เอาเรื่องหนักๆมาให้อ่านเล่นกันมั่ง
ไปอ่านบทความย้อนหลัง จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 24 พค. 2552 http://www.thaipost.net/sunday/240509/5144 เลยนำมาให้อ่านเป็นตอนๆ
(ทำ Link ไว้ให้ด้วย บอก Url ของที่มาเอาไว้ด้วย ไม่ทราบว่าพอเพียงไหมครับ ท่านผู้ใหญ่ เพราะอยากให้ได้อ่านกันตรงนี้)
ความทรงจำนอกมิติ
ระบบศึกษาสอนให้เราก้าวร้าวเห็นแก่ตัว
ถ้าถามครูหรือนักเรียน หรือนักการศึกษาที่เป็นนักจิตวิทยาและนักศาสนปรัชญา ว่าเราทั่วทั้งโลกต้องการให้ระบบการศึกษาของลูกหลานของเรามีเป้าหมายเช่น ไร? ระหว่างสติปัญญาความฉลาดเป็นหลักที่เราใช้การสอบแข่งขันเช่นในปัจจุบัน? หรือว่าจะเอาทักษะหรือพรสวรรค์ที่เด็กทุกคนย่อมจะมีศักยภาพแตกต่างกันไป? หรือว่าต้องการให้สังคมได้คนดีมีคุณธรรมในวันหน้าดี? ผู้เขียนคิดว่าถึงเถียงกันให้ตายไปข้างหนึ่งก็ยังสรุปไม่ได้เพราะถูก ทั้งหมด และนั่นคือระบบการศึกษาของเราในปัจจุบัน ที่มีแต่การปฏิรูปกับการปฏิรูปวนเวียนกันไป แล้วแต่ว่าพรรคใดเป็นรัฐบาลกับครูคนไหนเป็นใหญ่ในระบบการเรียนรู้ของเรา จริงๆ แล้วน่าจะเอาทั้งสามประการเป็นหลักเท่าๆ กัน การเรียนรู้จากภายนอก (สองอย่างแรก) กับภายใน (อย่างหลัง) นั้นย่อมจะดีที่สุด ประเด็นก็คือ เราจะหามาตรฐานระดับชาติหรือระดับโลกอย่างไร? หรือพูดง่ายๆ เราจะชี้วัดทั้งสามหลักว่าเท่าๆ กันด้วยวิธีไหน? บทความนี้เป็นการสะท้อนความคิดของผู้เขียนที่เอาธรรมชาติ (ทั้งกายและจิต) กับความไม่เที่ยงหรืออนิจจตาของมนุษย์และสังคมของมนุษย์เป็นฐาน
ได้พูดได้เขียนมาหลายหนแล้วว่า ระบบการศึกษาของบ้านเรา-ที่เราลอกเลียนมาจากทางประเทศตะวันตกทั้งแผง ตั้งแต่ชั้นอนุบาลและขั้นประถม จนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยทั้งที่เป็นของรัฐหรือเป็นอิสระ แต่ในนามรวมโรงเรียนและวิทยาลัยเอกชนแทบจะทั้งหมด-ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของ หลักการกาย-วัตถุนิยมและแยกส่วน หรือกระบวนทัศน์เก่าที่ล้าสมัยของโลกตะวันตก ซึ่งอาจเหมาะสมกับช่วงเวลาเมื่อ 150-200 ปีก่อน ซึ่งมองเห็นว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่า (หรือราคา) และความหมายอยูที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น 'มนุษย์' สามารถเอามาใช้ได้หรือเป็นประโยชน์หรือไม่เท่านั้น" กระบวนทัศน์เก่าจึงหมดสมัยทั้งผิดธรรมชาติอย่างแรง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สามารถที่จะแก้ใขหรือปฏิรูปอย่างหนึ่งอย่างใดได้ นอกจากการปฏิวัติถอนทิ้งทั้งรากทั้งโคน แล้วเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดสู่กระบวนทัศน์ใหม่ กระบวนการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงที่จะให้วิถีชีวิตสำหรับปัจเจกชนวิถีใหม่ และสังคมโดยรวมสังคมใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งสิ้นที่ไม่ใช่เป็นการสมยอมประนีประนอมกัน (transformation not accommodation) แต่ก็ไม่มีผู้ใดในวงการศึกษา ในที่นี้บ้านเราจะฟังแล้วเอาไปคิด ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนหรือใครที่มาครองเมือง-ซึ่งบ้านเราเปลี่ยนกันบ่อย เหลือเกิน-มันจึงได้มีแต่การปฏิรูป ปฏิรูปซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะว่าทั้งหมดนั้นมีครูมีอาจารย์ นักการศึกษาที่ไปเรียนมาจากที่ต่างๆ ที่เมืองนอกหรือประเทศตะวันตกมากมาย และบางคนได้ถูกนักการเมืองเรียกมาปรึกษาในช่วงที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล แต่ละคนก็จะรู้จักอยู่แต่กับการปฏิรูประบบการศึกษา เพราะคิดว่ารูปแบบและเนื้อหาของการศึกษาที่เป็นอยู่-ก็เช่นเดียวกันกับระบบ เศรษฐกิจทุนนิยม-ที่คิดว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ที่ต้องเห็นแก่ ตัว "กูก่อน" จึงเปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่าประเทศตะวันตกที่เป็นเจ้าตำรับเหล่านั้นเองล้วนรู้จักแต่แค่นั้น คือรู้จักแต่กับการปฏิรูป ฉะนั้น แม้ว่าจะรู้ว่าระบบการศึกษาของตนมีปัญหาที่ต้องแก้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะพื้นฐานที่ระบบการศึกษาของตนและทั้งโลกตั้งอยู่ ล้วนแล้วแต่ตั้งบนหลักการกาย-วัตถุนิยมและแยกส่วน ซึ่งผิดธรรมชาติแห่งองค์รวม ซ้อนองค์รวม ซ้อนๆ องค์รวม...ที่มีใยเยื่อประสานกันให้เป็นหนึ่งเดียว-ในรายละเอียด เราต้องลงไปหลังหลักการกาย-วัตถุนิยมแยกส่วน ถึงจะเห็นว่าระบบการศึกษาของโลก รวมทั้งที่บ้านเรา-ในปัจจุบันนี้ มันผิดธรรมชาติอย่างแรงถึงสี่ประการ คือหนึ่ง-มีศูนย์กลางที่มนุษย์ (anthropocentric) สอง-ขาดความพอเพียงพอดีและยั่งยืน (unsus-tainable) สาม-วัตถุประสงค์อยู่ที่เงินไม่ใช่เพื่อความรู้ (money-based education) ซึ่งเงินหรือระบบเศรษฐกิจทุนนิยมมุ่งสร้างความเห็นแก่ตัว และผิดธรรมชาติยิ่งกว่าระบบการศึกษาเสียอีก สุดท้ายข้อที่สี่-ส่งเสริมอุ้มชูความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) ผิดทาง-โดยครูหรือโรงเรียนจะเน้นแต่ วิวัฒนาการทางชีววิทยาหรือทางกายภาพเพียงอย่างเดียว เด็กจึงคงความเป็นสัตว์ แยกพรรคแยกพวกและความก้าวร้าว - เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าเป้าหมายของการศึกษาของเราคือ สนับสนุนความรุนแรงและเห็นแก่ตัวหรือการเอาตัวรอดโดยไม่รู้ตัว ที่มีพื้นฐานตั้งบนวิวัฒนาการทางชีววิทยาหรือทางกายภาพและจิตรู้เท่านั้น
ความคิดของมนุษย์เราที่เห็นว่ามนุษย์มีความสำคัญเหนือสรรพสิ่งใดๆ รวมทั้งชีวิตที่หลากหลายนับเป็นล้านๆ เผ่าพันธุ์สปีชีส์ พูดกันจริงๆ คนส่วนใหญ่มากๆ อาจจะคิดว่าแม้ว่าโลกทั้งโลกเป็นดุจยานที่ท่องเที่ยวไปในอวกาศ โดยมีแต่มนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียวท่ามกลางเทคโนโลยี ท่อไอและหลอดยางต่างๆ ดังที่เอดเวิร์ด โอ.วิสสัน เขียนกระแนะกระแหนคนที่ไม่เห็นความหมาย-ไม่เข้าใจความสำคัญของระบบนิเวศน์ และชีวิตอื่น เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไว้ก็ได้ มนุษย์จึงสำคัญตนว่าใหญ่ยิ่งกว่าฟ้า หรือหัวเราะเยาะเย้ยเหวยๆ ฟ้าเสียอีก นั่นคือ เทพ-กษัตริย์ (god-king) นั่นคือจักพรรดิ คือซีซาร์ส คือ ปโตเลมีส์-คอนซีต (Ptolemies conceit หรือ anthropocentric)
