ธรรมะจากงานศิลป์

หมวดหมู่ของบล็อก: 

หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจในการเป็นธรรมบริกรให้กับผู้เข้ารับการอบรมวิปัสสนากรรมฐานหลักสูตรสิบวันที่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา พอมีเวลาว่างระหว่างรอรถไฟที่จะกลับ กทม.ในตอนบ่ายสามโมง ผมจึงมีโอกาสได้แวะชมรอบๆบริเวณศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ โดยมีเพื่อนธรรมบริกรในพื้นที่เป็นมัคคุเทศน์ (เป็นเด็กหนุ่มผมแดง ที่เคยถูกกล่าวถึงในบล๊อกเรื่องการเดินทางไกลสู่ภายใน)เค้าเล่าให้ฟังถึงความยากลำบากในการบุกเบิกพื้นที่ การก่อสร้าง และพาไปชมแปลงเพาะชำพืชที่จะนำมาปลูกรอบๆบริเวณศูนย์ พร้อมทั้งชี้ให้ดูและบอกว่ามีต้นไม้หลายต้นที่แม่ชีจากลพบุรีนำมาปลูกเอาไว้ตั้งแต่ศูนย์ยังไม่ได้เริ่มทำการก่อสร้าง ผมเองตอนนั้นรู้สึกแปลกใจแต่เก็บไว้โอกาสหน้าจะมีเรื่องมาเล่าชวนให้ฉงนยิ่งขึ้นไปอีก


ช่วงสายเข้าไปร่ำลาบรรดาเจ้าหน้าที่บอกว่าจะออกไปหารถประจำทางเพื่อไปเดินท่องเที่ยวที่ อ.ป่าซาง เพราะยังไม่เคยมา ธรรมบริกรเจ้าถิ่นบอกว่ากำลังจะเข้าเมืองลำพูนพอดี และอาสาจะขับรถไปส่งให้ถึงที่สถานีรถไฟเลย แต่ผมยืนยันเจตนาเดิม โดยไม่มีจุดหมายเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด เค้าขับรถมาจอดส่งที่หน้าตลาดและบอกกับผมว่าในซอยนี้มีหอศิลป์อุทยานธรรมะอยู่ ผมกล่าวขอบคุณพร้อมคำชมที่เค้าช่างรู้ใจผมได้ดีจริงๆ


ขณะเดินเข้าไปในซอยระยะทางประมาณห้าร้อยเมตร ผมได้หยุดยืนมองต้นหม่อนที่ออกลูกดกเต็มต้น คุณยายที่ผ่านมาบอกว่า"ต้นหม่อนน่ะ เก็บลูกแก่ๆกินได้เลย เจ้าของเค้าไม่หวงหรอก" ผมยิ้มให้และกล่าวขอบคุณ ผู้คนที่สัญจรผ่านมาทุกคนจะยิ้มและทักทาย คนที่อยู่ในบ้านก็จะทักเป็นภาษาอังกฤษ (คงเห็นผมหัวโล้นและแบกเป้มั๊ง)


ภายในบริเวณนั้นทั้งหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์และอุทยานธรรมะ รวมตัวกันได้อย่างเป็นสัดส่วนและลงตัว แต่เนื่องจากผลงานบางส่วนเพิ่งกลับมาจากการนำไปแสดงโชว์ที่กรุงเทพฯ ผมจึงมีโอกาสได้เข้าชมเฉพาะในส่วนของหอศิลป์และอุทยานธรรม ซึ่งภายในประกอบไปด้วยงานปฏิมากรรม สื่อถึงธรรมในพุทธศาสนา เกี่ยวกับมรรค ไตรลักษณ์และ ปฏิจจสมุปบาท ส่วนในหอศิลป์ได้จัดแสดงปฏิมากรรมรูปหล่อโลหะ เกี่ยวกับธรรมะเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปินได้แรงบรรดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานจากพระภิกษุและแม่ชีละแวกนั้น มีคำบรรยายใต้งานชิ้นหนึ่งที่โดนใจผมมาก


