาก ก็เอาไปใส่โคนต้นไม้ทำปุ๋ยได้เลย แต่ถ้าไม่มั่นใจผ่านไปสัก 7 วัน ลองเปิดดมดู ถ้ามีกลิ่นหอมก็ใช้ได้ แต่ถ้ามีกลิ่นเหม็นเน่า แสดงว่าน้ำตาลน้อยไป จุลินทรีย์ฝ่ายเลว เข้ามาทำงาน ก็ให้เพิ่มน้ำตาล เข้าไปอีก .... แต่ที่แน่ ๆ คิดว่าจะเพิ่มน้ำมะพร้าวอีก หน่อย เพราะน้อยเกิน หมักแล้วได้สัก 4-5 ลิตร ก็ยังดี ....
ผูกปาก ปิดฝาถัง ...
ส่วนข้างล่างนี้แถมครับ ....หัวแก้ว หัวขวด
ผมง่วงครับ
เสียงแว่ว ๆ ใครเรียกอะ ...
มารับผมที ผมลงไม่ได้ .....
มีความสุขกันถ้วนหน้านะครับ ชาวบ้านสวน เจอกัน บล๊อกหน้าค้าบบบบ
- บล็อกของ Thanawit
- อ่าน 15934 ครั้ง
ความเห็น
Thanawit
13 มิถุนายน, 2011 - 14:19
Permalink
โชคดีจังครับ
โชคดีจังครับ อยู่ใกล้โรงน้ำตาล ....(อยู่ จ. อะไรครับ) สับปะรด จริง ๆ ใช้แค่เปลือกก็ได้ครับไม่ต้องเอาเนื้อก็ได้ ของผมก็เหมือนกันครับ ใช้แต่เปลือก เนื้อใส่ไปนิดเดียว เพราะมันหวานดี เอาไว้กินดีกว่า มะเฟืองไม่มีก็ไม่เป็นรัยมั้งครับ เพราะ การหมักจุลินทรีย์ใช้เอง ใช้ได้ทุกอย่าง ผักสด ผลไม้ .... ประสิทธิภาพ ก็คงไม่ต่างกันมากนัก ทำจุลินทรีย์ หรือ ปุ๋ยใช้เอง พยายาม อย่ายึดติดกับสูตร ครับ เพราะมัน ยืดหยุ่น ได้มาก ไม่เหมือนกับ การใช้ปุ๋ยเคมี มีอะไรเราก็ใช้อันนั้นครับ แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องใช้ระยะเวลา และการใช้ อย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล ไม่เหมือนกับปุ๋ยเคมี ที่ให้ผลได้เร็วทันใจ .... ขอให้มีความสุขกับการทำเกษตรธรรมชาติ ครับ ....
เมื่อรู้สึกว่ากำลังแย่ จงให้กำลังใจตัวเอง ด้วยการคิดว่า "ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราอีก"
ชายเขื่อน
13 มิถุนายน, 2011 - 14:30
Permalink
กากน้ำตาล
อยู่ อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรีครับ โรงงานน้ำตาลนั่นแหละเป็นความโชคร้ายของผม ผมอยู่มาก่อนดีๆ มาตั้งโรงงานริมเขื่อน ปัญหาอย่างเยอะเลย รถขนอ้อยช่วงหีบอ้อยวิ่งทั้งวันทั้งคืน อุบัติเหตุมหาศาลเพราะแกเล่นเอารถทุกอย่างที่พอจะเคลื่อนไหวได้มาขน ตั้งแต่ 10 ล้อ ยันฟาร์มแทรกเตอร์ แล้วก็วิ่งกันได้แบบช้าๆ มืดๆ ตะคุ่มๆ แต่เต็มถนนหลวง ถ้าคนต่างถิ่นที่ไม่รู้ธรรมชาติแถวนี้วิ่งมามักจะชนท้ายประจำ แถมด้วยควันจากโรงงานตลอดเวลา ข้อดีข้อเดียวคือมีกากน้ำตาลใกล้ๆ ไว้ทำปุ๋ย แค่นั้นเอง
Thanawit
13 มิถุนายน, 2011 - 14:40
Permalink
ขอโทษครับ
ขอโทษครับ ผมลืมนึกไปถึงเรื่องผลกระทบ ต่าง ๆ ที่ตามมา จากการสร้างโรงงาน ครับ
เมื่อรู้สึกว่ากำลังแย่ จงให้กำลังใจตัวเอง ด้วยการคิดว่า "ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราอีก"
นู๋หวึ่ง
13 มิถุนายน, 2011 - 14:33
Permalink
คุณธนาวิทย์
นึกว่าเอาตัวสุดท้าย ลงหมักด้วย




Thanawit
13 มิถุนายน, 2011 - 14:42
Permalink
ม่ายได้ค้าบบบบ หัวแก้ว
ม่ายได้ค้าบบบบ หัวแก้ว หัวขวด
:admire2:
เมื่อรู้สึกว่ากำลังแย่ จงให้กำลังใจตัวเอง ด้วยการคิดว่า "ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราอีก"
ลุงแอ้ด
13 มิถุนายน, 2011 - 14:40
Permalink
น่าสนใจมากครับ
น่าสนใจมากครับ ป่านนี้ทั้งแลคโตบาซิลลัส ทั้งยีสต์ คงขึ้นอยู่ในกระสอบกันหมดแล้ว เทคโนโลยีของไทยแท้เลยครับ
Thanawit
13 มิถุนายน, 2011 - 14:45
Permalink
ถ้าลุงแอ๊ด กลับ
ถ้าลุงแอ๊ด กลับ มาอยู่เมืองไทย จะทำสักถังใหญ่เอาให้ ลุงแอ๊ด ช่วยส่อง ดูครับ ....อิอิอิ (ผมคนชุมพร แต่เป็นเขยสงขลาค้าบบบ)
:bye:
เมื่อรู้สึกว่ากำลังแย่ จงให้กำลังใจตัวเอง ด้วยการคิดว่า "ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราอีก"
guys ka
13 มิถุนายน, 2011 - 14:53
Permalink
หัวแก้วหัวขวด
:admire2: หัวแก้วหัวขวด ...ระวังจาโดนเอาไปหมักด้วยนะ..อิอิ :uhuhuh:
.......
..........
ธนนันท์
13 มิถุนายน, 2011 - 15:11
Permalink
หนูหมักไว้ใช้เองตลอดไม่เคยขาด
หนูหมักไว้ใช้เองตลอดไม่เคยขาดบ้านเลยค่ะ ช่วงไหนขาดแคลนก็ขอเปลือกสับปะรดแม่ค้าในตลาดมาหมักไว้เป็นหัวเชื้อ Em ลิตรละ 70 บาท เหมือนกัน หมักเองก็ไม่แตกต่าง ช่วงไหนมีผลไม้อะไรก็ใส่ไป บ้านเราอุดมสมบูรณ์ทั้งปีอยู่แล้ว
อ้วน
13 มิถุนายน, 2011 - 17:41
Permalink
กากน้ำตาลไม่มี ใส่ปุ๋ยยูเรียแทนได้ครับ
ผมก็หมักอยู่ พอขาดกากน้ำตาล ไปหารือผู้รู้ เขาบอกว่าให้ใส่ปุ๋ยยูเรียแทน 1 ช้อนโต๊ะเท่ากับ กากน้ำตาล 1 กก. ก็เลยใส่เข้าไปใช้ได้ครับ
ชีวิตที่เพียงพอ ย่อมมาจากชีวิตที่พอเพียง
หน้า