ความยิ่งใหญ่ของเด็กวัยรุ่นในระยะต้นๆ (หรือ idea of Grander) ในช่วงแห่งการเจริญเติบโตของเด็กวัยรุ่นที่ว่านั้น ซึ่งตรงกันกับวิวัฒนาการของมนุษย์ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งของปัจจุบันวัน นี้ ซึ่งนักจิตวิทยาแทบจะทุกคนต่างเชื่อและกล่าวเช่นนั้น ในความเห็นของผู้เขียน วิวัฒนาการของจิตไม่ได้มีมูลเหตุจากกามารมณ์ในเด็กทั้งหมด แล้วก่อเป็นปมด้อยปมเด่นในวันหลังที่ซิกมันด์ ฟรอยด์ เชื่อ แม้แต่อีดีปัสคอมเปลกซ์ (Edepus complex) ที่ฆ่าพ่อแล้วเอาแม่ทำเมียเพราะไม่รู้ ก็ไม่ใช่ปมด้อยปมเด่นอะไรดังที่ฟรอยด์คิด แต่เป็นเรื่องวิวัฒนาการทางจิตจากระดับมีทธิค (mythic) สู่ระดับตัวตนกับเหตุผล (self egouc rational) ที่สูงกว่า (ดู เคน วิลเบอร์)
ระบบการศึกษาทั่วทั้งโลกในปัจจุบันนั้น มีแต่การปฏิรูปและปฏิรูป หรือการปะโน่นปะนี่โดยฐานรากของระบบยังเป็นเช่นเดิม การเอาเด็กที่อยู่กับป่าฝนและภูเขามาให้เห็นป่าโกงกางและทะเล หรือในทางกลับกันไม่ได้ช่วยให้เด็กเข้าใจระบบนิเวศน์หรือธรรมชาติมากนัก หากเราไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์และพึ่งพากันของทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือการศึกษาในปัจจุบันนี้ที่เราไม่ได้คิดถึงความยั่งยืนของธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม "อย่างเป็นระบบ" ทั้งยังเป็นระบบที่ทั้งหมดเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างที่แยกจากกันไม่ได้เสีย ด้วย ผู้เขียนเชื่อว่าธรรมะในศาสนาที่อุบัติขึ้นที่อินเดียรวมทั้งพุทธศาสนา มีความหมายส่วนหนึ่งอยู่ที่ธรรมชาติที่เราสัมผัสและรับรู้มันในทุกเมื่อ เชื่อวัน อันมีเรื่องของระบบนิเวศน์ของไบโอสเฟียร์เป็นหัวใจ (ecology) ซึ่งมีมนุษย์และสังคมของมนุษย์เป็นส่วนเสี้ยวของข่ายใยแห่งชีวิต ซึ่งเป็นองค์รวมที่บูรณาการเป็นหนึ่งเดียวกัน กระบวนการเรียนรู้ที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน และมีระบบนิเวศน์ของโลกทั้งหมดเป็นหัวใจนี้ ย่อมชักนำให้การศึกษาของเด็กไทยและเด็กทั่วทั้งโลกเปลี่ยนแปลง ทั้งมนุษย์โดยปัจเจกกับสังคมโดยรวม ไปสู่สิ่งใหม่วิถีใหม่ที่ลึกล้ำ พอเพียงพอดีและยั่งยืน
ระบบการศึกษาของเรา มีเป้าหมายที่เงินหรือระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับสมัยที่นิวตัน จอห์น ล็อก และจอห์น สจวต มิลล์ ซึ่งมีทรัพย์สินส่วนตัวเป็นใหญ่ ทรัพยสินที่เป็น "ของโลก" กลับกลายเป็น "ของกู" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ระบบการศึกษาของโลกจึงกลายเป็นระบบที่รับใช้ทุนนิยม หรือทรัพย์สินกับความมั่งคั่ง การศึกษาจึงเป็นไปเพื่อหางานทำหรือเงิน ส่วนความรู้จะเป็นแต่ผลพลอยได้เพื่อหลอกให้เด็กนักเรียนแข่งขันกันเพื่อสอบ ผ่านให้ได้หรือเป็นแชมเปียน การแข่งขันกันดังกล่าวจะเป็นประหนึ่ง "สุกเอาเผากิน" ที่ทำให้เด็กรู้เฉพาะเวลาใกล้สอบ โดยที่ความรู้ที่เรียนมาตั้งหลายปีนั้น ส่วนใหญ่มากๆ ไม่ได้เป็นความรู้ที่เด็กต้องรู้ หรือเป็นประโยชน์ที่เด็กสามารถจะนำไปใช้ได้ชั่วชีวิต