        "ในความจริง      มีความเงียบรออยู่


               ในความเงียบ     มีความจริงรออยู่"


ผมเองซึ่งเพิ่งจะออกจากคอร์สวิปัสสนามา อ่านแล้วถึงกับตะลึง


ธรรมะล้วนเป็นเช่นนี้เอง จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย



บล๊อกนี้ไม่มีภาพประกอบนะครับ เพราะไม่ได้เอากล้องไป ถึงเอาไปก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่าย ท่านที่สนใจลองเข้าไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมและรูปถ่ายผลงานบางส่วนได้ ......ที่นี่ครับ...

ความเห็น

เพราะธรรมะคือชีวิต แต่เรามักจะยุ่งๆจนไม่มีเวลาาคิดสักนิด


ขอบคุณลุงพีค่ะที่นำเสนอเรื่องราวน่าสนใจให้รู้จัก และพาไปลิงค์ฐานข้อมูลดีๆ

_________________________  

Our way is not soft grass, it’s a mountain path with lots of rocks. But it goes upward, forward, toward the sun. – Ruth Westheimer

ธรรมะอยู่ใกล้ตัวเรา

เวลาไปวัดชอบอ่านคำคม..มีคำคมสอนใจมากมาย...แต่นำมาปฎิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง..

ชีวืตที่เพียงพอ..

เห็นบรรยากาศการเดินทางแสวงบุญของลุงพี หนูนึกภาพตามที่ลุงเล่า ที่ละบรรทัด ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีภาพใดๆแล้วนี่ค่ะ

อิ่มใจในธรรมบริการ ยังได้มาถ่ายทอดและแบ่งปัน  หนูมีความสุขไปกับลุงด้วยเลยค่ะ

 

อ่านบล็อกลุงขนาดไม่มีภาพ  กุ้งยังรู้สึกสงบไปด้วยเลยค่ะ...

มีความสุขกับการที่ได้ให้มากกว่าการที่ได้รับ

เสียดายจังไม่มีภาพ  แต่ก็จินตนาการตามที่ลุงพีเล่า  ทำให้อยากไปสัมผัสสถานที่จริง ๆ สักครั้ง

อ่านไป...จินตนาการตามไป...เหมือนกับได้ไปด้วยจริงๆ ค่ะ วิปัสสนากรรมฐานอย่างน้อยๆ ปีหนึ่ง อัญต้องไปให้ได้ค่ะ สองสามวันก็ยังดี แต่ปีนี้ไปได้เจ็ดวัน เนื่องด้วยหน้าที่การงานไม่อำนวย...สติมา ปัญญาเกิดค่ะ

"..ผู้คนที่สัญจรผ่านมาทุกคนจะยิ้มและทักทาย คนที่อยู่ในบ้านก็จะทักเป็น

ภาษาอังกฤษ (คงเห็นผมหัวโล้นและแบกเป้มั๊ง)"

อิอิ..หุ่นให้น่ะค่ะ  ขออนุโมทนากับลุงพีด้วยนะคะ

แบ่งปันน้ำใจส่งต่อกันไป ....ไม่รู้จบ

อ่านแล้วอยากแบกเป้ไปตะเวณบ้างจัง .... ธรรมะกับศิลปะไปด้วยกันเสมอ ...


ปล. ราศรีจับ ลุงพีเป็นชาวต่างชาติ ฮา ฮา หน้าให้ หุ่นคงบอก  

...2553 ปีที่ 1 ที่เริ่มเดินตามรอยพ่อ...

ก็ไม่เคยเห็นจึงอยากเห็นน่ะค่ะ  น่าสนใจนะคะ  ธรรมะเป็นของใกล้ตัว  ต้องหัดปฏิบัติเอาไว้บ้าง

หน้า