เรื่องของอารมณ์ทางด้านลบ เช่น ความก้าวร้าว และความขัดแย้งแตกแยกจนเป็นความรุนแรง หรือสงครามที่ไม่ได้แตกต่างกันโดยหลักการ ล้วนเป็นเรื่องที่เราทุกๆ คนได้ยินได้ฟัง หรือได้เห็นกันในทุกๆ วันก็ว่าได้ อย่างน้อยก็จากโทรทัศน์ซึ่งมีส่วนที่ไม่เหมาะสมกับเด็กในวัย ที่ยังมีการเจริญเติบโตมากกว่าส่วนที่เหมาะสมยิ่งนัก แม้แต่กับผู้ใหญ่เองสำหรับระดับจิตที่มนุษย์ส่วนใหญ่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยโดยเฉพาะกับเด็กๆ ในวัยต่ำกว่า 11 ขวบ ทุกวันนี้มีการวิจัยมากมาย โดยเฉพาะการปฏิบัติสมาธิในเด็กกับความฉลาดทางอารมณ์ (EI or emotional intelligence) หลังจากที่แดเนียล โกลแมน ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้เขียนหนังสือเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ขึ้นมาในปี 1995 ที่ขายดีมากๆ ตามที่ผู้เขียนได้เล่าเมื่อวันอาทิตย์ก่อน แดเนียล โกลแมน ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ครูและโรงเรียนสามารถสอนให้เด็ก-หากว่าเป็นหลักสูตรสำคัญของสาขาวิชาในทุก วิชาของการศึกษาของประเทศ-มีความฉลาดทางอารมณ์ได้ และได้ดีเสียด้วย ซึ่งเมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถจะเผชิญหน้ากับ ภยันตรายต่างๆ ความรุนแรงกระทั่งวิกฤติที่เลวร้าย เป็นต้นว่าเป็นผู้มีสติได้ในทุกเวลา สามารถควบคุมตัวเองได้ตลอดเวลา มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น และเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์กับใครต่อใครในสังคมได้ดี พูดง่ายๆ โกลแมนบอกว่า การศึกษาความฉลาดทางอารมณ์มีแต่จะผลิตสร้างคนดีที่มีคุณธรรม รวมทั้งยังเป็นผู้ที่รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม หน้าที่นั้นมีสองอย่าง คือหน้าต่อส่วนรวมที่ตนได้รับการมอบหมายมา ซึ่งมักมีเงินหรือผลประโยนช์ตอบแทน เช่น ตำรวจ (legal duty) กับหน้าที่ทางคุณธรรมหรือจิตใจที่ไม่มีอะไรตอบแทน แต่มักเต็มใจทำยิ่งกว่า เช่น หน้าที่ต่อพ่อแม่ (moral duty) ซึ่งทุกวันนี้อย่างแรกยังพอหาได้ แต่หาผู้รับผิดชอบจริงๆ ได้ยากมาก
พุทธศาสนาบอกให้เรารู้ว่า คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ด้วยหน้าที่ และหน้าที่นั้นหมายถึงจิตใจและคุณธรรม จริยธรรม ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเรียนรู้และปฏิบัติ ซึ่งเราจะต้องมีความรับผิดชอบเป็นสร้อยตามหน้าที่ห้อยท้ายเอาไว้เสมอ หน้าที่นั้นส่วนหนึ่งจะเป็นเรื่องของการกระทำหรือกรรมในอดีต ที่เราจำต้องรับผิดหรือรับชอบอย่างไม่มีทางหลบหรือหลีกหนีได้พ้น เพียงแต่ที่ภพภูมิไหนและเมื่อไรเท่านั้น เพราะว่าจิตนั้นไม่ได้ตายหรือหายสาบสูญไปพร้อมๆ กับรูปกายที่เราเพียงยืมมาจากโลก ซึ่งก็ต้องคืนกลับไปเมี่อไม่ใช้ทำอะไรอีก ตราบใดที่เรายังไม่ได้หลุดพ้นและยังคงอยู่ในวัฏสงสาร หรือโลกที่มีสามมิติ (บวกหนึ่ง) แห่งนี้.
- บล็อกของ ลุงพูน
- อ่าน 3265 ครั้ง
ความเห็น
แป้ง
30 มิถุนายน, 2010 - 08:34
Permalink
สุด่ยอด
ลุงพูนคะ...ชอบบทความนี้มากค่ะ..แท้จริงแล้วศาสตร์การศึกษาในปัจจุบันถูกตีกรอบโดยมหาอำนาจที่คิดว่าโลกเป็นของเขาจึงสร้างกรอบเพื่อเอาเปรียบประเทศอื่นๆ สร้างระบบและโครงสร้างที่ดูเหมือนมีคำตอบว่าทำตามระบบนี้แล้วจะมีสุข..แต่ดัชนีความสุขของเด็กไทยกลับหดหาย..พ่อแม่ยืนเข้าคิวรอลูกเรียนพิเศษ..ไม่ได้นึกสงสารเลยว่าสุดท้ายเด็กจะทุกข์เท่าไรแท้จริง..โลกไม่ใช่ของเราโลกเป็นของทุกคนการศึกษาจะต้องเข้าใจโลก เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งสะเทือนถึงดวงดาว..แค่ดอกไม้ดอกเดียวยังทำให้โลกเปลี่ยน..ศาสตร์ของเอเชียต่างหากที่เข้าใจโลก..แต่คงอีกนานเพราะผู้ใหญ่ของเราเชื่อในระบบตะวันตก..ไม่รู้จะอีกนานมั้ยกว่าเราจะเข้าใจแก่นของศาสตร์..
แฮะๆ อ่านแล้วอย่าเครียดมากนะคะเพราะยังไงชีวิตก็ต้องเดินไปอยู่ดี
แดง อุบล
30 มิถุนายน, 2010 - 09:29
Permalink
อีกหนึ่งมุมมองค่ะ
อีกหนึ่งมุมมองค่ะ
"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"
ตั้ม
30 มิถุนายน, 2010 - 10:01
Permalink
การศึกษาในระบบทุนนิยม
ระบบทุนนิยม ก็เหมือนกับระบบทั่วไปที่มีทั้งสองด้าน ด้านดีให้เกิดการแข่งขัน ขวนขวายและไม่หยุดนิ่ง อันเป็นปัจจัยสู่การพัฒนา ด้านลบก่อให้เกิดการโอกาสของความที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า เอาเปรียบและริดรอนผู้อ่อนด้อย หากระบบเดินไปด้วยกติกาและจิตสำนึก ปัญหาคงไม่เกิด ช่องว่างคงไม่มาก แต่ที่เกิดเพราะความโลภและหลงในกระแสวัตถุทุนนิยมจนก้าวข้ามไปสู่การทำลายล้างไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนา
เห็นด้วยในบทความนี้ ผมเองก็ได้สัมผัสโดยตรงจากประสบการณ์ในงานที่ทำอยู่ ระบบโรงเรียนที่มุ่งแข่งขันเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งทางวิชาการ ไม่ใยดีต่อความเป็นหนึ่งทางจริยธรรม (คงวัดผลง่าย เป็นรูปธรรมและตรงตามตลาด) ไม่คำนึงถึงปัญหาของเด็กที่จะตามมาในภายภาคหน้า หลายโรงเรียนสอนความรู้เกินกว่าระดับชั้นเรียนจริงของเด็ก เช่นเด็กประถมสี่ เอาภาษาอังกฤษของ ม.1 มาสอน หรือเอาคณิตระดับสมการ หรม/ครน.มาสอน โดยคิดเพียงว่าโรงเรียนนี้สอนนำเกินชั้นเรียนไปมากแล้ว โรงเรียนอื่นยังไม่พัฒนา หากลงลึกในรายละเอียดที่สอนกลับพบว่าไม่เป็นไปตามลำดับเนื้อหาขั้นตอนการพัฒนา สอนข้ามขั้นเป็นการจดจำหรือสอนเทคนิคให้เด็กทำได้มากกว่าสอนพื้นความรู้จากความเข้าใจในความเป็นมา ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็หลงดีหลงงามคิดว่านี่คือเส้าหลินที่ทำให้ลูกเป็นอรหันต์ทองคำ สุดท้ายผลข้างเคียงจากยาแรงก็มาตกหนักที่เด็ก หลายคนเบื่อและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียน โรงเรียนในกทม.(โดยเฉพาะรร.เอกชนดังๆ) เป็นอย่างนี้กันมาก แต่รัฐกลับไม่เห็นความสำคัญ
การแข่งขันที่ไม่จำกัดวงเฉพาะธุรกิจโรงเรียนแต่มันซึมลึกเข้าไปยังความคิดของผู้ใหญ่ที่ส่งผ่านไปยังเด็ก มุ่งแต่จะต้องเก่ง(ไม่จำเป็นต้องดี) แข่งขันเหยียบหัวกันขึ้นไป เพียงเพื่อก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง ที่ร้ายกว่านั้น ผู้ใหญ่บางคนสอนเด็กว่าที่หนึ่งมีเพียงที่เดียว ถ้าไม่เหยียบคนอื่นจะขึ้นได้อย่างไร ทางขึ้นนอกจากสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองแล้ว ยังต้องกีดและกันผู้อื่นด้วย ..เฮ้อ..มันเป็นความบัดซบของระบบการศึกษาไทยที่นับวันยิ่งทำให้คนเห็นแก่ตัวขึ้นไปเรื่อยๆ (แม้ว่าผมจะอยู่ในแวดวงนี้ แต่ผมก็มีจุดยืนและกล่าวได้เต็มปากว่าไม่เหมือนใครและกล้าที่จะเป็นกบฏต่อระบบค่านิยมเดิม)
ยังอยากเห็นบ้านเมืองเราพัฒนาก้าวหน้า ไม่ปฏิเสธการเติบโตทาง GDP.แต่ไม่อยากละเลยและอยากเห็นการเติบโตอีกด้านที่เป็น GHP. ประเทศเป็นสังคมใหญ่ก็เหมือนกับบ้านในสังคมเล็ก หากร่ำรวยเงินทองอยู่ดีมีวัตถุสมบูรณ์แต่คนในบ้านไร้น้ำใจ ไร้สึกนึกมุ่งเอาเปรียบพี่น้อง จ้องล้างผลาญไม่ซื่อต่อกัน บ้านจะมีความสุขได้อย่างไร
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
โจ้
30 มิถุนายน, 2010 - 10:34
Permalink
ใช่ครับ
ผมเห็นด้วยกับลุงมากเลย
ลุงพูน
30 มิถุนายน, 2010 - 20:47
Permalink
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
ผมอ่านแล้วยังเครียดเลยครับ
พยามยามหนีออกจากระบบทุนนิยม ออกมาดูแลสวน ด้วยความพอเพียง
แต่พอเจอบทความแบบนี้เข้า ก็อดที่จะนำเสนอไม่ได้
kamol.au
28 ธันวาคม, 2011 - 10:17
Permalink
Re: เอาเรื่องหนักๆมาให้อ่านเล่นกันมั่ง
เป็นแง่คิดที่ดีครับ